The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 293 ค่ายผู้อพยพของสมาคมตระกูลหยาง
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 293 ค่ายผู้อพยพของสมาคมตระกูลหยาง
ทหารผู้นั้นแค่นเสียง “ช่วยพวกนาย? แล้วใครจะช่วยพวกเราล่ะ แนวหน้าที่เขาชิงเซิ่งทางเหนือแตกแล้ว อีกเดี๋ยวกองพลน้อยยานเกราะและกรมทหารราบของสมาคมตระกูลหยางก็จะมาถึง พวกเรากำลังถอยทัพไปยังเขากว่างอิ๋งที่แนวหลัง!”
“แล้วพวกเราล่ะ ที่นี่มีคนก่ออาชญากรรมด้วย…” มีคนสะอึกสะอื้นพูด
แต่ตอนนั้นเองนายทหารของสมาคมตระกูลหลี่ก็ตะโกนมา “ยกปืนขึ้นระวังตัวไว้ ลืมไปแล้วเหรอไงว่าหลังเพิ่งพ่ายศึกมาต้องทำอะไรยังไง ระวังสายลับในกลุ่มพวกเขา ห้ามให้ใครเข้าใกล้!”
เสียงปืนขึ้นไกดังมา ทหารของสมาคมตระกูลหลี่ยกปืนเล็งไปยังผู้ลี้ภัย ตะโกนสั่งให้พวกเขาถอยไป
พวกผู้ลี้ภัยไม่คิดเลยว่าทหารของสมาคมตระกูลหลี่ที่รอมาทั้งวันจะปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้
พวกเขาพูดอย่างวิตก “ทำกับพลเมืองของป้อมปราการอย่างถูกต้องแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันจะยื่นคำร้องต่อพวกนาย!”
ทว่าพอทหารของสมาคมตระกูลหลี่ได้ยินเช่นนั้น ก็มีคนหัวเราะ “ยื่นคำร้อง? ยื่นกับใครล่ะ ถ้าพวกนายรอดได้คงได้เห็นแหละมั้ง!”
จากนั้นทหารของสมาคมตระกูลหลี่ก็เคลื่อนรถไปต่อ มีผู้ลี้ภัยพยายามไล่ตามพวกเขาไป แต่เสียงปืนก็ดังขึ้น พวกทหารยิงปืนใส่เท้าพวกเขาเป็นการเตือนไม่ให้ตามมา!
ผู้ลี้ภัยบางรายสติแตกบัดเดี๋ยวนั้นเลย ตอนป้อมปราการพังทลาย ความเชื่อรากฐานของชีวิตก็ได้รับการสะเทือนไปรอบหนึ่ง และตอนนี้ก็ได้รับการสะเทือนอย่างหนักอีกครั้งเมื่อผู้ช่วยเหลือที่กำลังรอคอยทอดทิ้งพวกเขาไป
เหยียนลิ่วหยวนและพรรคพวกมีความต่างไปจากผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ตอนนี้เหยียนลิ่วหยวนกลัวมากกว่าจะโดนทหารของสมาคมตระกูลหลี่พาตัวไป สิ่งที่เขาต้องการเป็นอย่างสุดท้ายคือต้องติดอยู่กับพวกทหารของสมาคมตระกูลหลี่นี่แหละ
อย่างไรเสียตัวตนของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ค่อนข้างประหลาด
ตกเย็น หลังจากทหารของสมาคมตระกูลหลี่จากไปได้แปดชั่วโมงเริ่นเสี่ยวซู่ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนี้ในดวงตาเขามีแต่ความสงบนิ่ง “ขึ้นเขากัน พวกเราจะไม่อยู่ที่นี่ต่อ ”
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เกิดความคิดจะล่าถอยขึ้นป่าเขาอยู่ลางๆ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขามีเมล็ดพันธุ์จึงมั่นใจว่าจะพาทุกคนอยู่รอดในป่าเขาได้
เมล็ดพันธุ์ที่เขามีนั้นพอจะนำพาให้ทุกคนสร้างดินแดนอันเรียบง่ายในแดนรกร้างที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตกันได้อย่างสงบสุข
ที่แย่คือกว่ากล้ามเนื้อและกระดูกที่บาดเจ็บเขาจะหายดีต้องใช้เวลาร้อยวัน แม้เริ่นเสี่ยวซู่จะมีสมรรถภาพร่างกายต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างสิ้นเชิงก็ตาม
แต่ทันใดนั้น เสียงขับยานเกราะอันเป็นเอกลักษณ์ก็ดังมาจากป่าเขาทางทิศเหนือ พอยานเกราะผ่านพื้นหิมะก็จะพลิกดินขึ้นมาเผยให้เห็นพื้นดินสีดำเบื้องล่าง
เริ่นเสี่ยวซู่นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว เขาขมวดคิ้วมุ่นและถอนหายใจ “สายไปแล้ว”
เป็นเพราะเขานอนไม่ได้สติมานานเกินไป มันทำให้โอกาสที่ดีที่สุดในการหนีนั้นล่าช้าไป
พวกเขาเห็นกองพลน้อยยานเกราะและกรมทหารราบของสมาคมตระกูลหยางเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผู้ลี้ภัยพยายามสงบสติอารมณ์และว่า “พวกเราเป็นแค่พลเรือน สมาคมตระกูลหยางไม่ทำอะไรเราหรอก พวกเราไม่ได้เข้าร่วมในสงครามด้วยซ้ำ”
มีคนพูด “ใช่แล้ว สมาคมตระกูลหลี่เป็นคนเริ่มสงคราม ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเสียหน่อย ต่อให้สมาคมตระกูลหยางยึดป้อมปราการ 108 ได้แล้ว พวกเรายังเป็นพลเมืองของป้อมปราการ 108 อย่างถูกต้องอยู่ดี”
พอทหารของสมาคมตระกูลหยางมาถึง นายทหารในยานเกราะขมวดคิ้วมุ่นขณะมองไปที่ผู้ลี้ภัย เขาส่งสัญญาณให้ทหารหยุดรถ “พวกนี้น่าจะมาจากป้อมปราการ 108 ระวังตัวเผื่อมีผู้โจมตีมา! ส่งกองร้อยเสริมออกไปสองกองเข้ายึดอาวุธพวกเขามาให้หมด!”
นายทหารกระโดดลงจากยานเกราะ กองร้อยเสริมทั้งสองกองของสมาคมตระกูลหยางรุดตัวเข้าไปในฝูงคน ถ้าเจอการต่อต้านจากผู้ลี้ภัย ก็จะยิงเป็นการเตือนหรือใช้พานท้ายปืนฟาดใส่
“พวกนายเป็นผู้ลี้ภัยมาจากป้อมปราการ 108 ใช่ไหม” นายทหารรู้ดีว่าป้อมปราการ 108 เกิดอะไรขึ้น พอเห็นพวกเขาก็รู้ความเป็นมาทันที
ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งว่า “ใช่ครับ พวกเราเป็นพลเมืองของป้อมปราการ 108 พวกเราจะรับคำสั่งอย่างไร้เงื่อนไขและสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการเข้ายึดครองป้อมปราการ 108 ของสมาคมตระกูลหยาง แต่ท่านครับ ท่านช่วยพวกเรากำจัดภัยร้ายในป้อมปราการ 108 ได้ไหมครับ พวกเราจะได้กลับบ้านได้”
ผู้ลี้ภัยย้ายฝ่ายโดยไม่ต่อต้านทันที ในใจลึกๆ แล้วพวกเขาก็ไม่เคยคิดจะยึดติดกับสมาคมใดสมาคมหนึ่งอยู่แล้ว ใครมีอำนาจก็เชื่อฟังผู้นั้น
แต่ว่านายทหารไม่ยินดี “กลับไปป้อมปราการ 108? ไม่รู้ว่าในหมู่พวกนายมีสายลับซ่อนตัวหรือเปล่า ถ้ามีคนสร้างปัญญาอยู่แนวหลังขณะพวกเราสู้รบอยู่ที่เขากว่างอิ๋งล่ะ”
จากนั้นนายทหารก็สั่งการรองผู้บังคับบัญชาที่อยู่ด้านข้าง “ให้กองร้อยเสริมคอยอยู่ที่นี่สองกอง สั่งการให้พวกผู้ลี้ภัยสร้างค่ายผู้อพยพอยู่ที่นี่ จับตาดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด”
ทุกสมาคมต้องการคน พอมีคน ก็จะมีกำลังผลิต ไม่อย่างนั้นจะหาใครมารับผิดชอบการผลิตของในโรงงานล่ะ ดังนั้นคนจึงถือว่าเป็นทรัพยากรประเภทหนึ่งของสมาคม แน่นอนว่าไม่อาจฆ่าฟันได้ตามใจ
แต่ก่อนสงครามจบลง คนพวกนี้ไม่อาจออกจากค่ายผู้อพยพนี้ได้
สมาคมตระกูลหยางเอาชนะทหารสมาคมตระกูลหลี่ตรงแนวหน้าที่เขาชิงเซิ่งเรียบร้อยแล้ว ทั้งสมาคมตระกูลหยางยังพ่ายแพ้ต่อสมาคมตระกูลชิ่งที่แนวหน้าเขาชวงหลง เขาเทียนโถว และเขาเฟิ่งอี๋ทางตะวันออกด้วย สมาคมตระกูลหลี่พ่ายแพ้อย่างราบคาบเช่นนี้ จึงได้แต่ต้องถอยร่นไปพึ่งปราการป้องกันตามธรรมชาติพื้นที่ส่วนสุดท้ายทางใต้สุด
ทั้งสามสมาคมจะสู้รบกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านที่นั่น
กองกำลังของสมาคมตระกูลหยางเดินทัพลงใต้ต่อ ทิ้งกองร้อยเสริมสองกองที่มีอาวุธครบมือคอยดูแลสอดส่องการก่อสร้างค่ายผู้อพยพ
ผู้บังคับกองร้อยเสริมว่า “ฉันจะส่งมอบงานให้ทุกคน ทุกคนต้องทำงานทุกวัน และต้องทำให้เสร็จด้วย ถ้าทำไม่ครบกำหนด จะโทษว่าฉันโหดร้ายไม่ได้ล่ะ”
จะสร้างค่ายผู้อพยพ ลำดับแรกคือต้องตัดต้นไม้ในพื้นที่ จากนั้นก็นำไม้ที่ตัดและอุปกรณ์ที่กองร้อยเสริมให้มาสร้างที่พัก กองร้อยเสริมทั้งสองกองนี้มาจากกองพันทหารช่างที่รับหน้าที่สร้างถนนให้กองกำลังยานเกราะโดยเฉพาะ
แต่ว่าตอนนี้กองพันทหารช่างไม่มีหน้าที่ให้ทำมากนักเพราะถนนหนทางในเบื้องหน้าส่วนใหญ่เป็นที่ราบ พวกเขาจึงสามารถแยกกองร้อยเสริมมาทิ้งไว้ที่นี่ได้
ทหารของสมาคมตระกูลหยางทำอะไรได้มีประสิทธิภาพมาก ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็นับจำนวนผู้ลี้ภัยและส่งมอบงานให้ทุกคนเรียบร้อย
แต่เหยียนลิ่วหยวนพบว่าแม้แต่คนเจ็บก็ถูกมอบหมายงานเช่นกัน และต้องทำงานให้เสร็จด้วย
อาการบาดเจ็บของเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่หายดี ทั้งยังสิ้นสติไปเป็นพักๆ สภาพแบบนี้เขาจะทำงานให้ครบเกณฑ์ได้อย่างไร ถ้าหากเขาฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้ว คงใช้กำลังหนีออกจากค่ายผู้อพยพไปแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่มีชุดเกราะอยู่ ทหารธรรมดาไม่อาจขัดขวางเขาได้ แต่ว่า ‘ถ้าหาก’ ไม่มีจริงในสถานการณ์พวกเขาตอนนี้
“พวกเราเอายังไงดี” หวังฟู่กุ้ยมองเริ่นเสี่ยวซู่ที่สลบไปแล้ว
“ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไปก่อน” เหยียนลิ่วหยวนว่า “ยังดีที่สมาคมตระกูลหยางไม่ได้หมายหัวเรา”
“แต่พวกเรามีคนเจ็บหกคนนะ” หวังฟู่กุ้ยว่า “พวกเราทำงานให้ครบหมดไม่รอดหรอก”
เหยียนลิ่วหยวนขมวดคิ้ว เดินไปหาผู้บังคับกองร้อยเสริมและกล่าวอย่างสุภาพว่า “ไม่ทราบว่าท่านรู้จักหยางเสียวจิ่นหรือเปล่าครับ”
ผู้บังคับกองร้อยเสริมตวาด “อย่าคิดอ้างเส้นสายมั่วๆ มาเกี่ยงงาน ฉันไม่รู้จักคนที่แกพูดถึง รีบไปเตรียมทำงานได้แล้ว! และเพื่อนของพวกแกที่นอนอยู่บนพื้นด้วย ทำงานซะ!”
เหยียนลิ่วหยวนจ้องพวกเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่ว่าเขาไม่อยากมีปากเสียงด้วย จึงพูดขึ้น“พวกเราทำงานส่วนพวกเขาแทนได้ไหม”
ผู้บังคับกองร้อยว่า “แน่นอนว่าได้ ทำไมจะไม่ได้เล่า ขอแค่งานเสร็จพอ!”