The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 301 สร้างความวุ่นวาย
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 301 สร้างความวุ่นวาย
การสอบสวนหนักหน่วงตั้งแต่เริ่ม แต่ผู้อพยพยืนกรานว่ามีคนโยนไพ่สามแต้มสี่ใบทำให้ที่พักระเบิดจริงๆ
แต่ใครจะเชื่อคำพวกนั้นได้ล่ะ หลังจากทหารที่ทำหน้าที่สอบสวนทำงานเสร็จ พวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกดูหมิ่นสติปัญญาจึงสอบสวนด้วยความอำมหิตกว่าเดิม
และแล้วผู้อพยพก็เกิดความสับสนและยอมรับว่าตัวเองเป็นสายลับในที่สุด
คนส่วนใหญ่ในโลกคงไม่อาจทนการสอบสวนโดยการใช้เครื่องมือทรมานนักโทษได้ กองดูแลความสงบเรียบร้อยก็เชี่ยวชาญในด้านนี้ จากที่พวกเขากล่าว ยกเว้นแต่ว่าเป็นพวกลัทธิ ก็ไม่มีใครแข็งแกร่งพอจะรับการทรมานเพื่อบีบคำให้การได้หรอก
หลังจากผู้อพยพยอมรับว่าตัวเองเป็นสายลับแล้ว ทหารและนายทหารของสมาคมตระกูลหยางรู้สึกวางใจที่พบสายลับเรียบร้อย แม้ทว่าตลอดกระบวนการนี้พวกเขาจะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็เถอะ
ตอนแรกนายทหารก็ตัดสินใจตามสันชาตญาณว่าที่มีระเบิดเพราะมีสายลับแฝงตัวอยู่ในหมู่ผู้อพยพ แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่คนโง่ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ก็รู้สึกว่ามีอะไรที่เขาพลาดไป
นายทหารถาม “ถ้าผู้อพยพเป็นสายลับจริง พวกเขาจะระเบิดตัวเองทำไม ฟังไม่เห็นเข้าเค้าเลย แถมปกติแล้วสายลับจะไม่รวมตัวกันแบบนั้นด้วย”
ทหารนายหนึ่งถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ว่า “หรือว่าผู้อพยพพวกนั้นไปรู้แผนของสายลับเข้าเลยโดนปิดปาก”
“เป็นไปได้สูง” นายทหารว่า “ฉันให้นายจับตาดูพวกหวังฟู่กุ้ยอย่างใกล้ชิด เจออะไรบ้างไหม”
“พวกเขามีอะไรจริงๆ ครับ” พอพูดถึงเหยียนลิ่วหยวนและพรรคพวก เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมา “มีสมาชิกพวกเขาคนหนึ่งที่ผมว่าเขามีอะไรแปลกมาก”
“ใคร” นายทหารหันมามอง
“ผู้อพยพที่ชื่อว่าหลี่ชิงเจิ้ง” ทหารพูดอย่างตื่นเต้น “ฮ่าๆๆ เขาโคตรโชคไม่ดีเลยครับ พอขยับตัวนะ…ฮ่าๆ…”
พอเริ่มพูดก็หยุดขำไม่ได้ เขาหัวเราะไปกว่าสิบนาที นายทหารหน้าดำคล้ำและตบเขาไปหนึ่งที “หัวเราะเสร็จยัง”
ทหารหยุดหัวเราะทันควัน พอเห็นว่านายทหารเริ่มโมโหนิดหน่อยแล้วก็รีบพูดเสริม “หลี่ชิงเจิ้งผู้นี้โชคร้ายมากๆ แต่โชคดีไปด้วยในตัว แม้เรื่องเคราะห์ร้ายจะเล็กจ้อย แต่ว่าพอประสบเคราะห์แล้วก็จะเจอแหล่งอาหารตลอดเลย”
นี่ไม่ใช่สิ่งที่นายทหารต้องการได้ยิน จู่ๆ ก็มีคนเจอทุ่งมันฝรั่งมาแล้ว อะไรก็เกิดได้ในแดนรกร้าง ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกหรอก
จากนั้นนายทหารก็ถาม “มีใครทำตัวผิดปกติในกลุ่มเขาไหม”
“อ้อใช่” ทหารพูด “เรื่องแปลกๆ คือในกลุ่มพวกเขามีคนเจ็บเยอะมาก”
“มันแปลกตรงไหน” นายทหารถามอย่างสับสน
“ที่จริงในค่ายผู้อพยพเรามีคนเจ็บไม่มากเลยครับ” ทหารอธิบาย “เพราะว่าคนที่บาดเจ็บไปแล้วย่อมไม่อาจหนีมาจากป้อมปราการได้ แต่คนพวกนี้สามัคคีกันไม่เลวเลยถึงได้พาคนเจ็บหนีมาด้วยกันได้ ผมตรวจสอบกับคนอื่นๆ แล้ว เห็นว่าสมาชิกกลุ่มพวกเขาบาดเจ็บมาตั้งแต่ตอนออกจากป้อม พวกเขาจะผลัดกันแบกคนเจ็บและสุดท้ายก็มาลงเอยที่นี่”
“ก็แค่หมายความว่ากลุ่มพวกเขาสนิทสนมกันมากไง” นายทหารว่า “ได้ยินว่าอาการบาดเจ็บของเริ่นเสี่ยวซู่นั่นร้ายแรงไม่เบานี่”
ทหารพูด “ใช่ครับ หมอบอกว่าเขามีกระดูกหักสิบกว่าจุด แถมมีกระดูกแตกย่อยด้วย ก่อนหน้านี้ก็อยู่ในอาการไม่ได้สติ”
“เดี๋ยวนะ!” นายทหารนิ่งไป “มีกระดูกหักสิบกว่าจุด? แต่ว่าบนร่างไม่มีรอยกระสุน ไม่มีร่องรอยเส้นขนถูกเผาหรือร่องรอยบาดแผลภายนอกด้วย แล้วกระดูกแตกหักพวกนั้นมาจากไหน”
ทหารผงะไป กระดูกแตกหักแต่ไม่มีร่องรอยบาดแผลภายนอก มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ
“ไป” นายทหารว่า “ไปดูบาดแผลคนพวกนั้นว่ามีร่องรอยกระสุนอะไรหรือเปล่า! ฉันอยากสอบผู้รอดชีวิตคนนั้นด้วย พาเขามาหาฉัน”
พอพูดจบ ทหารนายนั้นก็นำหน่วยทหารไปหากลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่และเปิดประตูที่พักพวกเขาเข้าไป
หวังฟู่กุ้ยพยายามเข้าไปคุยด้วยแต่ก็ถูกทหารผลักออก
พวกทหารมาตรงหน้าหวังอวี่ฉือและเลิกขากางเกงเขาขึ้นจนเห็นรอยช้ำบนขา ทั้งยังมีรอยแผลที่ยังมีเลือดไหลซิบออกมาด้วย
ทหารผงะไป คิดพักหนึ่งและให้คนไปเอากระดาษและปากกามาให้ จากนั้นเขาก็กล่าวกับพวกเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ห้ามพูดคุยกับคนอื่น ให้เขียนว่าอาการบาดเจ็บตัวเองมาจากไหน”
พวกเขาหกคนเขียนเสร็จ รวมไปถึงเริ่นเสี่ยวซู่ด้วย ทหารรับกระดาษไปอ่าน ถึงรายละเอียดจะต่างไปบ้าง แต่ล้วนพูดกันหมดว่ารถพลิกคว่ำขณะหนีออกจากป้อมปราการ
ทหารคิ้วขมวดมุ่น ยกชายเสื้อเริ่นเสี่ยวซู่ขึ้น แต่เขาพบว่าการบาดเจ็บส่วนใหญ่ของเริ่นเสี่ยวซู่เป็นพวกรอยช้ำกับแผลภายนอกอีกนิดหน่อย แต่ดูสาหัสสากรรจ์กว่าของหวังอวี่ฉือและคนอื่นๆ
ทหารพูดอย่างเฉยชาว่า “เป็นรถประสบอุบัติเหตุนี่เอง พักผ่อนเถอะ”
จากนั้นเขาก็พาหน่วยกลับไป เขาไม่มีคำถามอื่นแล้วจริงๆ
เริ่นเสี่ยวซู่มองพวกทหารกลับไปอย่างสงบนิ่ง หวังอวี่ฉือกระซิบ “หัวหน้าห้องรู้ได้ยังไงว่าเขาจะมาตรวจสอบบาดแผลเรา”
เดิมทีหวังอวี่ฉือและคนอื่นๆ ก็มีแผลถูกยิง แต่หลังจากใช้ยาดำแล้วก็รักษาหายหมดในสามวัน ดังนั้นพวกทหารเลยไม่เจออะไรน่าสงสัย
รอยช้ำตามร่างกายก็เป็นฝีมือที่เริ่นเสี่ยวซู่ทำเองไม่กี่วันก่อน รวมไปถึงบนร่างของเขาเองด้วย ทำเช่นนี้เพื่อกันไม่ให้คนมาตรวจอาการเกิดความสงสัย
เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แค่ระวังไว้ก่อนเฉยๆ”
พวกหวังอวี่ฉือตะลึง ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะขี้ระแวงเกินไปแล้ว เมื่อสองวันที่แล้วที่เริ่นเสี่ยวซู่ปลอมอาการบาดเจ็บของตนเอง พวกเขานึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะคิดมากเกินไป อย่างไรรอยช้ำต่างๆ นั้นก็เจ็บไม่เบาเลย
แต่ดูไป เริ่นเสี่ยวซู่นั้นทำถูกแล้ว ยิ่งระแวงยิ่งไม่มีอะไรเสียหาย
“พี่ พวกเขาเริ่มสงสัยเราแล้ว” เหยียนลิ่วหยวนพูดเสียงเบา
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ทุกอย่างยังอยู่ภายใต้การควบคุม”
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าเขาต้องใช้ไพ่ลับแล้ว
คืนนั้นนายทหารสอบสวนผู้อพยพอีกครั้ง “บอกฉันมาสิ เฉาจวินเผิงกับเหยียนลิ่วหยวนแตกหักกันได้ยังไง”
“เฉาจวินเผิงคิดว่าเหยียนลิ่วหยวนหาอาหารเก่งมากเลยอยากเกณฑ์เจ้าเด็กนั่นมาใช้งาน แต่เหยียนลิ่วหยวนด่าเขากลับแทน” นักโทษผู้อพยพกล่าว “ก่อนที่พวกท่านมาควบคุมตัวพวกเรา เหยียนลิ่วหยวนฆ่าคนไปหลายแล้วเพราะพี่ชาย เขาโหดเหี้ยมแถมดุร้ายมาก เฉาจวินเผิงพูดไว้ก่อนแล้วว่าถ้าเจ้าเด็กนั่นไม่ยอมเข้าร่วมก็จะฆ่าเขาทิ้งซะ”
“อ้อ?” นายทหารพยักหน้า “คืนนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกนาย แล้วไพ่ที่เล่นเอามาจากไหนกัน”
ผู้อพยพกล่าว “ท่านครับ ไพ่นั่นพวกท่านเป็นคนให้พวกเราเอง…”
นายทหารเลิกคิ้ว “จะบอกว่าฉันเป็นคนระเบิดพวกนายเหรอไง”
“เปล่าครับๆ” ผู้อพยพส่ายหัว “ไพ่สามแต้มสี่ใบนั้นดูใหม่มากและก็ไม่เหมือนกับไพ่ที่พวกท่านให้มา…”
ทันใดนั้นเอง ก็มีมือหนึ่งพลันโยนไพ่สามแต้มสี่ใบลงมาบนโต๊ะที่อยู่ระหว่างกลางพวกเขาสองคน ก่อนที่มือนั้นจะหายวับไป
นายทหารนิ่งงัน “ไพ่พวกนั้นหน้าตาแบบนี้เลยสินะ”
ผู้อพยพพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ๆๆ”
นายทหารพูด “ฉิบ…”
เกิดเสียงดังตู้ม เต็นท์ของผู้บังคับกองร้อยเสริมถูกระเบิดกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ ขณะเดียวกันก็เกิดระเบิดทั่วค่ายผู้อพยพ เหล่าผู้คนกรีดร้องวิ่งหนีไปทั่ว!