The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 53 ถามใจไร้ละอาย
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 53 ถามใจไร้ละอาย
แม้เริ่นเสี่ยวซู่จะท่องไปๆ มาๆ อยู่ในแดนรกร้างอยู่หลายปีแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับแมลงหน้าคนมาก่อนเลย ดังนั้นเรื่องเคยเห็นนี่ไม่มีทาง
ยามเริ่นเสี่ยวซู่เผชิญหน้ากับพวกมดหรือปลวกแล้วยังใจเย็นอยู่ได้นั้น เป็นเพราะว่าตราบใดที่บนร่างไม่มีกลิ่นเลือด พวกมดตัวใหญ่โตในยุคปัจจุบันนี้ย่อมไม่สนใจอะไรในตัวเขา
แต่พวกแมลงหน้าคนนี่น่ากลัวนัก เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันคิดกินมนุษย์เป็นอาหาร!
เพราะในหุบเขามีลมพัดตลอด จึงไม่มีใครรู้ว่าพวกแมลงหน้าคนมันซ่อนตัวอยู่ตรงไหน ทว่าตอนนี้พวกมันเห็นเหยื่อเข้าให้แล้ว ย่อมออกมาล่าอย่างเต็มกำลัง
หรือว่าหมาป่ากลัวพวกมัน ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่รู้ว่ามีแมลงหน้าคนมากขนาดนี้อาศัยอยู่ในหุบเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางมาแน่ ยิ่งเอาซากหนูมาแบบนี้ยิ่งไม่มีทาง
ก่อนหน้านี้เขาคิดจะปีนผาอยู่ แต่ตอนนี้รู้สึกดีโคตรที่ยังไม่ได้ปีนขึ้นไปแบบฉับพลันทันใด ไม่อย่างนั้น ถ้าไปเจอเข้ากับแมลงพวกนี้กลางอากาศคงได้ซี้แหงแก๋แน่นอน!
ขึ้นรถ! สูเสี่ยนฉู่คำราม
เริ่นเสี่ยวซู่ฟันใส่แมลงอีกสองตัวรวด พวกมันสองตัวกระโจนใส่เริ่นเสี่ยวซู่พร้อมกรามเปิดกว้าง ถึงแม้กรงเล็บของพวกมันจะไม่คมนัก แต่กรามของพวกมันดูราวกับตะขอที่สามารถเกี่ยวชีวิตคนไปได้อย่างง่ายดาย
รอบนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้วิ่งหนีไป เพราะรู้ดีว่าสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือในรถ ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก เขาก็เข้าไปในรถคันหนึ่งได้ แถมยังพ่วงคนขับมาด้วยอีกหนึ่ง
เริ่นเสี่ยวซู่ขับรถไม่เป็น ถ้าไม่พาคนขับมาด้วย เขาก็หนีไม่ได้
เขาผลักคนขับลงไปที่นั่งหน้าพวงมาลัย และตะโกนใส่ ขับออกไปเร็ว!
คนขับรถจ้องเริ่นเสี่ยวซู่กลับตาใส นี่ไม่ใช่รถฉัน ฉันไม่มีกุญแจสตาร์ทรถ
แม่*…เริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้สึกว่าที่ตัวเองไม่เคยขับรถมาก่อนเป็นอะไรที่เสียเปรียบสุดๆ ขนาดว่าเรื่องง่ายๆ ที่คนในป้อมปราการรู้กันหมดว่ารถแต่ละคันใช้กุญแจคนละดอก เขายังไม่รู้เลย!
ไม่รีรออะไร เขาก็รีบลากเจ้าคนขับรถออกมา เริ่นเสี่ยวซู่กระชากเสียง คันไหนของนาย
คนขับรถโดนเริ่นเสี่ยวซู่ลากไปลากมาจนสับสนไปหมด ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน เขาก็ชี้ไปที่รถคันหนึ่ง คันนั้น!
เริ่นเสี่ยวซู่ลากตัวคนขับรถไปที่รถนั้น ตอนนี้ แต่ละคนต่างวิ่งหนีสุดชีวิต บ้างก็เข้าไปในรถ บ้างก็วิ่งลึกเข้าไปในหุบเขาโดยไม่ได้ขึ้นรถ บ้างก็วิ่งหนีกลับไปทางพวกหมาป่า
จุดวิกฤตแห่งความเป็นตาย เหล่านักดนตรีผู้ซึ่งไม่เคยได้รับการฝึก และไม่เคยมีประสบการณ์รับมือกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ย่อมไม่สามารถคิดได้อะไรๆ ได้อย่างถี่ถ้วน
ตอนนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากพระราชวังในห้วงจิตของเริ่นเสี่ยวซู่ [ภารกิจ ช่วยอย่างน้อยสิบคนให้ออกจากหุบเขาไปได้]
ช่วยแม่เอ็งสิ! เริ่นเสี่ยวซู่วิ่งไปที่รถต่อพร้อมฉุดกระชากลากถูคนขับรถไปด้วย ไหนๆ ทำภารกิจไม่สำเร็จก็ไม่โดนทำโทษ เขาก็ช่างมันไปเลย ชีวิตเขาสำคัญสุด
พริบตานั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าข้างหลังมีคนตามมา
พอหันไปมองก็ต้องประหลาดใจที่เห็นหยางเสียวจิ่น มือปืนผู้มีความชำนาญการใช้ปืนระดับไร้ที่ตินั้นตามมาติดๆ ดูเหมือนว่าในมือเธอนั้นถืออะไรบางอย่างอยู่ แต่เริ่นเสี่ยวซู่ยุ่งเกินกว่าจะไปสนใจ
เด็กสาวคนนี้คงตั้งใจไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะหนีไปกับเริ่นเสี่ยวซู่ให้ได้ ดูเหมือนว่าเธอเองก็คงรู้ว่า มีเพียงแต่ต้องตามเริ่นเสี่ยวซู่ไป ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต!
เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่สนใจ ตอนที่ไปถึงรถ พอเปิดประตูออก ก็เห็นว่าที่นั่งคนขับมีทหารนายหนึ่งกำลังตัวสั่นงกๆ เริ่นเสี่ยวสู่กระชากเขาออกมาอย่างโมโห เอ็งไม่มีกุญแจแล้วเอ็งจะนั่งตรงนั้นทำพระแสงอะไรวะ! รอตายเหรอ!
ตอนนั้นเองแมลงหน้าคนสองตัวก็คลานเข้ามาใกล้ขาเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ว่าก็โดนกระสุนสองนัดจากหยางเสียวจิ่น เป่ากระจุย
เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดขึ้นเบาะหลังรถออฟโรด หยางเสียวจิ่นก็ตามมาติดๆ เริ่นเสี่ยวซู่ตะคอกใส่คนขับรถที่กำลังเหม่อลอย ขับออกไปสิ รออะไร!
สติคนขับรถยังไม่เข้าร่าง ตัวปฏิบัติตามสัญชาตญาณ พอโดนเริ่นเสี่ยวซู่ตะคอกใส่ ก็รีบใส่กุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ เขาเหยียบคันเร่ง ทว่ารถกลับไม่ขยับ พอคนขับรถเห็นว่าตนยังไม่ปลดเบรกมือ ก็รีบปลดแล้วขับรถออกไป
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด ถึงรถจะหนีจากพวกหมาป่าไม่ได้ แต่หนีพวกแมลงหน้าคนได้แน่ ที่ข้างหน้าเขาไกลๆ มีรถอีกสองคัน และมีคนอีกไม่น้อยข้างหลังที่โดนแมลงหน้าคนปกคลุมอยู่ คลื่นแมลงสีดำทมิฬเขมือบกลืนร่างเหยื่อที่ดิ้นทุรนทุรายคิดหนี
เสียงเคี้ยวกรวบๆ ฉีกกัดแทะเลือดเนื้อด้วยกรามอันแหลมคมจนกลายเป็นเศษเนื้อดังออกมาจากคลื่นแมลงสีดำทมิฬนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไป นี่หรือคือแดนรกร้างที่แท้จริง
นี่หรือโลกที่มนุษย์จำเป็นต้องเผชิญในอนาคต!
ฝูงแมลงหน้าคนที่แปลกประหลาดพิกลโดนกลิ่นเลือดเนื้อดึงดูดไปจนหมดจึงไม่สนใจไล่ล่ารถยนต์อีก เริ่นเสี่ยวซู่กระแทกร่างลงกับเบาะ หอบหายใจ ตอนนี้เขายังมีพลังล้นเหลือ เพียงแต่ว่าเหนื่อยเล็กน้อย
ต่อให้เป็นเขาก็เถอะ วิ่งลากผู้ใหญ่ไปมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
เริ่นเสี่ยวซู่มองหยางเสียวจิ่น และเห็นว่าเธอกำลังนั่งอยู่อย่างสงบนิ่ง เธอกล่าว พละกำลังนายไม่เลวเลย
เริ่นเสี่ยวซู่เมินเธอไป ก่อนจะมองไปที่คนขับรถ แล้วถาม ไม่มีแมลงตามมาแล้วใช่ไหม
ไม่มีแล้ว พอรอดชีวิตจากหายนะมาได้ คนขับรถค่อยๆ ฟื้นสติกลับมา จิตใจไม่ใช่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเหมือนเมื่อครู่ มีสติกับตัวอยู่บ้าง เขาก็พึมพำมาจากที่นั่งคนขับ ขอบคุณ ถ้าไม่มีนายฉันคงไม่รอดแล้ว
[ได้รับคำขอบคุณจากซุนจวินเจิ้ง +1]
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าลากคนผู้นี้ไปมาไม่เสียเปล่าเลย ตอนนี้ตนเองมีเหรียญคำขอบคุณทั้งหมดเจ็ดสิบสี่เหรียญแล้ว เขาคิดพักหนึ่งแล้วว่า ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันแค่ต้องการคนมาขับรถให้
ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ฉันก็ยังต้องขอบคุณนายอยู่ดี ขอโทษการกระทำของพวกเราก่อนหน้านี้ด้วย ฉันจะหาทางตอบแทนนายแน่ นายมั่นใจได้เลย ซุนจวินเจิ้งกล่าว
[ได้รับคำขอบคุณจากซุนจวินเจิ้ง +1]
เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงไปพักใหญ่ แค่เหตุการณ์เดียวก็ได้รับเหรียญคำขอบคุณมามากกว่าหนึ่งแล้ว? คงเป็นเพราะบุญกุศลจากการช่วยชีวิตคนสินะ แถมซุนจวินเจิ้งก็คงสติสัมปชัญญะไม่กลับเข้าร่างดี คำขอบคุณนั้นเลยมาด้วยความจริงใจ
เริ่นเสี่ยวซู่ลองทดสอบเขาอีกรอบด้วยการพูด ขอฉันฟังคำขอบคุณจากนายอีกรอบสิ
ซุนจวินเจิ้งพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง อารมณ์พลันไม่มั่นคงขึ้นมา!
หยางเสียวจิ่นมองเริ่นเสี่ยวซู่แปลกๆ อันตรายยังไม่ผ่านพ้นเลย ทำไมใจเฉยชาอะไรได้ขนาดนี้
หลังรออยู่เป็นเวลาไม่น้อย เหรียญคำขอบคุณที่เจ็ดสิบหกก็ยังไม่โผล่มา เขาได้แต่คิดว่าตัวเองคงตื่นเต้นไปหน่อยแล้ว
ถ้าอดทนใจเย็นอีกสักนิด เขาอาจจะมีเหรียญเพิ่มอีกสักหน่อยก็ได้ แต่ก็นะ คนเราไม่ควรโลภมากไป ก็คงต้องปล่อยไปตามนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ถึงสีหน้าแปลกๆ ของหยางเสียวจิ่น เขากระแอมไอ ก่อนจะว่า ล้อเล่นน่ะ รีบๆ ออกไปจากหุบเขา ไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ก่อนที่เจ้าพวกแมลงหน้าคนนั้นจะตามเรามาดีกว่า
ตอนนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็นึกไปถึงภารกิจที่พระราชวังให้มา เขาไม่ได้รู้สึกแย่อะไรแม้แต่น้อย สถานการณ์แบบนี้ อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีทางเสี่ยงชีวิตตัวเองไปช่วยคนอื่น
อย่างที่เขาเคยพูดกับเหยียนลิ่วหยวนว่า ‘ถ้าใจรู้สึกละอาย ก็จงโน้มน้าวบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่เถิด!’
แถมครานี้ เขาถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายอะไรเลยด้วย
แต่ตอนนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงมาจากพระราชวังในห้วงจิตว่า [ภารกิจสำเร็จ รางวัล พละกำลัง 1.0 แต้ม]
เกิดอะไรขึ้นหว่า หมายความว่าตราบใดที่เขาลงมือทำท่าจะช่วยชีวิตคน และก็ตราบใดที่มีคนรอดไปสิบคนหรือมากกว่า ภารกิจก็ถือว่าสำเร็จสินะ?
เกณฑ์การติดสินของพระราชวังนี่ดูมั่วๆ แฮะ