The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 85 คุณจาง
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ออกเดินทาง เขากล่าวกับเหยียนลิ่วหยวนอย่างชัดเจนว่า ถ้ายามนั้นพี่เสี่ยวอวี้ยังดูแลเขาอยู่ ก็ให้เขาพาเธอไปด้วย แต่ถ้าเสี่ยวอวี้ชิงเงินหนีไป ก็ให้เหยียนลิ่วหยวนไปซ่อนตัวคนเดียว
อย่าหวังว่าจะมีโชคดีรอดพ้นได้ หากเจอปัญหาให้รีบหนีทันที!
ในความคิดของเริ่นเสี่ยวซู่ ไม่มีอะไรในโลกนี้สำคัญไปกว่าการมีชีวิตอยู่แล้ว มีปืนไว้ป้องกันตัวดีกว่าไม่มีอะไรเลย
เริ่นเสี่ยวซู่เองก็หวังว่าตัวเองจะพกปืนเข้าไปในเขาจิ้งซานได้ แต่ถ้าเทียบกับความปลอดภัยส่วนตนแล้ว เขารู้สึกว่าการทิ้งปืนไว้ให้เหยียนลิ่วหยวนจะเป็นการดีกว่า
แต่แค่เหยียนลิ่วหยวนและเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทันคาดการณ์ไว้เลยว่า พอไปนำปืนมาปุ๊บ ก็เกิดเรื่องปั๊บ
ตอนนี้เหยียนลิ่วหยวนไม่ได้เป็นห่วงตัวเองเลย เพราะเชื่อว่าสถานที่ที่เริ่นเสี่ยวซู่เตรียมไว้ให้ต้องปลอดภัยมากแน่นอน และก็เชื่อด้วยว่าเริ่นเสี่ยวซู่ต้องกลับมาหาตนแน่
ที่เขาเป็นห่วงคือเริ่นเสี่ยวซู่
ตั้งแต่เหยียนลิ่วหยวนได้พลังแห่งโชคมาก เขาได้รับผลข้างเคียงมาหลายครั้ง รู้ดีว่าผลข้างเคียงเหล่านั้น…ไม่ได้มีแค่อาการป่วย
เหยียนลิ่วหยวนขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองไปทางเขาจิ้งซาน รู้ได้ทันทีว่าเริ่นเสี่ยวซู่ต้องเจออันตรายเข้าแล้วแน่ แถมเป็นอันตรายใหญ่หลวงด้วย
นี่แลคือชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง นี่แลคือเหตุปัจจัยที่เกิดจากการที่เขาใช้พลังขอพร!
“พี่…” หัวใจของเหยียนลิ่วหยวนบีบรัด ในช่วงเวลาเป็นตาย สองพี่น้องมักกังวลในตัวอีกฝ่ายแทนที่จะเป็นตนเอง
“พี่เสี่ยวอวี้ ไปกันเถอะ” เหยียนลิ่วหยวนกลับหลังหันเข้าบ้านไปหยิบเสื้อผ้า ตระเตรียมหนีออกจากโรงเรียน เสี่ยวอวี้ไม่ถามด้วยซ้ำว่าพวกตนจะไปไหนกัน เธอแค่หยิบเงินที่ซ่อนไว้ในช่องอิฐที่พื้น แล้วตามเหยียนลิ่วหยวนไป
แต่จางจิ่งหลินเข้ามาคว้าแขนเหยียนลิ่วหยวนไว้ จางจิ่งหลินถอนหายใจ “ออกไปแดนรกร้างตอนนี้ไม่ปลอดภัยเลย พวกเธอไม่ต้องหนีหรอก ฉันจะจัดการเอง”
“ให้อาจารย์จัดการ?” เหยียนลิ่วหยวนไม่เข้าใจว่าจางจิ่งหลินต้องการสื่ออะไร ขณะพวกเขากำลังคุยกันนั้น เขาคิดจะดึงแขนให้หลุดออกจากมือของจางจิ่งหลิน ทว่าเหยียนลิ่วหยวนกลับพบผู้ว่าอาจารย์ผู้นี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด ไม่สามารถดึงแขนตัวเองกลับมาได้
จางจิ่งหลินพูด “พวกหมาป่ามันกลับมาแล้ว ไม่ว่าที่ซ่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่เตรียมไว้ให้พวกเธออาจจะถูกซ่อนไว้ดีแค่ไหน ก็คงไม่พ้นจมูกของพวกหมาป่าหรอก เริ่นเสี่ยวซู่เองก็คงคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าพวกหมาป่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้”
เหยียนลิ่วหยวนเกิดข้อสงสัย จางจิ่งหลินรู้ได้อย่างไรว่าหมาป่ากลับมาแล้ว ในเมืองก็ไม่เห็นบอกว่าเคยเห็นหรือลือกันเลยเรื่องนี้
ขณะเดียวกันนั้นประตูของป้อมปราการก็ถูกชักขึ้น ไม่นานนักพวกจางจิ่งหลินก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามา ดูเหมือนว่าเสียงปืนนี้จะดังถึงป้อมปราการด้วย ทหารกองกำลังส่วนตัวจึงออกมาตรวจสอบ!
คนในเมืองพลันเป็นวุ่นวาย เสียงโหวกเหวกยามค่ำคืนทำให้เหล่าผู้อพยพต่างลุกออกจากเตียง ทุกคนออกมายืนตรงถนน หน้าหันไปมองทางโรงเรียนที่เกิดเรื่องกันยกใหญ่ คนใจกล้าหน่อยถึงกับกล้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนด้วยตนเอง
จางจิ่งหลินรอคอยอย่างเงียบงัน ไม่นานนัก ก็มีคนถีบเปิดประตูหน้าของโรงเรียน หวังฉงหยางนำทหารบุกเข้ามา เขาหันไปสำรวจรอบๆ ก่อนจะเห็นศพห้าร่างตามพื้น จากนั้นก็หันไปมองจางจิ่งหลิน ตอนนี้ปืนอยู่ในมือเขา
หวังฉงหยางยิ้ม พลางว่า “เจ้าเด็กเริ่มเสี่ยวซู่นั่นเป็นคนเอาปืนไปจริงๆ สินะ ฉันคิดเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้ว ในเมืองนี้ไม่มีใครกล้าพอไปแตะต้องปืนหรอก มีแต่เขานี่แหละถึงกล้าทำอะไรแบบนั้น”
จางจิ่งหลินไม่พูดอะไร เสี่ยวอวี้มองไปที่จางจิ่นหลินอย่างวิตกกังวล ราวกับกลัวว่าเขาจะรับมือสถานการณ์นี้ไม่ไหว
ข้างนอก หวังฟู่กุ้ยวิ่งฉิวมาด้วยชุดที่ไม่เรียบร้อยดี เขายิ้มแล้วพูดฉอเลาะกับหวังฉงหยางทันที “ท่านครับ ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่!”
“ไม่มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันทั้งนั้น” หวังฉงหยางส่ายหน้า “ฉันมั่นใจมากว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนฆ่าหวังตงหยาง”
หวังฟู่กุ้ยควักเงินฟ้อนใหญ่จากกระเป๋ากางเกง แล้วพยายามยัดใส่ตัวของหวังฉงหยาง “คุณก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีอะไรกับหวังตงหยางสักหน่อย เริ่นเสี่ยวซู่ฆ่าหรือไม่ฆ่าก็เท่านั้น เรื่องนี้ปล่อยๆ ไปเถอะนะครับ”
“ฮาๆ” หวังฉงหยางหัวเราะ ผลักหวังฟู่กุ้ยออกไป “คิดว่าฉันจะเหมือนคนอื่นในป้อมที่มองเงินตาโตงั้นเหรอ จับกุมพวกเขาให้หมด! ฉันจะรอเริ่นเสี่ยวซู่กลับมาอธิบายตัวเองแล้วกัน!”
หวังฟู่กุ้ยที่ถูกผลักไปด้านข้างเข้ามาหาเขาอีกครั้ง ผลคือโดนหวังฉงหยางยกปืนชี้ใส่หน้า “ถอยไป อยู่เฉยๆ ซะ!”
จากนั้นก็เป็นคราวหวังฉงหยางต้องผงะ เพราะเขาเห็นจางจิ่งหลินควักกระดาษอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง จางจิ่งหลิ่นพูด “เอานี่เข้าไปในป้อม แล้วให้เจ้าอ้วนหลัวมาพบฉัน”
หวังฉงหยางมองจางจิ่งหลินด้วยความกังขา เป็นเพราะว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เสียงของจางจิ่งหลินกลับดูสงบนิ่งเกินไปมาก ในเขตแดนของป้อมปราการ 113 จางจิ่งหลินคงเป็นคนเดียวที่กล้าเรียกเถ้าแก่หลัวว่าเจ้าอ้วนหลัว
จางจิ่งหลินไม่บอกว่าเอกสารเหล่านั้นคืออะไร ก่อนหน้าที่หวังฉงหยางก็เฝ้าจับตาจางจิ่งหลินไว้อยู่แล้ว เขารู้สึกว่าจางจิ่งหลินไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่ได้ไปสืบเสาะอะไรมากกว่านั้น ว่าตามตรง จางจิ่งหลินจะเป็นคนธรรมดาหรือคนไม่ธรรมดาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่ดี
แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เขาถูกดึงเข้ามาพัวพันอยู่ในตัวตนลึกลับของจางจิ่งหลิน
ด้วยเหตุนี้ หวังฉงหยางจึงกลัวที่จะรับเอกสารสีแดงนี้มาไม่น้อย มันดูเก่าอยู่บ้าง ด้านนอกขาดยู่ยี่นิดหน่อย
จางจิ่งหลินส่งเอกสารให้หวังฉงหยาง “เอาไปสิ เอาไปให้เขาเสีย เดี๋ยวเขาก็เข้าใจเอง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอรับมือได้หรอกนะ”
“เฝ้าพวกเขาไป” หวังฉงหยางบอกทหารกองกำลังส่วนตัวข้างหลัง เขาไม่อาจให้คนอื่นทำงานนี้แทนได้ มีแต่ต้องเข้าไปป้อมปราการหาเถ้าแก่หลัวด้วยตัวเอง
และเขาก็กลัวว่าตัวเองจะถูกหลอกด้วย จากความระแวดระวังเป็นนิสัยของหวังฉงหยาง เขาย่อมต้องให้ทหารเฝ้าจางจิ่งหลินและเหยียนลิ่วหยวนไว้
เสี่ยวอวี้มองจางจิ่งหลินอย่างเป็นกังวล “คุณจาง จะไม่มีอะไรใช่ไหมคะ”
จางจิ่งหลินโบกมือ “ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรหรอก ตอนนี้พวกเขายังไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก”
เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ด้านข้างกระซิบ “ขอโทษครับอาจารย์”
ถ้าเขาไม่ยิงปืนไป จางจิ่งหลินก็คงไม่ต้องเปิดเผยตัวตน
จางจิ่งหลินเหลือบมองเหยียนลิ่วหยวน แล้วถอนหายใจ “เธอไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นโลกนี้ต่างหากที่ผิด แล้วก็นะ ฉันยังต้องขอบคุณเธอด้วย ที่เธอลงมือก็เพราะอยากช่วยฉันไม่ใช่เหรอไง”
จางจิ่งหลินมองว่า เหยียนลิ่วหยวนไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าเขาไม่ยิงปืน ก็คงมีเรื่องร้ายๆ เกิดกับทั้งตัวลิ่วหยวน เสี่ยวอวี้ และก็ตัวเขาด้วย อย่างไรเสียตอนนี้จางจิ่งหลินก็เป็นอาจารย์ธรรมดาคนหนึ่ง
เหยียนลิ่วหยวนอวดแสดงพลังแห่งโชคของตัวเองหรือ…ก็ไม่
เหยียนลิ่วหยวนฆ่าผิดคนหรือ…ก็ไม่
จางจิ่งหลินพลันรู้สึกว่าในบางมุมเหยียนลิ่วหยวนก็เหมือนเริ่นเสี่ยวซู่จริงๆ เขาดุร้ายอำมหิตต่อศัตรูเหมือนเริ่นเสี่ยวซู่ เขาเย็นชาต่อศัตรูเหมือนเริ่นเสี่ยวซู่ และเขาก็ระวังโลกใบนี้เหมือนกับที่เริ่นเสี่ยวซู่ทำ
เมื่อก่อนจางจิ่งหลินมักคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นแบบนี้นั้นไม่ดีเลย แต่ด้วยอะไรไม่อาจทราบ การได้อยู่กับเริ่นเสี่ยวซู่มาพักหนึ่ง จางจิ่งหลินก็ยิ่งคิดว่าเขานั้นเป็นมนุษย์มากกว่าใคร
อาจจะฟังดูแปร่งหูอยู่บ้าง แต่จางจิ่งหลินคิดเช่นนี้จริงๆ