The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 98 กิจกรรมนันทนาการของเหล่าตัวทดลอง
- Home
- The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 98 กิจกรรมนันทนาการของเหล่าตัวทดลอง
ตัวทดลองจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งพล่านในป่าราวกับแมงมุมกลุ่มใหญ่ เจอภาพแบบนี้เข้าไป ต่อเป็นทหารมากประสบการณ์อย่างสู่หมานยังหน้าซีดเผือด
สู่หมานเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่า ‘สูเสี่ยนฉู่’ เผอิญไปเจอเข้ากับรังของตัวทดลองเข้า พวกมันจึงหันมาไล่ล่าเขาไม่หยุด
ส่วนใครที่ไม่เข้าใจ ก็คงคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่แม่*เรียกพวกมายำล้างแค้นคนแหง!
แต่ก็เพราะเรื่องนี้ สู่หมานจึงยืนยันตัวตนของ ‘สูเสี่ยนฉู่’ ได้มั่นใจกว่าเดิม อย่างไรเสียหลิวปู้ก็เคยพูดมาก่อนว่าสูเสี่ยนฉู่เคยใช้ร่างแยกเงาแบกตัวเองตอนเดินทาง ทั้งง่ายดายทั้งสะดวกสบาย
เอาตามตรงเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าหลิวปู้จะช่วยปิดบังตัวตนเขาเสียได้ แถมยังเสียสละชีวิตเพื่อการณ์นั้นไปเสียแล้วด้วย
พวกตัวทดลองไล่ตามเริ่นเสี่ยวซู่อย่างบ้าคลั่ง ขณะวิ่งคลานสี่ขาก็ทำน้ำลายกระฉอกไปทั่ว
สู่หมานเห็นแบบนี้ ลำดับแรกที่คือตะโกนใส่ช่องสื่อสาร “ทุกนายรับทราบ ทุกกำลังพลที่อยู่ชานเมือง ตั้งแนวป้องกันเดี๋ยวนี้!”
ในป่ามีกำลังทหารของสมาคมตระกูลชิ่งไม่น้อย อยู่กันหลายร้อยนาย แต่เหมือนว่าตัวทดลองมีจำนวนมากกว่าพวกเขาเสียอีก!
แต่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ สู่หมานกลับแจ้งในคนในเมืองตั้งแนวป้องกัน ไม่ใช่สั่งอพยพอย่างนั้นหรือ
สู่หมานกล่าวผ่านช่องสื่อสาร “ทุกหน่วยนอกพื้นที่ให้ประจำตำแหน่งเตรียมยิงป้องกัน พวกเราต้องซื้อเวลาให้คนที่อยู่ในเมือง”
เริ่นเสี่ยวซู่วิ่งหนีเป็นบ้าเป็นหลัง เขาเห็นทหารของสมาคมหยุดนิ่งกับที่ และย่อตัวลงทำท่าเตรียมยิง เพราะไม่มีป้อมป้องกันอะไร พวกเขาจึงคิดใช้ร่างกายตนต่างโล่
ร่างแยกเงาที่เริ่นเสี่ยวซู่ขี่หลังอยู่นั้นเคลื่อนที่ได้ไวกว่าพวกตัวทดลอง ดังนั้นตอนที่พวกทหารเริ่มสาดกระสุน เขาจึงพ้นวิถีกระสุนออกมาแล้ว
กระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตกใจไม่น้อย นี่สินะคือความแตกต่างระหว่างกองกำลังของสมาคมและและทหารจากกองกำลังส่วนตัว ทหารของสมาคมพร้อมจะสละชีพเพื่อซื้อเวลาให้กับเพื่อนทหารที่อยู่ในเมือง! ชายในชุดสูทมีดีอะไรถึงสามารถทำให้กองกำลังเช่นนี้ติดตามได้!
จริงๆ แล้วเป็นเริ่นเสี่ยวซู่มองทหารของสมาคมสูงไปต่างหาก หรือไม่ก็เพราะว่าทหารของชิ่งเจิ่นนั้นพร้อมพรักเป็นหนึ่งเดียวน่าเกรงขามจนเริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจผิดไปเองก็ได้ ความจริงก็คือ ทหารภายใต้การบัญชาการของชิ่งเจิ่นนั้น เป็นกองกำลังที่เป็นที่สุดของที่สุดแล้วในกองกำลังทหารของสมาคม
สู่หมานเป็นทหารที่เชี่ยวชาญการรบมากก็จริง แต่ใช่ว่าเขาจะไม่กลัวตาย
หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในการสงครามคือรู้ว่าสถานการณ์ในภาพรวมนั้นเป็นเช่นไร เพื่อใช้ในการตัดสินใจให้ได้อย่างมีความถูกต้องที่สุด
เขาเข้าใจดีว่า ถ้าอยู่ที่นี่ซื้อเวลาให้พวกที่อยู่ในเมือง เขาอาจจะต้องได้ตายเป็นแน่แท้ แต่กระนั้นถ้าเขาถอยทัพไป เพื่อนทหารที่อยู่ในเมืองก็อาจจะมีเวลาไม่พอในการเตรียมตัวรับมือ และสุดท้ายก็จะมีคนตายมากกว่าเดิม
ชิ่งเจิ่นสั่งให้ทหารสร้างเครื่องป้องกันไว้อยู่แล้ว อย่างพวกบังเกอร์ที่สร้างขึ้นมาอย่างลวกๆ และพวกรั้วกั้น ซึ่งต่างเป็นของที่จำเป็นอย่างยิ่ง
แต่สู่หมานรู้ดีว่าพวกเขาคาดการณ์จำนวนของตัวทดลองที่อยู่ในเขาจิ้งซานผิดไปมาก จากข้อมูลที่พวกเขามี มันน่าจะเป็นตัวทดลองแค่ประมาณร้อยตัว หรือร้อยกว่าตัวเท่านั้น
บันทึกจากห้องทดลองของบริษัทหัวจ่งระบุไว้ว่าตอนนั้นมีสิ่งมีชีวิตทดลองแค่แปดสิบเจ็ดตัวเท่านั้น!
เป็นบริษัทหัวจ่งตั้งใจเผยข้อมูลผิดๆ เพื่อล่อสมาคมตระกูลชิ่งมาติดกับดัก จะได้ไม่สามารถเริ่มงานทดลองของที่นี่ได้ใหม่อย่างนั้นหรือ ที่สำคัญคือสองปีมานี้ชิ่งเจิ่นฆ่าคนของบริษัทหัวจ่งไปไม่น้อยเลย
แน่นอนว่าชิ่งเจิ่นไม่ใช่คนโง่ เขานำกำลังคนมากกว่าที่วางแผนไว้แต่เดิมแล้ว ชิ่งเจิ่นไม่ยอมมาตายในที่แห่งนี้เด็ดขาด
ที่สู่หมานกังวลไม่ใช่ความปลอดภัยของชิ่งเจิ่น แต่เป็นความเสียหายที่จะเกิดกับกองพลน้อยแห่งป้อมปราการ 112 ต่างหาก
ตอนนี้สู่หมานเปิดช่องสื่อสารรวมไว้อยู่แล้ว เขาจึงได้ยินเสียงเรียบนิ่งจากชิ่งเจิ่นดังเข้ามาในหมวก “ไปช่วยพวกเขา จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยมาที่ชายขอบเมือง ฉันมีแผนเตรียมไว้แล้ว”
สู่หมานถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวผ่านช่องสื่อสารยุทธวิธีว่า “ทุกคนยื้อไว้ กำลังเสริมจะมาแล้ว!”
ถ้าพวกเขาป้องกันไว้ได้นานพอ พวกเขาจะไม่ต้องตาย…อย่างน้อยคนส่วนใหญ่ก็จะไม่ตาย
ถ้าเป็นพวกเบื้องบนคนอื่นของสมาคมละก็ คำสั่งแรกคงให้สละพวกเขาไปให้หมด
เริ่นเสี่ยวซู่ใช้จังหวะความวุ่นวายนี้ผ่านแนวรบที่ทหารของสมาคมตั้งไว้ป้องกันไป ร่างแยกเงาพุ่งทะยานไปทางใต้ต่ออย่างบ้าคลั่ง เดิมเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าไปทางเหนือคงจะปลอดภัยกว่า แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าอันตรายกว่าโคตรเลย
ตอนที่สมาคมตระกูลชิ่งเข้ามาในเขาจิ้งซาน พวกเขาก็ตั้งใจหลบเลี่ยงเขตภูเขาไฟ ด้วยเพราะควันพิษไม่มีทางจะพัดไล่ออกไปได้ ดังนั้นเขตภูเขาไฟจึงเป็นเขตเดียวที่สมาคมตระกูลชิ่งไม่ได้มาล้างบาง ไม่คิดเลยว่าพวกตัวทดลองจะมาหลบซ่อนอยู่แถวๆ ภูเขาไฟเสียได้
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้เป็นคนล่อพวกตัวทดลองออกมา เขาแค่บังเอิญไปเจอพวกมันเข้าระหว่างเดินทางขึ้นเหนือ ตัวทดลองหลายร้อยเตรียมคิดจะโจมตีใส่มนุษย์ที่เข้ามาในเขาจิ้งซานอยู่แล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้หรอกว่าอะไรดึงดูดพวกมันมา หรืออาจเป็นเพราะภูเขาไฟเกิดการปะทุมันเลยออกมาเคลื่อนไหวขึ้นก็เป็นไปได้ แต่จะอะไรเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่สนใจทั้งนั้น จะให้เจอแมลงหน้าคน หรือเจอฝูงหมาป่า ก็ยังดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับพวกสมาคมตระกูลชิ่งหรือตัวทดลองละวะ!
สี่ตัวยังรับไหว แต่เจอตัวทดลองหลายร้อยแบบนี้เขาขอจรลี! ถ้าเขาไม่มีร่างแยกเงาคอยแบกหนีละก็ เริ่นเสี่ยวซู่คงนอนลงกับพื้นแสร้งเป็นตัวทดลองไปด้วยแล้ว อาจจะได้ผลก็ได้ เพราะสติปัญญาของพวกตัวทดลองนั้นต่ำต้อยเรี่ยดิน
เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยนักว่าทำไมมันถึงมีตัวทดลองมากมายขนาดนี้ เขาเห็นชัดเลยว่าสู่หมานเองก็ไม่คิดว่าตัวทดลองจะมีมากมายขนาดนี้เช่นกัน พวกมันแพร่พันธุ์มาตลอดหลายปีอย่างนั้นเหรอ ตัวทดลองที่ไม่มีโซ่ล่ามคือพวกที่เกิดมาที่หลังหรือเปล่า
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้จินตนาการฟุ้งไปเอง เขาแค่ไม่เข้าใจก็เท่านั้น ในป่าในเขาตัวทดลองก็ไม่มีกิจกรรมนันทนาการอะไรให้ทำอยู่แล้ว นอกจากผลิตลูกผลิตหลานก็ไม่น่ามีอะไรแล้วไหม
หลังจากฆ่าตัวทดลองไปสี่ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกราวกับว่าตัวเองไร้เทียมทานไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น แต่แค่ครึ่งชั่วโมงต่อมา ความห้าวหาญนี้ก็โดนความเป็นจริงดับสลายไปสิ้น
เริ่นเสี่ยวซู่: ข้าไร้เทียมทานเว้ย!
ความเป็นจริง: เปล่า เอ็งไม่ได้ไร้เทียมทาน
ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งนายที่เหลือมุ่งขึ้นเหนือไปช่วยพวกสู่หมาน
ขณะเดียวกันเริ่นเสี่ยวซู่ก็ใช้ช่องโหว่นี้ขยับไปทางใต้ ซึ่งเขาหวังว่ามันจะพาเขากลับไปเส้นทางเดิมที่จะมุ่งกลับป้อมปราการ 113
หยางเสียวจิ่นและลั่วซินอวี่หายไปไหนไม่รู้แล้ว ส่วนสูเสี่ยนฉู่ก็กำลังใช้อีกเส้นทางเดินทางออกจากเขาจิ้งซานแบบสบายใจเฉิบ
การผจญภัยนี้ราวกับเรื่องชวนหัว แต่ก็เผยให้เห็นความเป็นจริงของโลกแก่เริ่นเสี่ยวซู่
ตอนนี้รู้จักแค่บริษัทหัวจ่งและสมาคมตระกูลชิ่ง แต่ข้างนอกนั้นยังมีอีกหลายสมาคมองค์กรและหลายป้อมปราการ โลกใบนี้ใหญ่โตกว่าที่เขาคิดไว้
ระหว่างที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังหนีนั้น เขาก็ได้ยินเสียงภูเขาไฟระเบิดดังกึกก้องอยู่ข้างหลัง แม้แต่พื้นพสุธาก็สั่นไหวไป
ลาวาที่พ่นออกมาจากปล่องภูเขาไฟลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ ก้อนลาวาเมื่อเจอเข้ากับอากาศเย็นๆ ก็ก่อตัวเป็นก้อนหินร้อนๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ราวกับมีฝนอุกกาบาตสาดเทลงมา ผืนป่ากว้างใหญ่จมลงในทะเลเพลิง!