The King of the Battlefield - ตอนที่ 204
บทที่ 204: จริงหรือ… (1)
หัวหน้าตระกูลเรนเป็นชายชราคนหนึ่ง
ใบหน้าของเขาปรากฎริ้วรอยมากมาย จนคุณต้องสงสัยว่าคนผู้นี้ยังหลงเหลือความแข็งแกร่งอยู่อีกหรือไม่ นอกจากนั้นผิวหนังของเขายังบางเสียจนเห็นเส้นเลือดนูนโป่งได้ชัดเจน
ดูเหมือนว่าสภาพของเขาจะแย่เกินไปสำหรับการเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดของโนเบิลคาสเซิล แต่ในความเป็นจริงชายคนนี้เป็นผู้ที่ควบคุมทุกสิ่งมาอย่างยาวนาน และมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความโลภอันไร้ที่สิ้นสุด
ผู้ที่ตกเป็นทาสของอำนาจตัวเอง ล้วนน่าขยะแขยง มูยองไม่เข้าใจว่า การเป็นผู้มีอำนาจเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตจริงๆงั้นเหรอ
“ แกคือสาเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดนี่?”
ชายชราถาม
มูยองไม่ตอบเขา แต่ส่งสัญญาณให้จิ้งจอกเก้าหางออกไป จากนั้นจิ้งจอกเก้าหางก็โค้งคำนับอย่างสุภาพแล้วออกจากห้อง
สวูม!
มูยองวาดความโกรธเกรี้ยวไปในอากาศ ถึงมูยองอยากถามเรื่องผนึกก่อน แต่ชายชราคงไม่ตอบเป็นแน่ เพราะฉะนั้นมูยองจึงไม่ได้วางแผนที่จะเอ่ยคำถามสิ่งใด
ยุคสมัยของตระกูลเรนจะต้องสิ้นสุดลงตรงนี้ มูยองจะกลืนกินอสูรกายแห่งอำนาจตัวนี้ด้วยตนเอง และหลังจากนั้นเขาค่อยหาวิธีรับข้อมูลเกี่ยวกับเอลย่าซีโก้ก็ยังไม่สาย
“ แกทำแบบนี้ต้องการอะไร? ”
“ทุกๆอย่าง”
จิจิ! ชายชราเดาะลิ้นด้วยท่าทางขบขัน
ฟว้าง! ตูม! ตรึม!
พร้อมกับเสียงนั้น เสาขนาดใหญ่สี่ต้นก็ถูกสร้างขึ้นรอบบริเวณห้อง และดูเหมือนว่าตัวตนของมันจะเป็น ‘ผนึก’ อย่างหนึ่ง
“ แกจะไม่ได้อะไรไปจากโนเบิลคาสเซิล เพราะแกจะต้องตายที่นี่”
ชายชราพูดอย่างมั่นใจ
จากนั้นระหว่างช่องว่างของแต่ละเสาจู่ๆก็ปรากฏเงาลึกลับขึ้น เงาดังกล่าวคือผู้พิทักษ์ที่มีไว้ปกป้องหัวหน้าตระกูล นักรบ 18 คนที่ถูกเรียกว่าสาวกทั้ง 18
หลายสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าทำได้ล้วนถูกกระทำโดยคนเหล่านี้ ตัวตนทั้ง 18 เป็นบุคคลที่หัวหน้าตระกูลไว้วางใจมากเสียยิ่งกว่าสิ่งใด และไม่ต้องสงสัยในทักษะของพวกมัน หากสิบแปดคนนี้ร่วมมือกันย่อมไม่มีศัตรูหน้าไหนสามารถเอาชนะได้
ตอนนี้สาวกทั้งสิบแปดล้อมมูยองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โอกาสและทางถอยหนีของผู้ที่เป็นศัตรูถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์แบบ
“ ไอ้เด็กน้อย แกทำพลาดแล้วหล่ะที่อยู่กับฉันตามลำพัง ถึงจะคุกเข่าอ้อนวอนก็ดูจะสายไปแล้วสำหรับตอนนี้”
ชายชรารู้สึกผ่อนคลายสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายชรากล่าวว่ามันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่สำหรับมูยองที่สั่งให้จิ้งจอกเก้าหางจากไป มีแต่หัวหน้าตระกูลเท่านั้นที่สามารถควบคุมเสาทั้งสี่ และจากที่ผ่านมาใครก็ตามที่ถูกขังไว้ด้านในล้วนไม่สามารถหนีออกไปได้ ดังนั้นจากมุมมองของมันมูยองจึงไม่ต่างอะไรกับสุนัขจนตรอก
แสยะ!
อย่างไรก็ตามมีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของมูยอง
จากนั้นเขาขนาดใหญ่ก็งอกขึ้นจากกลางหน้าผากของเขา ในขณะที่ชายชรากำลังจะกระพริบตา โลกของมูยองก็เริ่มชะลอตัวลง ก่อนที่สาวกทั้งสิบแปดคนจะสามารถยกอาวุธของพวกมันเพื่อตอบสนอง มูยองก็เคลื่อนไหวแล้ว แค่ทักษะก็นับว่าต่างกันมากมาย แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือการเร่งความเร็ว 64 เท่าของมูยองทำให้ทุกคนดูช้ากว่าหอยทากซะอีก
ฉัวะ!
อันดับแรกมูยองแทงดาบไปที่สาวกซึ่งอยู่ทางด้านขวา ก่อนที่จะดึงดาบโดยที่ไม่ทำให้เลือดสักหยดกระเซ็นออกมา มันปราศจากเสียงกรีดร้องใดๆทั้งสิ้น
ในโลกที่เร็วขึ้น 64 เท่า ทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้าๆ เขาขยับร่างใช้ความโกรธเกรี้ยวแทงตัดขั้วหัวใจของพวกมันทีละคน เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วมูยองก็กลับไปยืนตรงกลางดังเดิม
ในขณะที่มูยองลดดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวลงพร้อมกับเขาที่เริ่มหดกลับเข้าไป เลือดสดๆของสาวกทั้งสิบแปดคนก็พวยพุ่งขึ้นไปในอากาศทันที
ชู่ววววว!
ร่างของมูยองเปียกโชกไปด้วยเลือด เหล่าสาวกทรุดเข่าลงกับพื้น ทุกคนล้วนกลายเป็นศพเย็นชืด
ทั้งสิบแปดชีวิตถูกสังหารตกตายลงไปโดยแทบจะพร้อมเพรียงกัน และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในการกระพริบตาครั้งเดียวของชายชรา
“ …นั่นมัน?”
ชายชราเผลอก้าวถอยหลัง
ผู้ที่เป็นทั้งเจ้าของและผู้ปกครองของป้อมปราการอันแข็งแกร่งเช่นโนเบิลคาสเซิลกำลังสั่นไหว นี่เป็นเหล่าสาวกทั้ง18 คนที่มันไว้ใจมากที่สุด ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังการต่อสู้ของมูยองพวกมันล้วนไม่ต่างจากผีเสื้อยามราตรี
หากต้องการเอาชนะมูยองจริงๆคงต้องใช้กำลังคนนับไม่ถ้วน หรือต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แค่คนระดับของสาวกทั้งสิบแปดพวกมันเป็นได้เพียงเหยื่อของมูยองเท่านั้น
ชายชราไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้ มันไม่เคยสูญเสียอะไรง่ายดายเช่นนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพราะชายชราปิดหูปิดตาตัวเอง มันมีนิสัยที่หยิ่งยโสและไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา เนื่องจากโนเบิสคาสเซิลคือป้อมปราการที่ไม่เคยถูกสั่นคลอนมาก่อน มันจึงคิดว่ามูยองคงไม่ต่างจากศัตรูในอดีตที่ผ่านมา และนี่จึงเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของมัน
ถ้ามันฉลาดจริงๆคงไม่คิดง่ายๆแบบนี้ แต่แน่นอนว่าถึงมันจะฉลาดขึ้น ผลลัพธ์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับศัตรูอย่างมูยองอยู่ดี คุณสามารถพูดได้อย่างไม่อายว่ามูยองเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งและเลวร้ายที่สุดในชีวิต
ไม่เพียงแค่โนเบิลคาสเซิล แต่ทุกตระกูลและเมืองต่างๆก็ไม่อาจหลีกหนีการถูกปฎิบัติด้วยความเย็นชาและเด็ดขาดเช่นนี้ มูยองเป็นผู้ที่สามารถทำลายรากฐานของพวกมันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วที่สุด ยิ่งตอนนี้เขามีกองทัพให้การสนับสนุนอยู่ด้วย โนเบิลคาสเซิลโชคไม่ดีเองที่มูยองเลือกโจมตีเป็นแห่งแรก
“ แกใช้เวทมนตร์อะไร? แกจัดการสาวกทั้ง 18 คนได้ยังไง?”
“ก็แค่ยอมรับมัน” มูยองพูดต่อ
“ ว่าแกแพ้ ส่วนคนที่ชนะคือฉัน”
สวูม!
ความโกรธเกรี้ยวกรีดเสียงร้องก่อนที่ผู้ครองโนเบิลคาสเซิลจะถูกลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
***
มูยองเงยหน้าขึ้นมองดูประตูขนาดใหญ่ที่ผนึกเอลยาซีโก้
‘มันเปิดไม่ออก’
ไม่ว่าจะพยายามลองยังไงก็ไม่ได้ผล ถึงมันจะถูกเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์แผดเผาก็ไม่ปรากฎแม้แต่ร่องรอยขีดข่วน
‘คงใช้วืธีปกติไม่ได้สินะ’
มูยองลูบคางพลางครุ่นคิดในขณะที่หันไปดูศพของหัวหน้าตระกูลเรน มูยองทำให้เขากลายเป็นกึ่งอันเดธ และรีดข้อมูลทั้งหมดที่เขามีเกี่ยวกับเอลยาซีโก้ ดังนั้นมูยองจึงสามารถไปถึงตราผนึกดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามตระกูลเรนเองก็ไม่สามารถเปิดประตูดังกล่าวได้แม้จะศึกษามาเป็นเวลานาน มูยองรู้วิธีที่จะปลดปล่อยตราผนึกนี้อยู่แล้ว จากการกระทำของปีศาจในอดีต
‘ลูซิเฟอร์’
มูยองปลุกลูซิเฟอร์ขึ้นมา หลังจากตรวจจับบางสิ่งได้จากอีกฝากหนึ่งของประตูมันก็พูดขึ้น
– ข้ารู้สึกได้ถึงอันตรายอันใหญ่หลวง เจ้าวางแผนที่จะปลุกสิ่งนั้นหรือ?
‘นายไม่คิดว่ามันน่าสนใจเหรอ?’
– เป็นผนึกปีศาจที่แข็งแกร่งมาก ดูเหมือนว่าผู้ที่สร้างจะเป็นเทพปีศาจมากกว่าปีศาจธรรมดา
ด้วยเหตุผลบางอย่างลูซิเฟอร์พูดมากกว่าปกติ นั่นหมายความว่าเขาสนใจตราผนึกและเอลย่าซีโก้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามมูยองไม่เคยรู้เลยว่าเทพปีศาจจะเป็นผู้วางตราผนึกด้วยตนเอง เพราะเท่าที่รู้มีเพียงแค่ว่ามันถูกผนึกมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลเท่านั้น
‘เป็นเทพปีศาจตนไหนกันนะ?’
– มันไม่ใช่เทพปีศาจของเลเมเกทัล อืม…ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก ข้ารู้สึกทั้งคุ้นเคยและแตกต่างจากมัน
ตัวตนที่ไม่ใช่หนึ่งใน 72 เทพปีศาจ
อย่างไรก็ตาม ดันดาเลี่ยนเคยพูดราวกับว่ามันรู้จักที่นี่ แน่นอนว่ามันไม่ได้บอกมูยอง แต่เป็นบางคำที่ซออึนเซกล่าว เธอบอกว่าเอลย่าซีโก้เป็นต้นเหตุแห่งการทำลายโลก มูยองวางแผนที่จะค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
‘ช่วยฉันลบตราผนึก’
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เขาก็ต้องเปิดประตูผนึกเพื่อยืนยันสิ่งเหล่านี้ มูยองขอความช่วยเหลือจากลูซิเฟอร์
ลูซิเฟอร์ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับมูยอง
– แม้ว่าข้าจะไม่ชอบน้ำเสียงของเจ้านัก แต่ข้าเองก็อยากรู้ในสิ่งเดียวกันสำหรับตัวตนของเทพปีศาจที่ข้าไม่รู้จักผู้นี้ ….
เดิมทีลูซิเฟอร์เป็นหนึ่งในเนฟีลิมที่มีระดับสูงสุด และนั่นคือสาเหตุที่เขาควรรู้ว่าอะไรที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตู ถ้าลูซิเฟอร์ยังไม่รู้พลังที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตูนั้นคงผิดปกติอย่างแท้จริง
ในไม่ช้าความมืดจำนวนมากก็เกิดขึ้นบนมือทั้งสองของมูยอง ความแข็งแกร่งในระดับที่แตกต่าง มันเป็นพลังในสายเลือดเทพของลูซิเฟอร์
ในสถานะนั้น มูยองกุมมือตัวเองเข้าด้วยกัน และเริ่มดึงพลังทั้งหมดของเขา
ซีสสสส!
ตูมมมม !
ประตูที่เปิดอย่างยากลำบากเปิดออกอย่างง่ายดายหลังจากมูยองได้รับพลังของลูซิเฟอร์ พอประตูบานใหญ่ถูกเปิด มูยองก็รีบเข้าไปด้านในทันที และเมื่อเข้าไปถึงก็เห็นห้องขนาดใหญ่ซึ่งทอดยาวไปอย่างยาวไกล ภายในนั้นปรากฎอาวุธรูปทรงแปลกประหลาดคล้ายแมงมุมเรียงอยู่เป็นแถบๆ
‘อาวุธโบราณเอลย่าซีโก้’
อาวุธรูปร่างเหมือนแมงมุมนั่นก็คือเอลย่าซีโก้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนเอลย่าซีโก้ทั้งหมดไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน พวกมันทั้งหมดอยู่ในสถานะที่หลับใหล แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มูยองรู้สึกเหมือนรู้วิธีเปิดใช้งานพวกมัน มันเป็นความคิดที่เกิดขึ้นเองในใจเมื่อเขาเข้ามา
‘ทั้งหมดมีหกส่วน’
เอลย่าซีโก้จะเปิดใช้งานได้เมื่อผู้ใช้งานตระหนักถึงบางอย่างเท่านั้น มูยองขยับและวางมือบนหินอ่อนที่อยู่ในแต่ละมุมของห้อง เมื่อถูกมือของเขาประทับลงไป เส้นแสงก็ถูกวาดขึ้นรอบๆห้องจนดูกลายเป็นสะพานแห่งแสง
ทั้งหมดหกเส้น หลังจากรูปทรงหกเหลี่ยมถูกวาด ห้องก็เต็มไปด้วยแสงสว่าง ยิ่งกว่านั้นตรงกลางห้องปรากฏภาษาและอักขระมากมายจากสิบเป็นร้อยเป็นพันรูปแบบ
มันดูเหมือนเป็นภาษาทั้งหมดของทุกสิ่งอย่างแท้จริง มีทั้งภาษาที่พูดกันบนโลกและในอันเดอร์เวิล์ด รวมไปถึงบางภาษาที่มูยองไม่รู้จัก ในหมู่พวกมันมูยองพยายามอ่านคำที่เขาสามารถเข้าใจได้
<อาวุธทำลายล้างเผาพันธุ์ เอลย่าซีโก้ ถูกเปิดใช้งาน >
<ตั้งค่าสายพันธุ์ที่คุณต้องการทำลายล้าง>
<ผู้ใช้ได้รับอนุญาตให้สามารถตรวจสอบการตั้งค่าของแต่ละสายพันธุ์ในอดีต>
อาวุธทำลายล้างเผาพันธุ์ ? มูยองกลืนน้ำลายลงคอ
เขาไม่เข้าใจความหมายคำว่าค่าของสายพันธุ์ ดังนั้นมูยองจึงวางมือบนหินอ่อนอีกครั้งเพื่อตรวจสอบการตั้งค่าของสายพันธุ์ที่มันหมายถึง
จากนั้นโลกรอบตัวเขาก็เคลื่อนไหว อากาศเบื้องหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลง ฉากเหตุการณ์ในระบบผุดออกมาทีละอันจากหลักสิบเป็นหลักร้อย แม้ว่าทุกฉากจะต่างกันออกไปแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ทุกแห่งกลายเป็น ‘สมรภูมิรบ’
พวกมันทั้งหมดเป็นภาพของแต่ละเผ่าพันธุ์ที่กำลังถูกทำลายล้างโดยเอลย่าซีโก้ภาษาเหล่านั้นเป็นภาษาของผู้ที่ถูกเข่นฆ่าสังหาร และในหมู่พวกมันมีฉากของโลกปรากฎอยู่
มูยองเลือกฉากของโลกทันที
จากนั้นฉากดังกล่าวก็ขยายและปรากฏเป็นสนามรบขนาดใหญ่
ปัง! ปัง! บรึม!
ระเบิดรุนแรงแตกตัวออก อาวุธนิวเคลียร์พุ่งตกลงมา สถานที่ของโลกต้องเปลี่ยนแปลงไปจากแผนที่ และมีผู้คนหลายแสนคนถูกสังหาร
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอาวุธทันสมัยใดๆสามารถต่อต้านเอลย่าซีโก้ได้ บาเรียของเอลย่าซีโก้สกัดกั้นอาวุธของโลกยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์
เอลย่าซีโก้ทำลายโลกและมนุษยชาติอย่างไร้ความปราณี แม้ว่าภาพที่เห็นจะเป็นเพียงข้อมูล แต่คุณก็ไม่สามารถพูดได้ว่าความชัดเจนดังกล่าวเป็นเรื่องหลอกลวง
‘สิ่งที่ดันดาเลี่ยนบอกเป็นเรื่องจริงเหรอ?’
เอลย่าซีโก้นั้นทำลายโลก เขาไม่สามารถเชื่อมันได้ เขาไม่เชื่อมันแน่นอน มันเป็นอวตารแห่งการโกหก มูยองคิดว่านี่เป็นเรื่องโกหกโดยการใช้เลห์กลบางอย่างของดันดาเลี่ยน
ที่มูยองไม่เชื่อก็เพราะว่ามีคนเข้ามาใหม่ในอันเดอร์เวิลด์ทุกเดือนแม้แต่ตอนนี้ ถ้าโลกถูกทำลายจริงๆพวกเขาเป็นใคร?
มูยองคิดหนัก มนุษย์ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามนุษยทั้งโลกจะรวมพลังกัน แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยน และในขณะที่เขาดูการต่อสู้ มูยองก็สามารถเห็นด้านหลังของผู้ควบคุมเอลย่าซีโก้ได้
มันเป็นผู้ชายที่มีผมและหนวดเครายาวสีขาว ในขณะที่มือถือหนังสือเล่มหนึ่ง เขากำลังมองโลกด้วยสายตาอันว่างเปล่า
‘เขาเป็นใคร?’
มูยองไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อน เขาไม่สามารถระบุได้ว่าชายดังกล่าวเป็นใคร อย่างไรก็ตามมันรู้สึกแปลกๆ
– ฮ่า ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อเลย
ลูซิเฟอร์ตอบสนองหลังจากที่ได้เห็นชายคนนั้น
‘นายรู้เหรอว่านั่นเป็นใคร? มูยองอดไม่ได้ที่จะถาม
ลูซิเฟอร์ดูสั่นไหวเล็กน้อย เขาเหมือนกำลังประหลาดใจอยู่มากทีเดียว และนั่นอาจเป็นเพราะเขารู้ว่ามันเป็นใคร ลูซิเฟอร์ผู้ที่ซึ่งไม่ตอบสนองต่ออะไรเลย ถ้าลูซิเฟอร์ยังแสดงให้เห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ แสดงว่าชายคนนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่ง จากนั้นลูซิเฟอร์ก็ตอบกลับสั้นๆหลังจากสังเกตชายชราผมขาว
– เขาคือ โซโลมอน