The King of the Battlefield - ตอนที่ 213
บทที่ 213: ราชาปีศาจเหล็กเอนโรธ (2)
ยิ่งกว่านั้นฉายาดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่ราชาปีศาจตั้งกันเองตามอำเภอใจ มันเป็นชื่อที่บาอัลมอบให้เพื่อเป็นเกียรติแก่ราชาปีศาจทั้งสิบแปดตนเหล่านั้น
พวกมันล้วนเป็นราชาปีศาจมีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่ง และมีกองทัพที่ยิ่งใหญ่กว่าราชาปีศาจตนอื่นๆ
เพราะเหตุนี้การทำสงครามกับเอนโรธจึงทำให้มูยองตกใจ
“ พวกนายมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ได้ยังไง?”
มูยองอดไม่ได้ที่จะถาม
เห็นได้ชัดว่าพลังรบของอาณาเขตในปัจจุบันเต็มไปด้วยศักยภาพ หัวเมืองส่วนใหญ่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับที่นี่อีก และที่นี่ยังเต็มไปด้วยประชากรมากมายหลายสายพันธุ์ที่รวมตัวกันอย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตามมันไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเอนโรธ หากมองตามปกติทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาเขตแห่งนี้จะต้องถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
แต่ในความเป็นจริงอาณาเขตกลับมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าในอดีตซะอีก แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในภาวะสงครามแต่ก็ยังสามารถขยายอาณาเขตและประชากรเพิ่มมากขึ้น
ไม่ใช่แค่นั้น ผู้ที่รอดชีวิตต่างก็มีทักษะที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นเช่นกัน มอนสเตอร์ระดับสูงส่วนใหญ่ยังไม่แข็งแกร่งไม่เท่าพวกเขา
ตอนนี้แม้ว่ามูยองจะกลับมาแล้ว แต่พลเมืองก็ดูเหมือนจะไม่เคารพเขาจริงๆเท่าไหร่
ลอร์ดที่หายตัวไปเป็นเวลาสองปีโดยไม่บอกกล่าวในขณะที่สงครามเริ่มขึ้น แน่นอนว่ามันเป็นที่เข้าใจสำหรับพวกเขาที่จะจมอยู่ในความรู้สึกแย่ๆ
ถึงกระนั้นพวกเขาก็มองมูยองด้วยสายตาที่มีความหวัง พวกเขาเชื่อว่ากองทัพที่มูยองนำมาจะช่วยได้อย่างแน่นอน
บาลตันไม่ตอบคำถามของมูยอง ในขณะที่พามูยองไปยังปราสาท
“ ผมจะบอกท่านทุกอย่างหลังจากที่เราขึ้นไปข้างบน”
***
ด้านในของปราสาทนั้นไม่แตกต่างจากที่มูยองจำได้
อันดับแรกทุกอย่างถูกทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูเป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดถูกแตะต้องและเคลื่อนย้าย ด้วยเหตุนี้มูยองจึงเชื่อว่าศรัทธาของพวกเขาต่อลอร์ดของตนยังไม่ตกต่ำจนถึงขีดสุด
‘การปรับดวงวิญญาณ … ‘
มูยองนั่งอยู่บนบัลลังก์แล้วมองไปที่บาลตัน
บาลตันคุกเข่าลงต่อหน้าเขา และดวงวิญญาณก็ถูกทำให้เฉียบคมอีกครั้ง
การเชื่อมต่อที่เสียไปเริ่มเชื่อมต่อใหม่
นี่เป็นผลให้บาลตันกลายเป็นบริวารของมูยองอย่างแท้จริงอีกครั้ง ผู้พิทักษ์อาณาเขต ในฐานะอันเดธที่สร้างโดยมูยองเขาได้รับหน้าที่และอำนาจเดิมกลับคืนมา
ชื่อ:บาลตัน
เลเวล: 445
ประเภท: อัศวินผู้พิทักษ์
พละกำลัง 447 (427+20) ความว่องไว 355 (335+20) ความอดทน 498 (478+20)
ความฉลาด 320 (300 + 20) ภูมิปัญญา 345 (325 + 20) ความทรหด 483 (463 + 20)
+ ความเข้าใจในดาบขั้นดีเยี่ยม
+ สมรรถภาพการต่อสู้ทางกายขั้นดีเยี่ยม
+ ผู้พิทักษ์อาณาเขต (ภายในอาณาเขตที่กำหนด สเตตัสทั้งหมด +20)
+ เสียงตะโกนของผู้พิทักษ์ (ภายในอาณาเขต ความอดทนของ ‘พันธมิตร’ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย)
+ เพิ่มศักยภาพ (แข็งแกร่งขึ้นเมื่อต่อสู้เพื่อปกป้องบางสิ่ง)
+ สะสางหนี้แค้น
+ อัตราอนุรักษ์นิยมสูง (มีความอิสระสูง)
พอมูยองตั้งใจสังเกตบาลตันหน้าต่างแสดงสถานะก็แสดงข้อมูลออกมา
‘อย่างที่คาดไว้’
บาลตันเติบโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงไม่มีหน้าต่างแสดงข้มูลดังกล่าวมูยองก็ยังรู้สึกได้
ถ้าเขาเติบโตมากขนาดนี้มันก็เพียงพอที่จะพิจารณาว่าเขามีพลังพอๆกับมอนสเตอร์ชั้นยอด
เงื่อนไขที่ต้องการต่อสู้เพื่อปกป้องผู้อื่นทำให้บาลตันเติบโตขึ้น
และสองปีที่ผ่านมาก็มีการต่อสู้ที่ไม่เคยหยุดชะงักจึงทำให้เขาแข็งแกร่งเช่นนี้
แต่ถึงกระนั้นมันก็เติบโตเร็วผิดปกติอยู่ดี
‘ต้องมีสาเหตุอื่นอีก’
มันยากที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งด้วยการต่อสู้เพียงอย่างเดียว
“พูดต่อไป”
มูยองสั่งราวกับรู้ว่ายังมีเรื่องที่บาลตันยังไม่ได้รายงาน
บาลตันเงยหน้าขึ้น
“ หลังจากที่ท่านหายตัวไปเราก็ขยายพื้นที่ของเรา เมื่ออาณาเขตมีขนาดใหญ่ขึ้น ข่าวเกี่ยวกับเราที่ต้อนรับทุกเผ่าพันธุ์ก็แพร่กระจายจนมีผู้เข้าร่วมมากมาย และนั้นเราจึงมีกองทัพที่แกร่งขึ้นมาก”
เผ่าพันธุ์ต่างๆมารวมตัวกัน และอาศัยอยู่ในดินแดนเทพปีศาจ! แน่นอนว่าจะมีหลายเผ่าที่กำลังรอสถานที่ดังกล่าว แม้ว่าจะเป็นดินแดนเทพปีศาจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่มอนสเตอร์จำพวกดุร้าย มีผู้ที่เชื่อว่าพวกเขาควรรวมกำลังกันเมื่ออยู่ในดินแดนแห่งนี้และสร้างอารยะธรรมที่เจริญรุ่งเรืองขึ้น
“ และเมื่ออาณาเขตมีขนาดที่ใหญ่โตระดับหนึ่ง ดันเจี้ยนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง”
ดันเจี้ยนที่ว่าก็คืออาณาจักรของเมอร์ดูดันที่ซึ่งเมอร์ล็อคอาศัยอยู่
“ มีเรื่องแปลกอะไรเกิดขึ้น”
“ รูปร่างของเมอร์ล็อคเปลี่ยน และเส้นกั้นเขตแดนของดันเจี้ยนหายไป เมื่อใครก็ตามไปยังสถานที่ที่ ‘เซจ’ ดำรงอยู่ พวกเขาจะได้รับการฝึกฝนจากพวกนั้น “
เซจ?
จู่ๆเมอร์ดูดันโผล่ก็ออกมาจากมูยอง และทำหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่ง
– ดูเหมือนว่าเจ้านี่กำลังพูดถึงนักปราชญ์โบราณของเมอร์ล็อค แต่พวกมันควรตายไปหมดแล้วนี่ เพราะพวกมันจะสูญเสียพลังไปหลังจากที่ข้าเสียชีวิต
“ถูกต้อง พวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงรูปปั้นหิน แต่ว่าความรู้ของพวกเขายังคงอยู่ ต้องขอบคุณสิ่งนี้นักรบของทุกเผ่าพันธุ์รวมทั้งตัวผมจึงสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว “
– อืมโชคดีนัก เจ้าพวกนั้นก็ยอดเยี่ยมจริงๆนั่นแหละ ถ้าพวกมันไม่หนีไปเพราะความเผด็จการของข้า ข้าคงไม่ถูกหลอกด้วยเล่ห์กลโง่ๆของดันดาเลี่ยน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นความพ่ายแพ้ของดันดาเลี่ยนด้วยซ้ำ
เมอร์ดูดันพูดด้วยความเสียใจ
แม้ดันดาเลี่ยนจะเป็นเทพปีศาจ แต่เมอร์ดูดันพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาที่จะเอาชนะเทพปีศาจด้วยพลังของเซจ ดูเหมือนว่านักปราชญ์ของเมอร์ล็อคจะแข็งแกร่งเมื่อพวกเขามีชีวิตอยู่
มูยองยังคงยิงคำถามต่อไป
“ แล้วนายไปมีเรื่องกับเอนโรธได้ยังไง?”
“ ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าพวกปีศาจต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงดินแดน?”
“ฉันรู้”
“ พวกมันทำสงครามพิชิตดินแดนอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าเอนโรธก็เช่นเดียวกัน อาณาเขตของเราในปัจจุบันเป็นหนึ่งในบางแห่งที่มันกำลังไล่ล่าอยู่”
มันไม่ใช่สงครามเพียงแห่งเดียวของเอนโรธ นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมที่นี่ถึงทนมาได้ถึง 2 ปี แต่ …
‘สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว’
มูยองคิดถึงสิ่งที่บาลตันพูด
สงครามรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว มันไม่ได้เริ่มต้นหลังจากผ่านมหาภัยพิบัติเหมือนในอดีตที่ผ่านมาหรอกเหรอ?
เดียโบลและสกายลอร์ดรวมถึงสิ่งอื่นๆสร้างตัวแปรใหม่ขึ้นมา
และตัวแปรเหล่านั้นล้วนถูกสร้างหรือได้รับอิทธิพลจากมูยองทั้งสิ้น
‘ฉันได้รับพลังเพิ่มขึ้นเพื่อต่อสู้กับตัวแปรต่างๆ’
อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้รอให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นเฉยๆ แม้ว่าตัวแปรมากมายจะปรากฏขึ้น แต่เขาก็ได้รับพลังมากขึ้นเช่นกัน
เมื่ออนาคตยังไม่ได้เกิด ย่อมมีหลายวิธีที่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
“ มีราชาปีศาจสี่ตนที่ภายใต้คำสั่งของเอนโรธ นายรู้ไหมใครนำทัพมา?”
ราชาปีศาจไม่สามารถมีราชาปีศาจอื่นอยู่ภายใต้บังคับบัญชานี่เป็นกรณีปกติ แต่มันแตกต่างกันสำหรับราชาปีศาจสิบแปดอันดับแรก โดยเฉพาะสี่ราชาปีศาจที่มีชื่อเสียงของเอนโรธ
“ชาร์-ซาซ่า มันนำปีศาจหนึ่งแสนตนบุกมา ในขณะที่เราต้องปกป้องอาณาเขต เหล่าไฟทาร์เองก็ใกล้จะถูกสูญพันธ์เช่นกัน”
“ พวกนายไม่ได้ร่วมมือกันเหรอ?”
“ พวกเขามีความภูมิใจในตัวเองสูง บางทีอาจเป็นเพราะท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขาจึงไม่เคยคิดร่วมมือกับผม”
มูยองพยักหน้า
ไฟทาร์เป็นเจ้าของและชนพื้นเมืองของภูมิภาคนี้
นักล่าตามธรรมชาติ และยักษ์ใหญ่แห่งเปลวเพลิง
ปีศาจส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงไฟทาร์ แต่ถ้ามันเป็นหนึ่งในสี่ขุนพลของเอนโรธเรื่องราวก็แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นโอการ์ เขาควรจะสามารถสร้างความร่วมมือได้ แต่สุดท้ายก็เป็นไปไม่ได้งั้นเหรอ?
“ อาณาเขตของเราสูญเสียบุคลากรที่แข็งแกร่งไปหลายคน แม้แต่ไอรีน … ก็ยังถูกชาร์-ซาซ่าฆ่าตายด้วย”
ไอรีนงั้นเหรอ? มูยองจำได้ เธอเป็นผู้หญิงที่คอยสนับสนุนบาลตัน
อย่างไรก็ตามบาลตันเป็นอันเดธ เขาไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆ แต่กระนั้นบาลตันก็ยังโกรธ นี่เป็นสาเหตุของผลกระทบ ‘สะสางหนี้แค้น’ ที่ปรากฏบนตัวแสดงสถานะหรือไม่?
จนกว่าการแก้แค้นจะสำเร็จ เขาจะอดทนต่อความยากลำบากทุกประเภท เมื่อเห็นมันถูกเขียนบนหน้าต่างสเตตัสแล้วมูยองก็สามารถเข้าใจได้ว่าเขาพยาบาทคาดแค้นขนาดไหน
“ นี่เป็นวิวัฒนาการของอันเดธหรือเปล่า? ‘
ในส่วนนี้มูยองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเป็นอันเดธ แต่บาลตันก็ฟื้นความรู้สึกในฐานะมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ
จริงๆแล้วพอมาลองคิดดูสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับบาลตันคนเดียว เบซองมินก็เป็นเช่นนี้
‘เป็นเพราะศิลปะแห่งความตายหรือไม่ก็มีบางอย่างเกี่ยวกับอันเดธที่ฉันไม่รู้ “
ขณะที่มูยองกำลังครุ่นคิดประตูก็ถูกเปิดออก
“ลอร์ดของข้า! เป็นท่านจริงๆใช่ไหม!”
ร่างท้วมเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเขา
เขาผู้นั้นคือคนแคระนามว่าการ์มูส
ในอดีตมูยองเคยช่วยเขาขึ้นมาจากสังเวียนใต้ดิน และหลังจากนั้นการ์มูสก็กลายเป็นผู้ติดตามของมูยอง
“การ์มูส”
“ อ่าท่านกลับมาแล้วจริงๆ!”
ร่างกายของการ์มูสสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และเกือบจะร้องไห้เมื่อเห็นหน้ามูยอง
“ ข้าคิดว่าต้องมีบางสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับท่าน ถึงแม้ข้าจะไม่เชื่อก็ตาม แต่เวลาก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน”
“ ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก”
“แน่นอน ข้าเชื่อในตัวท่าน”
“ ฉันอยากรู้รายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของเรา”
“ย่อมได้ ข้าจะอธิบายทุกอย่าง”
การ์มูสพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
สิ่งที่เปลี่ยนไปในสองปีที่ผ่านมา ถ้าเขาใช้ทักษะของ ‘ลอร์ด’ เขาสามารถค้นหาสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่ทุกสิ่งไม่สามารถเข้าใจได้เพียงการมองผ่านตัวเลขอย่างเดียว
มันเข้าใจได้ง่ายกว่าเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นกับหู รวมไปถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ในสงคราม
“ …เนื่องจากสงครามพิชิตดินแดนเริ่มขึ้น คนแคระจึงไม่สามารถติดต่อกันได้ และเนื่องจากเราไม่สามารถติดต่อกับหัตถ์พระเจ้าบาร์ทัส ตอนนี้พวกเขาอาจเริ่มสร้างเส้นทางป้องกันตนเองแล้ว”
การป้องกันตัวเอง
เป็นระดับการซ่อนตัวขั้นสูงสุดจากศัตรูของคนแคระ เหมือนตอนที่พวกเขาหนีจากมังกรในอดีต
ยังไงก็ตามมูยองต้องการความสามารถของบาร์ทัส ในการสร้างส่วนที่เหลือของเซ็ตอุปกรณ์ ‘ราชันอมตะ’
ชิ้นส่วนของราชันอมตะ และไอเทมที่บรรจุพรแห่งดวงจันทร์ ขณะเตรียมไอเทมเหล่านั้นหมดแล้วสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือหาช่างฝีมือมาสร้างมัน
“ ถ้าเราเปิดทางและมอบทหารส่วนหนึ่งกับนาย นายมั่นใจหรือเปล่าว่าจะหาบาร์ทัสเจอ”
“ท่านหมายถึงข้า?”
“ใช่”
การ์มูสคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“ ข้าจะพยายาม ไม่สิ ข้าทำได้แน่นอน”
“ ไปกับทาร์แคน เขาใช้เวทย์มนตร์เกี่ยวกับการส่งผ่านทางไกลได้ พอนายเจอบาร์ทัสจะได้กลับอาณาเขตได้ทันที “
“ตกลง”
การ์มูสตอบอย่างร่าเริง ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งที่มีความสุขจริงๆที่มูยองกลับมา
“ อะไรคือเหตุผลที่นายต้องสู้กับสกายลอร์ด?” มูยองหันไปถามบาลตัน
“ เป็นเพราะเกล็ดของมัน เราสรุปว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะป้องกันสายฟ้าของชาร์ซาซ่าได้…สกายลอร์ดจะลอกคราบทุกๆ 14 วันและอ่อนแอลง ผมเชื่อว่าเราสามารถใช้ประโยชน์จากเวลานั้นได้”
แต่ความเป็นจริงนั้นแตกต่างจากที่คิดไว้มาก บาลตันพูดด้วยความเสียใจเล็กน้อยขณะที่เขาได้เผชิญกับพลังที่ท่วมท้นของสกายลอร์ด หากมูยองไม่แทรกแซงการต่อสู้เขาจะต้องสูญเสียทหารเกือบทั้งหมดไปแล้ว
อย่างไรก็ตามหากพูดถึงชาร์ซาซ่า มันเป็นราชาปีศาจผู้ใช้สายฟ้า
ถึงมูยองจะไม่เคยพบมันมาก่อน แต่มันเป็นหนึ่งในราชาปีศาจอันดับต้นๆ ดังนั้นมันจะต้องมีพลังมากแน่ๆ
แม้ว่าพวกบาลตันจะแข็งแกร่งขึ้น แต่มันคงยากที่จะต่อสู้กับราชาปีศาจอย่างชาร์ซาซ่า นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเดิมพันเพื่อให้ได้ส่วนผสมสำหรับป้องกันการโจมตีด้วยสายฟ้า
ถึงมันจะไม่ง่าย แต่มูยองไม่เคยคิดว่าเขาจะแพ้
หากเขาไม่สามารถเอาชนะราชาปีศาจตนนี้ได้ เขาจะแข่งขันกับเหล่าเทพปีศาจได้อย่างไร
มูยองสัมผัสดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว จากนั้นความโกรธเกรี้ยวก็ส่งเสียงหึ่งๆออกมาด้วยความกระตือรือร้น
* * *
ชาร์ซาซ่าชอบเล่นเกม
แทนที่จะบดขยี้คู่ต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่ง เขาชอบให้ความหวังก่อนจะสังหารศัตรูมากกว่า
“ นี่คือศิลปะอย่างแท้จริง”
ชายผิวเหลืองผู้ที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้ากล่าว
ชาร์ซาซ่าชื่นชมยักษ์ที่กำลังถูกตรึงด้านหน้า นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นๆที่มีสภาพไม่ต่างกันอยู่รอบๆ
ขณะที่ชาร์ซาซ่ายื่นมือออกมา คลื่นไฟฟ้าก็วิ่งวนไปทั่วร่างของผู้ที่ถูกตรึงก่อนจะค่อยๆเผาไหม้พวกเขา
“ ตายซะยังดีกว่าหากจะนำความอับอายมาสู่นักรบของเรา! สังหารข้าซะ !!”
ยักษ์ทั้งหมดเสียชีวิต สิ่งมีชีวิตของเผ่าพันธุ์อื่นก็ตายเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีลมหายใจ มีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่เหลือรอดอยู่เพียงหนึ่ง
นักรบที่ถูกขังอยู่ในกรงเหล็กขนาดใหญ่ รองหัวหน้าเผ่าไฟทาร์ โอการ์
ในขณะที่มองเขา ชาร์ซาซ่าหัวเราะ
“ พวกมันไม่ได้วิ่งแจ้นเข้ามาช่วยเจ้าเองหรอกเหรอ? แล้วจะให้ข้ารีบสังหารเจ้าได้ยังไง หมดสนุกกันพอดี”
ยักษ์ใหญ่เหล่านี้เผชิญหน้ากับชาร์ซาซ่าเพื่อช่วยโอการ์
ทว่าเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตของเผ่าพันธุ์อื่นๆ สำหรับซาซ่าทั้งหมดก็เป็นแค่มดปลวกที่อาศัยอยู่ใน ‘ดินแดน’ แห่งนี้เท่านั้น เขาไม่ได้สนใจพวกมันมากนัก
“สารเลว! ข้าจะ… ฆ่าเจ้า! ไม่ว่าจะเลือดเนื้อหรือแม้แต่กระดูกข้าก็จะไม่ทิ้งเหลือไว้ในร่างกายเจ้า!”
“ ฟังดูค่อนข้างสนุกเหมือนกันนะ”
ชาร์ซาซ่าระเบิดเสียงหัวเราะ
ในขณะนั้นปีศาจผู้ใต้บังคับบัญชาของมันก็มารายงานบางสิ่ง
“ท่านซาซ่า”
“มีอะไร? ข้าเหมือนจะเคยบอกเจ้าไปแล้วนะว่าห้ามรบกวนข้าเวลาสร้างผลงานศิลปะ?”
“โปรดอภัย แต่เจ้าของ ‘อาณาเขต’ ผู้รวบรวมเผ่าพันธุ์ต่างๆกลับมาแล้ว”
‘หืม?’
สิ่งมีชีวิตของเผ่าพันธุ์อื่นนอกจากปีศาจ เจ้าของอาณาเขตของเผ่าพันธุ์ที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย? แค่เพิ่มมาอีกหนึ่งแล้วพวกมันจะทำอะไรได้? ชาร์ซาซ่าหัวเราะ
“ นั่นไม่มีความสำคัญใดๆ ”
โผล๊ะ!
ร่างของปีศาจตนนั้นแตกออกเป็นชิ้นๆ และในขณะที่ซาซ่าหัวเราะ โอการ์ก็หัวเราะด้วย
“เขากลับมาแล้ว! มูยอง! ฮ่าๆ!”
“ มีอะไรน่าขันง้ันเหรอ?”
“ เขายังไม่ตาย! อย่างที่คาดไว้เขาเป็นอมตะ ข่ะฮ่าๆๆๆ!”
โอการ์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ เจ้าสารเลวนี่เสียสติไปแล้ว”
ซาซ่าเชื่อว่าสุดท้ายโอการ์ก็สูญเสียความคิดของเขา
เขาคงเป็นบ้าไปหลังจากเห็นพวกพ้องเสียชีวิต
และแน่นอนว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับเจ้าของอาณาเขตที่ชื่อว่ามูยองมากเท่าไหร่