The King of the Battlefield - ตอนที่ 272-273
บทที่ 272-273 สงครามเทพปีศาจ (2)
ฟื้ว
เสียงลมพัดหวีดหวิวผ่านดินแดนที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตาย
ที่นี่มีศพของแมลงพิษนับไม่ถ้วนเต็มผืนดิน และที่จุดศูนย์กลางของพวกมันมีมนุษย์ครึ่งสัตว์ล้มลงอยู่ตรงนั้น
สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มีร่างกายท่อนบนเป็นช้าง และท่อนล่างเป็นมนุษย์ดังกล่าว คือบูเน่
เทพปีศาจลำดับที่ 26 หนึ่งในสมาชิกของฝ่ายพันธมิตร
“ เอ่อ…เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร…?”
ร่างของบูเน่เริ่มสลายกลายเป็นฝุ่น เมื่อมันเข้าสู่สภาวะการดับสูญ ในขณะที่มูยองและคริมสันบาร็อคยืนอยู่ตรงหน้านั้น
‘ถ้ำแมลง’ เป็นสถานที่ที่บูเน่ใช้กินอาหาร และข้อมูลเหล่านี้มีอยู่ในความทรงจำของดันดาเลี่ยน
เงื่อนไขการดับสูญของมันก็คือต้องกินแมลงสองครั้งในปีหนึ่งๆ ด้วยเหตุนี้บูเน่จึงปรากฏที่นี่ ในความทรงจำของดันดาเลี่ยนยังบอกไว้อีกว่ามันจะปรากฏตัวเพียงลำพังเท่านั้นเนื่องจากมันไม่ไว้วางใจสมุนตนใด
“ กลิ่นเหม็นรุนแรงเสียจริง ”
มูรุมูรุกุมจมูกยืนอยู่ด้านหลัง มันอยู่ที่นี่พร้อมกับมูยองเพื่อจัดการบูเน่
ตึบ!หลังจากนั้นที่มูรุมูรุกระทืบบูเน่ซ้ำ ทำให้ความเร็วในการสลายร่างเร็วขึ้น
“เจ้าพวกแมลงสาบชั้นต่ำ! พวกแกจะต้องถูกท่านบาอัลลงโทษ…!”
กล่าวจบบูเน่ก็หายไปอย่างสมบูรณ์
ตึงๆ! ตึงๆ!!คริมสันบาร็อคทุบหน้าอกของตัวเอง
มูยองพาคริมสันบาร็อคมาด้วยเพราะมันมีประโยชน์ในการต่อสู้ เนื่องจากระดับพลังของคริมสันบาร็อคเพิ่มขึ้นเกินระดับของราชาปีศาจไปแล้ว ดังนั้นมันจึงสามารถสร้างความเสียหายระดับหนึ่งให้กับเทพปีศาจได้เช่นกัน
มูยองหยิบแมลงขนาดใหญ่จากบริเวณใกล้เคียงโยนเข้าปากคริมสันบาร็อค
‘มันกินได้ทุกอย่าง’
ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่การไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารถือเป็นเรื่องดี และบางทีมันอาจจะคิดว่าการได้กินเป็นรางวัลจึงกรีดร้องอย่างมีความสุข
“ แค่บาร็อคธรรมดายังเกือบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเชื่อว่าสัตว์ประหลาดเช่นนี้ยังคงหลงเหลืออยู่”
มูรุมูรุพูดพลางพยักหน้า
ราชาปีศาจไม่สามารถฆ่าบัลร็อกที่แข็งแกร่งได้ เทพปีศาจที่เข้ายึดครองโลกแห่งนี้จึงไล่ล่าพวกมัน และคริมสันบาร็อคนั้นดูจะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบาร็อคทั้งหมด
ในที่สุดมูรุมูรุก็มองไปที่มูยองแล้วถามอีกครั้ง
“ถ้ำแมลงของบูเน่มีตั้งมากมายแล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นถ้ำแห่งนี้?”
“ก็แค่โชคดีน่ะ”
มูยองอธิบายสั้นๆง่ายๆ ก่อนจะยื่นแขนออกไปแล้วดูดกลืนหนึ่งใน ‘พลัง’ ของบูเน่
<พลังนักล่ากำลังดูดกลืนพลังของบูเน่>
<คุณได้ดูดซับ ‘พลังแมลง’ แล้ว>
<‘พลังแมลง’ เป็นพลังพิเศษของบูเน่ ซึ่งช่วยในการควบคุมแมลงภายในรัศมี 100 กม. และได้รับการมองเห็นผ่านพวกมัน>
ดูเหมือนจะเป็นพลังที่ไร้ประโยชน์ เพราะเทพปีศาจสามารถสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของแมลงแม้กระทั่งสัตว์ที่อยู่ห่างไกลอยู่แล้ว แต่ยังไงซะการมีหูมีตามากๆก็ดีกว่าไม่มี แม้รัศมีการมองเห็นจะมีเพียง 100 กม. ก็ตาม
นอกจากนั้นยังมีหน้าต่างโผล่ขึ้นมาอีกหลายบาน ที่แสดงให้เห็นว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นเมื่อเขาสังหารบูเน่
อย่างไรก็ตามมันดูน้อยเทียบกับตอนที่สังหารเลราเจ
‘บูเน่ไม่ได้เด่นเรื่องการทำสงคราม’
บูเน่จัดเป็นเทพปีศาจสายสติปัญญา และนั่นเป็นเหตุผลที่มูยองต้องกำจัดมันก่อน และการที่มีมูรูมูรุอยู่ด้วยจึงเป็นการต่อสู้ที่ง่ายมาก
“ แค่โชคดีเนี้ยนะ? เจ้าคิดว่านั่นเป็นคำอธิบายที่ดีแล้วงั้นหรือ?”
มูรูมูรูกล่าวว่ากลับมาเล็กน้อย
แน่นอนว่าความสามารถในการค้นหาถ้ำแมลงนั้นถือเป็นของมูยอง หลังจากค้นหาโดยใช้ความทรงจำของดันดาเลี่ยนแล้ว มูยองก็สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชี่ยวชาญด้านการลอบเร้นเข้าไปสืบเรื่องเวลาที่เหมาะสม และตรวจสอบข้อมูลอยู่หลายครั้ง หลังจากการวิเคราะห์เสร็จพวกเขาก็หาตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้สูงเจอ แม้โอกาสจะยังเป็น 50:50 แต่ก็สูงพอที่จะเดิมพัน อย่างไรก็ตามเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายรายละเอียดเหล่านั้นให้มูรุมูรุรับรู้
มูยองเดินไปโดยไม่สนใจมูรุมูรุ
‘การกำจัดบูเน่ที่เป็นเหมือนแหล่งข้อมูลข่าวสารไม่ต่างจากการตัดแขนตัดขาของพวกมัน’
การที่เทพปีศาจกำลังระดมพลอย่างช้าๆ จะต้องเกิดข่าวลือมากมาย ตัวอย่างเช่น กองกำลังของฝ่ายปฏิปักษ์ และตัวตนเหนือธรรมชาติที่กำลังรวมตัวกัน ข้อมูลเช่นนี้ย่อมทำให้พวกมันต้องเคลื่อนไหว
‘ยังไงก็ตามพวกมันไม่รู้จักเบซองมิน ซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอิสระ’
มูยองเปิดศึกสองด้าน
ตัวเขาเองกำลังเคลื่อนไหวอยู่กับเทพปีศาจฝ่ายปฏิปักษ์ ส่วนเบซองมินกำลังระดมอย่างอิสระเพื่อรวมทุกเผ่าพันธุ์เข้าด้วยกัน เป้าหมายการโจมตีแรกของพวกเขาคือเทพปีศาจลำดับที่ 40 ราอุม
มูยองแอบมองมูรุมูรุอย่างลับๆ
‘มูรุมูรุ’ มันได้รับเลือกให้จับตามองมูยอง เพราะไม่ว่ามูยองจะแสดงจุดยืนดีมากแค่ไหนพวกมันก็ไม่อาจไว้วางใจและจำเป็นต้องมีหลักประกัน
อย่างไรก็ตามมูยองไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเขาจึงรักษาระยะห่างได้อย่างเพียงพอ
“ จริงๆแล้วการกำจัดบูเน่ก็ยังมีปัญหาตามมา เพราะการหายไปของมันอาจทำให้ศัตรูของเราเคลื่อนไหว”
มูรุมูรุหัวเราะเบาๆราวกับมีความสุขอย่างแท้จริง
สำหรับมูยองแล้วเขาไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามูรุมูรุจะอยู่ฝ่ายปฏิปักษ์จริงๆ
มูรุมูรุ, เกรโมรี่, โพเนียส, ซิทรี, แอสโมดาย
หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นสายลับอย่างแน่นอน และบางทีอาจมีมากกว่าหนึ่ง มูยองต้องป้องกันไม่ให้มันส่งข้อมูลที่มากเกินความจำเป็นออกไปให้ศัตรู ตัวอย่างเช่นภารกิจของเบซองมิน หรือข้อมูลเกี่ยวกับพลังของตัวเอง
‘มันน่าจะยังไม่ทันสังเกตว่าฉันสามารถดูดกลืนพลังของบูเน่ได้’
มูยองกำลังสังเกตปฏิกิริยาของมูรูมูรู
เขารู้สึกได้ตั้งแต่ตอนที่ได้ดูดซับพลังอำนาจของเลราเจ ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่รู้ว่ามูยองสามารถครอบครองพลังอื่นได้ และนี่เป็นข้อมูลสำคัญ เพราะมันหมายความว่ามูยองสามารถใช้พลังได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
ตอนนั้นเองจู่ๆมูรุมูรุยกมือขวาขึ้น
มันสามารถสื่อสารกับใครก็ตามที่ประทับสัญลักษณ์พิเศษโดยการยกมือขวา ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ไกลแค่ไหน มันเป็นความสามารถที่มีประโยชน์อย่างมากในการถ่ายทอดข้อมูล สำหรับสายลับคงไม่มีเครื่องมือใดที่ดีไปกว่าความสามารถนี้
ในไม่ช้ามันก็ลดมือลงและพูดขึ้น
“ เกรโมรี่กำจัดฟีเนกซ์แล้ว ”
ฟีเน็กซ์ เทพปีศาจลำดับที่ 37 มันเป็นผู้ที่ดูแลเกี่ยวกับกลยุทธ์ ดูเหมือนว่าการโจมตีพร้อมกันของเทพปีศาจทั้งสี่รวมถึงเกรโมรี่จะประสบความสำเร็จ
ตอนนี้ แผนในขั้นตอนแรกดำเนินไปด้วยดี
‘การโจมตีครั้งแรกสำเร็จแล้ว’
แต่ปัญหาคือต่อจากนั้นต่างหาก
เมื่อพวกมันทราบข่าวที่เทพปีศาจฝ่ายตนถูกสังหาร พวกมันจะต้องรวมตัวกันเพื่อวางแผนโต้กลับฝ่ายปฏิปักษ์อย่างแน่นอน
“ไพม่อนคือเทพปีศาจอีกตนหนึ่งที่ต้องกังวล”
เทพปีศาจสายสติปัญญาอีกตนที่มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารเหมือนบูเน่
ชื่อของมันคือ ไพม่อน! ผู้เปิดเผยความลับ
อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้ว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร แม้แต่ดันดาเลี่ยนเองก็ดูเหมือนจะไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับไพม่อนมากนัก นั่นเป็นข้อบ่งชี้ว่ามันมีทักษะที่ช่วยให้ไม่ถูกตรวจพบที่ยอดเยี่ยม
‘เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด’
มีความเป็นไปได้ว่าตอนนี้ไพม่อนอาจจะนำข้อมูลเกี่ยวกับการดับสูญของบูเน่และฟีเนกซ์ไปบอกบาอัลเรียบร้อยแล้ว
บาอัลคงจะรวบรวมกองกำลังและโจมตีเกรโมรีเป็นคนแรก เนื่องจากเธอเป็นผู้นำของฝ่ายต่อต้าน
มันต้องรีบจัดการสิ่งต่างๆโดยเร็วแน่นอน เพราะตอนนี้มันไม่รู้ว่าโซโลมอนหายไปไหน
ปกติหากเทพปีศาจฝ่ายใดมีกองกำลังน้อยกว่าหรือเท่ากัน จะไม่มีการโจมตีกันเกิดขึ้น เพราะการบาดเจ็บเพียงครั้งเดียวในกองกำลังก็อาจเกิดหายนะได้
ดังนั้นพวกเขาต้องการศึกที่สามารถรับประกันชัยชนะได้เท่านั้น
มูยองลูบคางและคิด
การเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดที่มูยองสามารถทำได้หากบาอัลทราบข่าวจากไพม่อนและระดมพลนั่นก็คือ
‘การวางเหยื่อล่อ’
เพราะพวกมันไม่สามารถตัดโซโลมอนออกไปจากการวิเคราะห์ได้ ถ้างั้น….
‘เกรโมรี่’ เธอจะกลายเป็นเหยื่อในครั้งนี้
* * *
ณ กึ่งกลางของดินแดนเทพปีศาจ
ดินแดนแห่งความตายที่เต็มไปด้วยสายฟ้าฟาด และพายุอันไร้จุดสิ้นสุด
วิหารของเทพปีศาจลำดับที่ 1 บาอัล อยู่ที่นั่น
วิหารที่ตั้งอยู่ฟ้าซึ่งสามารถเข้าถึงได้ด้วยการปีนบันไดหลายหมื่นขั้น บาอัลมองลงไปที่โลกเบื้องล่างทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง
ในช่วงเวลาปกติ ไม่มีใครอื่นที่นี่นอกจากบาอัล อย่างไรก็ตามตอนนี้มีเทพปีศาจหลายกลุ่มกำลังมองหาผู้ที่พวกมันกำลังเข้าพบอย่างเป็นทางการอยู่
บาอัลนั่งลงบนบัลลังก์แห่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ มองลงไปยังเทพปีศาจที่ได้แต่คุกเข่าแหงนหน้ามองขึ้นมา และไพม่อนเองก็อยู่ที่นี่ เมื่อยู่ต่อหน้าบาอัล ไพม่อนจะใช้ร่างจริงๆแทนที่จะใช้ร่างวิญญาณเหมือนทุกที
“ ท่านบาอัล จากการที่ฝ่ายปฏิปักษ์ระดมกำลังอย่างจริงจัง ข้าได้ข้อมูลยืนยันการเสียชีวิตของบูเน่แล้ว”
“ แค่บูเน่เท่านั้นหรือ?”
ราวกับเขารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว ด้วยดวงตาแหลมคมที่มองลึกเข้าไปในจิตใจของไพม่อน ทำให้ไพม่อนต้องหยุดชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ
“ กองกำลังของเกรโมรี่ และเทพปีศาจฝ่ายตรงข้ามได้รับการยืนยันแล้ว คาดการณ์ว่าจุดหมายปลายทางของพวกมันคือฟีเนกซ์”
“ เราไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้”
“ ข้าเห็นด้วย”
บาอัลมั่นใจว่าฟีเนกซ์คงไม่รอด อย่างไรก็ตามเขายังไม่ละสายตาจากไพม่อน
“ ยังมีอะไรที่เจ้าซ่อนอยู่อีกหรือไม่ไพม่อน?”
“ ข้าไม่ได้ซ่อนอะไรจากท่าน”
“ ข้ารู้ขีดจำกัดพลังของเจ้าดีว่าเจ้าไม่สามารถเปิดเผยความลับของเหล่าเทพได้ ยังไงก็ตามหากเกี่ยวข้องกับ “คนผู้นั้น” เจ้าต้องบอกข้าทุกเรื่อง “
‘คนผู้นั้น’ก็คือโซโลมอน
“เขาอยู่ในที่ที่ไม่มีใครสามารถอยู่ได้”
ไพม่อนตอบทันทีราวกับเตรียมการไว้ล่วงหน้า จริงๆแล้วไพม่อนเฝ้าดูโซโลมอนอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่สามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย
ถ้าเขาจะพูดถึงโซโลมอน เขาต้องพูดเรื่องการต่อสู้ของคิงสเลเยอร์ด้วย และโดยธรรมชาติแล้วเรื่องของซาโลมอนที่ถูกกักขังไว้ในกาลเวลาจะถูกเปิดเผย ซึ่งหากเขาเปิดเผยความลับนั้นๆ ไพม่อนอาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตของตนเอาไว้ได้ และเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เว้นแต่จะมั่นใจอย่างหนึ่ง โซโลมอนรู้ว่าไพม่อนกำลังเฝ้าดูตนเองอยู่ และนั่นอาจเป็นกับดักที่โซโลมอนวางไว้
“ข้าจะเชื่อเจ้าแล้วกัน”
จากนั้นบาอัลก็ละสายตาจากไพม่อนไป
แม้จะบอกว่าไว้ใจแต่บาอัลเชื่อใจไพม่อนจริงๆงั้นเหรอ? ไพม่อนปฏิเสธในใจ และเมื่อไพม่อนไม่ไว้วางใจเทพปีศาจหรือแม้กระทั่งบาอัล เขาก็ไม่ได้รับความไว้วางใจจากใคร อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะบาอัลเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง เหมือนโซโลมอน….
จากนั้นบาอัลก็มองไปที่เทพปีศาจอื่นๆที่ตอนนี้มีเทพปีศาจรวมกันอยู่ 11 ตน ถึงแม้ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรวมตัวกันได้ แต่นี่ก็เป็นตัวเลขที่ดีสำหรับงานนี้
“ การโจมตีของฝ่ายปฏิปักษ์เป็นที่คาดการณ์กันไว้อยู่แล้ว ว่าเมื่อ “เขา” ปรากฏตัวขึ้นจะต้องติดต่อกับฝ่ายปฏิปักษ์ และยังมีความหมายเป็นนัยว่าตอนนี้เขายังอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์”
“ โซโลมอน….”
เทพปีศาจแสดงสีหน้าประหม่า พวกมันรู้จักพลังของโซโลมอนดี อย่างไรก็ตามบาอัลซึ่งอยู่ต่อหน้าพวกมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังไม่แพ้กัน
“ เขายังได้รับผลกระทบจากเลเมเกทัลอยู่ เขาน่าจะซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆเกรโมรี่พร้อมกับเดียโบลอย่างแน่นอน”
เป็นจริงตามที่บาอัลกล่าว นั่นเป็นเพราะแม้แต่ไพม่อนก็เจอโซโลมอนในขณะที่กำลังจับตาดูเกรโมรี่
“หาเขาให้เจอแล้วจัดการซะ”
พึ่บ!
เทพปีศาจลดศีรษะลง จากนั้นพวกมันก็หายตัวไปทันที
คำพูดของบาอัลถือเป็นคำขาด เมื่อเขาพูดอะไรออกไปทุกคนจะต้องทำตามนั้น ยังไงก็ตามมีหนึ่งคนที่ยังอยู่
“ เจ้ามีอะไรจะพูดงั้นหรือไพม่อน?”
“ การเคลื่อนไหวของตัวตนเหนือธรรมชาติดูเหมือนจะเป็นปัญหา”
“ อืม ข้าได้ยินมาว่าราชาทิศเหนือเข้าไปในแค้มป์ของเกรโมรี่”
“ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ราชามังกร บุตรแห่งดวงจันทร์ และจ้าวขุนเขาทั้งหมดต่างเริ่มเคลื่อนไหวกันเองแล้ว”
ตัวตนเหนือธรรมชาติที่ปกครองสถานที่ต่างๆ ถือว่ายังเป็นภัยคุกคามต่อเทพปีศาจ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกจับตาดูอยู่เสมอ
“ เหล่าตัวตนเหนือธรรมชาติถูกโซโลมอนชักจูงด้วยงั้นหรือ?”
“ ไม่ มีอีกผู้หนึ่งที่กำลังรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน”
“ คนอีกผู้หนึ่ง?”
ไพม่อนหายใจเข้าลึก นี่ก็เป็นหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่
เนื่องจากมันผู้นั้นสามารถทำร้ายเขาได้ ซึ่งก็หมายความว่ามันอยู่ในระดับเทพเช่นเดียวกัน และยิ่งไปกว่านั้นเชื่อกันว่าเขาเคยติดต่อกับ ‘จ้าวแห่งความมืด’ ด้วยซ้ำ
จากการเปิดเผยสิ่งนี้ไพม่อนจะถูกตรึงเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน อย่างไรก็ตามมันเป็นการเสียสละที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาต้องทำเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยของบาอัล
“มันชื่อ มูยอง”