The King of the Battlefield - ตอนที่ 283
บทที่ 283: สงครามเทพปีศาจ (8)
เกรโมรีหันไปมองดาบที่เธอให้มูยองยืมไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าปีศาจ หรือเดียโบลต่างหยุดการเคลื่อนไหวขณะที่ความโกรธเกรี้ยวส่องประกายบนสมรภูมิรบ มูยองเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเมื่อเขาถือดาบเล่มนี้อยู่ในมือ
‘เจ้าไปเกินความคาดหมายของข้าจริงๆ’
เกรโมรี่ถูกตัดสินให้เป็นผู้พ่ายแพ้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากมูยองปรากฏตัวขึ้น เธอไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรแต่สุดท้ายทุกสิ่งก็ยังดำเนินไปข้างหน้า
‘คุณอยากจะเปลี่ยนอะไร และคุณสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง?
โซโลมอนต้องการทำลายทุกสิ่งเพื่อที่เขาจะได้สร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ บาอัลต้องการให้มีเพียงเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้นบนโลกนี้ ส่วนเกรโมรี่เธอเกลียดทางเลือกที่เต็มไปด้วยรุนแรงของพวกเขา เพราะมันจะนำความพินาศมาสู่โลก แต่มูยองต่างออกไปเพราะเขาต้องการที่จะปกป้องทุกอย่างทั้งหมด เขากำลังเดินทางนั้นทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
‘เส้นทางใหม่…’
เกรโมรีเป็นคนแรกที่อยากรู้ว่าเส้นทางนั้นจะเป็นอย่างไร เธอทำให้มูยองมาอยู่ใต้บังคับบัญชาเพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ นอกจากเขาจะสามารถสังหารเลราเจได้แล้วยังพยายามจะใช้ประโยชน์จากเธอ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นมูยองในสายตาเธอก็เปลี่ยนไป
เกรโมรี่ยังไม่รู้ว่ามูยองกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอเห็นว่าเขาไม่เคยลดละในการบรรลุเป้าหมาย ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงรักษาระยะห่างเอาไว้ อาม่อนก็เหมือนกันเขาช่วยเหลือมูยองด้วยความตั้งใจของตัวเองเมื่อเผชิญหน้ากับเดียโบล ทั้งสองต่างอยู่คนละฝ่ายและต่อสู้กันด้วยชีวิตก่อนที่จะพบศัตรูร่วมกัน ปกติแล้วมันเป็นไปไม่ได้สำหรับทั้งคู่ที่จะกลายมาเป็นพันธมิตรกันแบบนี้ แต่มูยองกลับทำได้
“เราจะไม่ถอยหลังกลับไป”
เกรโมรี่ประสานมือเข้าด้วยกัน จากนั้นกลีบดอกไม้หลายสิบกลีบก็ลอยอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะรวมตัวกันเพื่อปกป้องมูยอง
‘ได้โปรดให้เขาได้รับชัยชนะด้วยเถอะ’
ด้วยเสียงกรีดร้องบาดแก้วหูความโกรธเกรี้ยวเฉือนผิวหนังหนาๆของเดียโบลออก เปลวไฟร้อนระอุพุ่งออกมาจากบาดแผลของมัน ขณะที่มูยองก้าวถอยหลังอาม่อนก็สร้างประตูมิติขึ้นเพื่อดูดกลืนเปลวไฟนั้นๆจนมันสลายไป กระบวนการเกิดเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ก็เพียงพอแล้วที่มูยองถอยหนีได้
เดียโบลที่เต็มไปด้วยโทสะปล่อยใบมีดเปลวเพลิงนับพันบินติดตามเข้าหามูยอง แต่ก็ถูกอาม่อนหยุดเอาไว้ด้วยเสาน้ำแข็งขนาดใหญ่
“รีบกำจัดเดียโบลซะ!”
น้ำเสียงของอาม่อนเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะสิ่งต่างๆไม่เป็นดั่งที่เขาต้องการ แต่มูยองกลับยังเพิกเฉยและยกดาบขึ้น
‘การโจมตีของฉันได้ผล’
ความโกรธเกรี้ยวฟันเดียโบลเข้าหลังจากที่วิวัฒนาการเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตามร่างของมันก็ถูกสร้างใหม่ในทันที เนื่องจากความสามารถในการรักษาที่อยู่ในระดับเทพเจ้า แต่ถึงจะเป็นการสร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยก็ยังดี เพราะเขื่อนขนาดใหญ่ก็อาจพังลงจากรูรั่วเล็กๆได้ และความสามารถในฟื้นฟูของมันย่อมต้องมีขีดจำกัด
“ร่วมมือกับฉัน!”
“ไม่มีเวลาพักเลยรึ!”
จากนั้นคิงธ์ออฟเดอะเดธกับทาร์แคนรวมไปถึงคริมสันบาร็อคก็เข้าสู่สนามรบของมูยองหลังจากกำจัดปีศาจที่หลงเหลืออยู่รอบๆจนหมด ในขณะที่เดียโบลต่อสู้เพียงลำพังมูยองเต็มไปด้วยพันธมิตร นอกจากนั้นเขายังมีเวทมนตร์ของอาม่อน และการป้องกันจากเกรโมรี่อีก
“ โจมตีซ้ำไปที่แผลเก่าของมันก่อนที่จะรักษาตัวเอง”
แผนของมูยองเรียบง่าย พวกเขาจะขยายแผลของมันให้ใหญ่ขึ้นโดยการรุมโจมตี เพราะลำพังแค่พลังของมูยองนั้นไม่เพียงพอ
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น เดียโบลกระแทกพื้นด้วยหางของมันทำให้บังเกิดเสาเปลวเพลิงขนาดใหญ่สูงเสียดฟ้าล้อมรอบพวกเขาเอาไว้
‘เร่งความเร็ว’
มูยองทำให้เวลาของตัวเองไหลช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้มีเพียงมูยองเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเต็มที่ อย่างไรก็ตามผิวหนังและกระดูกของมูยองเริ่มเสียหายจากผลกระทบของพลังที่เขาใช้หลายครั้ง
ไม่มีเวลาให้หยุดพัก มูยองเดินผ่านเปลวไฟไปอย่างใจเย็นก่อนจะโถมแรงโจมตีไปที่เดียโบล แผลบนหน้าอกของเดียโบลเปิดออกเหวอะหวะ และแม้ในโลกที่เวลาหมุนช้าลงถึง 128 เท่าบาดแผลของมันก็ยังหายเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถในการฟื้นฟูของเดียโบลนั้นน่ากลัว และเขาไม่มีเวลาสำหรับเตรียมการโจมตีครั้งที่สอง
ทว่ามูยองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ทาร์แคนงัดทักษะการต่อสู้ที่ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากตลอดหลายทศวรรษเพื่อโค่นล้มมูยองออกมาโจมตีช่วย ส่วนคริมสันบาร็อคก็พยายามฉีกบาดแผลของเดียโบลด้วยสองมือ
“การโจมตีครั้งที่สอง”
เพียงครู่เดียวเดียโบลก็ตอบโต้คริมสันบาร็อคด้วยการกัดเข้าไปที่คอ ท่ามกลางเสียงคำรามร้องเปลวเพลิงที่ไหลออกจากฟันของเดียโบลก็เผาไหม้ไปทั่วร่างกายของคริมสันบาร็อค อย่างไรก็ตามมือที่พยายามฉีกบาดแผลของศัตรูยังคงมั่นคง
มูยองเริ่มกวัดแกว่งความโกรธเกรี้ยวเร็วขึ้นและเคลื่อนไหวราวกับว่ากำลังเต้นรำ เดียโบลกรีดร้องขณะที่คมดาบของมูยองฉีกผ่านร่างกายมัน อย่างไรก็ตามกระดูกของมูยองเริ่มแตกหักเนื่องจากทนภาระในการใช้วิชาดาบในโลกที่หมุนช้าลงไม่ไหว
‘กระบวนท่าที่ 51 ดาบสังหารปีศาจ’
ในที่สุดมูยองก็สามารถฟาดฟันได้สำเร็จ ท่าสังหารปีศาจคือการฟันเส้นองค์ประกอบทั้งห้าสิบเส้นที่มูยองสลักไว้บนร่างกายทั้งหมดของเดียโบล และทันใดนั้นร่างของเดียโบลก็ระเบิดออกเสียงดังกึกก้อง
โซโลมอนที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของมูยองไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้ มูยองและดาบของเขาแข็งแกร่งและสมบูรณ์ขึ้น การได้เห็นอาวุธที่เต็มไปด้วยพลังเทวะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดาแม้แต่กับโซโลมอน จากนั้นมูยองก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบก่อนที่จะมีพลังเหนือเดียโบล โซโลมอนหัวเราะต่อภาพที่เห็นตรงหน้า ภาพของมนุษย์ที่กำลังกดดันเทพ
‘เขาก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้ว’
มูยองเป็นมนุษย์ซึ่งได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์ตนเอง แล้วเขาจะสามารถเป็นเทพเจ้าได้หรือไม่? อย่างไรก็ตามมีเทพเจ้าเพียงองค์เดียวคือโซโลมอน มูยองเป็นแค่ลูกครึ่งที่ขโมยบางสิ่งจากโซโลมอนไปเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ถ้าเขาตกอยู่ในความสิ้นหวังและพังทลายลงไปเมื่อไหร่ มูยองก็จะตกอยู่ในความว่างเปล่าและกลายเป็นเหมือนจ้าวแห่งความมืด
ร่างของเดียโบลแหลกสลายกองลงบนพื้น หากโซโลมอนสูญเสียเดียโบลเขาจะไม่สามารถมีอิทธิพลต่อโลกปีศาจได้อีกต่อไป ถึงกระนั้นโซโลมอนก็ยังหัวเราะแม้ว่าเขาจะสูญเสียทูตสวรรค์แห่งกาลเวลาและคำอธิษฐานแห่งปาฏิหาริย์
“ เจ้าเอาชนะเดียโบลไม่ได้หรอก”
ในขณะที่ร่างกายของเดียโบลแหลกสลาย มูยองก็เห็นเสาไฟหลายเสากระจายอยู่ทั่วพื้นดิน ผืนดินแตกปะทุขึ้นด้วยเปลวเพลิงเหล่านั้นซึ่งแม้แต่มูยองก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ง่ายๆ และเมื่อเปลวไฟหยุดลงมูยองก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
‘ฉันตัดองค์ประกอบของมันไปแล้วนะ’
มูยองไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถฟื้นคืนชีพได้หลังจากที่เขาตัดองค์ประกอบ ไม่ว่าความสามารถในการฟื้นฟูจะสูงส่งเพียงใดก็ยังไม่มีใครรอดพ้นจากความตาย มูยองไม่เคยคิดเลยว่าการโจมตีของเขาจะล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม เดียโบลฟื้นฟูร่างของมันขึ้นจากเปลวเพลิงพร้อมส่งเสียงคำรามก้อง สิ่งเลวร้ายที่ตามมาก็คือเปลวเพลิงของมันยิ่งรุนแรงขึ้น
“ เอาจริงเหรอนี่…”
ด้วยพลังแห่งเปลวเพลิงของเดียโบลขณะนี้ มันตั้งใจจะเผาโลกทั้งใบจริงๆหรือ? มูยองยกดาบขึ้นด้วยแขนอันสั่นเทิ้ม นั่นเป็นเพราะกระบวนท่า ‘สังหารปีศาจ’ เผาผลาญกำลังส่วนใหญ่ของเขาไปหมดแล้ว แต่เขาอาจจะใช้มันได้อีกครั้งหากยอมเอาชีวิตเข้าแลก
‘ฉันจะไม่ยอมแพ้’
มูยองยังคงมีแรงเหลืออยู่ เมื่อสามารถเคลื่อนไหวได้เขาก็เลือกที่จะสู้!
สิ่งมีชีวิตทั่วทั้งโลกปีศาจต่างสั่นคลอนเมื่อเห็นเสาเพลิงขนาดใหญ่ที่ลุกท่วมสู่ท้องฟ้ารวมถึงวูฮี
“ เจ้าม้าดำรีบเร็วเข้า!เร็วกว่านี้อีก! เราต้องรีบไปหาที่รักเดี๋ยวนี้!”
วูฮีเร่งอาชานรก
อาชานรกก็เห็นภาพนั้นเช่นกัน และสัญชาตญาณของมันส่งเสียงกรีดร้องบอกให้วิ่งหนี
ยังไงก็ตามมูยองดูเหมือนจะอยู่ที่นั่น อาชานรกเพิ่มความเร็วขึ้นโดยมียูนิคอร์นจำนวนมากติดตามมาด้วย
พื้นที่แถบนั้นกลายเป็นน่าสังเวช เถ้าจากการถูกเผาไหม้ถมผืนดินจนกลายเป็นสีดำ
เดียโบลยังไม่ถูกสังหาร ขณะที่คริมสันบาร็อคพยายามต้านทานมันอยู่ ร่างที่ถึงขีดจำกัดแล้วของคริมสันบาร็อคเริ่มพังทลาย แขนฉีกขาด ดวงตาถูกทำลาย เขาทั้งหมดแตกหัก อย่างไรก็ตามคริมสันบาร็อคยังสู้ไม่ถอยด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียวคือการปกป้องมูยอง
“บัดซบ”
หัวของทาร์แคนกลิ้งไปตามพื้น เกรโมรี่ และอาม่อนก็ได้รับความเสียหายเกินกว่าจะฟื้นตัวได้
เดียโบลเจาะหัวใจของคริมสันบาร็อคในขณะที่คริมสันบาร็อคก็กัดหัวของเดียโบล
มูยองอยู่ด้านหลังคริมสันบาร็อค ปีกของเขาถูกเผาไหม้เกรียม ทั้งร่างของเขาก็ปริแตกจนเห็นกระดูก อย่างไรก็ตามไม่มีเลือดสักหยดเพราะมันระเหยจากความร้อนไปหมดแล้ว และความสามารถในการฟื้นฟูของมูยองก็ไม่สามารถทำงานได้เช่นกัน
“ ที่รัก!”
วูฮีบินไปหามูยองทันทีเมื่อเธอมาถึง อาชานรกมองไปรอบๆด้วยสายตาเศร้าโศก ในขณะที่ยูนิคอร์นล้อมรอบมูยองและร้องเพลงแห่งการฟื้นฟูแต่ก็ไม่สามารถทำให้มูยองขยับเขยื้อนใดๆได้
“ ขอร้องล่ะอย่าจากวูฮีไป! วูฮีอยู่ที่นี่แล้ว! ลืมตาเถอะที่รัก!”
ดวงตากลมโตของอูฮีเต็มไปด้วยน้ำตา ในขณะที่อาชานรกพยายามรั้งเธอไว้
พวกเขามาช้า ตอนนี้มูยองไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว
คริมสันบาร็อคต่อต้านจนถึงที่สุดโดยไม่ยอมเชื่อว่ามูยองตายแล้ว
“ ขอร้องล่ะได้โปรด! คุณยังตายตอนนี้ไม่ได้! วูฮีขอโทษ!”
น้ำตาของวูฮีไหลอาบแก้มและร่างของมูยองจนเปียกปอน และในช่วงเวลานั้นเอง ร่างกายของมูยองก็ถูกฟื้นฟูราวกับเธอได้เทน้ำลงบนพื้นที่แห้งแล้ง
น้ำตาของวูฮีได้สร้างปาฏิหาริย์ที่เป็นไปไม่ได้ มูยองลืมตาขึ้นเมื่อปีกที่ถูกเผาไหม้ของเขางอกใหม่เสร็จ
<เงื่อนไขพิเศษถูกค้นพบ>
<พลังของราชันอมตะ ‘การทดลองทั้งเจ็ด’ ถูกเปิดใช้งานแล้ว>