The King of the Battlefield - ตอนที่ 201
บทที่ 201: ราชาแห่งขุมนรก (2)
มูยองพิชิตหอคอยทั้งหมดในเส้นทางแห่งนรกภูมิ
นอกจากนี้เขายังทำให้เจ้าของหอคอยทั้ง 44 แห่งยอมศิโรราบ และขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด
พอมูยองยึดมันทั้งหมดได้ ที่ปลายของหอคอยแต่ละยอดก็เริ่มปล่อยพลังงานความร้อนขึ้นก่อนจะยิงลำแสงสีแดงพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า
หลังจากนั้นทิวทัศน์ของท้องฟ้าก็เปลี่ยนไป เมื่อเขามองขึ้นไปบนนั้นก็เห็นโลกของอันเดอร์เวิลด์ฉายอยู่ เส้นทางแห่งนรกภูมิเริ่มเชื่อมโยงกับโลกแห่งความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์
<คุณเอาชนะ 44 หอคอย>
<คุณสามารถทำให้วิญญาณ 44,000 ตนปรากฏตัวในโลกแห่งความเป็นจริงได้>
<เจ้าของหอคอยทั้งหมด 44 ตนพ่ายแพ้แล้ว>
<ความสำเร็จของคิงสเลเยอร์ ‘เพชรฆาตราชา’ เสร็จสิ้นแล้ว>
<ระดับความพึงพอใจในปัจจุบัน: ระดับต่ำ 37, ระดับกลาง 14, ระดับสูง 47, ระดับสูงสุด 2>
<ของรางวัลขึ้นอยู่กับระดับความพึงพอใจ>
+ ระดับทักษะ ‘ผู้เชี่ยวชาญดาบ’ เพิ่มขึ้น A S
+ ผลความสำเร็จ ‘เทพนักดาบ, นักดาบวิญญาณอาฆาต’ ได้ถูกเพิ่มเข้ามา
+ ผลความสำเร็จ ‘เพชรฆาตราชา’ ได้ถูกเพิ่มเข้ามา
<ภารกิจต่อเนื่อง ‘คิงสเลเยอร์: เส้นทางของราชันย์’ สำเร็จแล้ว>
<เนื่องจากคุณสังหารราชาไปแล้ว 100 ราชา ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเข้ามาแทนที่ราชาที่แท้จริง จงสร้างอาณาจักร และสร้างผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์>
<คุณได้เสร็จสิ้นภารกิจ ‘คิงสเลเยอร์: เส้นทางของราชันย์’>
<คุณได้รับการยอมรับว่าเป็นราชาแห่งขุมนรก>
+ กองทัพของราชา (สเตตัสของทหารทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การบัญชาการของคุณ +10)
+ สุ่มอุปกรณ์ของคิงสเลเยอร์หนึ่งชิ้น
+ คุณได้รับเกราะหุ้มขา ‘ไนท์คิง’
<ภารกิจต่อเนื่อง ‘คิงออฟเดอะเวิล์ด’>
<จงพิชิตดินแดนมากกว่าครึ่งโลก นี่คือสิ่งที่แม้แต่คิงสเลเยอร์ก็ไม่สามารถทำได้>
<รางวัล – คิงสเลเยอร์>
<ทันทีที่คุณได้เป็นผู้ปกครองโลกใบนี้ คิงสเลเยอร์จะยอมเป็นอัศวินของคุณ>
มีข้อความมากมายขึ้นบดบังสายตาของมูยอง
มูยองมองทุกข้อความอย่างระมัดระวัง
เป็นเพราะไม่มีอะไรที่จะมองข้าม
เมื่อเขาเสร็จภารกิจเพชรฆาตราชา ก็ผลความสำเร็จเพิ่มมาอีกสามอย่าง
‘เทพนักดาบ, นักดาบวิญญาณอาฆาต, เพชรฆาตราชา’
มูยองเปิดดูค่าสถานะของตัวเองทันที
จากนั้นเมื่อตัวแสดงสถานะผุดขึ้น เขาก็มองไปที่ผลความสำเร็จดังกล่าว
ผลความสำเร็จ ->
เทพนักดาบ, นักดาบวิญญาณอาฆาต (???, คุณจะกลายเป็นนักดาบแห่งทวยเทพ หรือนักดาบแห่งผีร้าย)
เพชรฆาตราชา (S ++, สติปัญญา และความฉลาด+50, ได้รับผลกระทบ มันตราราชันย์)
ในกรณีของเพชรฆาตราชานั้นบวกเพิ่มสเตตัสที่สำคัญ แม้ว่าจะเพิ่มแค่สองค่าสถานะ แต่เขาก็รู้สึกว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
‘มันเป็นผลความสำเร็จที่ยังไม่ได้วิวัฒนาการ’
เทพนักดาบ, นักดาบวิญญาณอาฆาตเป็นผลกระทบที่ยังคลุมเคลือ
ผลลัพธ์จะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อเขากลายเป็นเทพนักดาบ หรือนักดาบวิญาณอาฆาตซะก่อน
ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะกลายเป็นร่างไหนตอนไหน
เทพนักดาบ นักดาบวิญญาณอาฆาต เขารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นรูปแบบพลังของมัน
และในเมือมันเป็นทักษะของเขา เขาย่อมจะได้เห็นมันในอีกไม่ช้า
อีกผลความสำเร็จหนึ่งของเพชรฆาตราชาก็เป็นที่สะดุดตาเช่นกัน
‘มันตราราชันย์’ [1]
ความหมายง่ายๆของมันคือถ้อยคำของกษัตริย์
ดูเหมือนว่ามันจะคล้ายกับภาษามังกร
นั่นหมายความว่าทุกสิ่งที่มูยองพูดออกมา อานุภาพของถ้อยคำจะไม่ต่างจากคำพูดของเหล่ากษัตริย์
เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับพลังของคำพูดมาก่อน
แม้เขาจะเคยพบกับชายชื่อบัคผู้ที่มีพลังของภาษามังกรในสังเวียนใต้ดิน แต่ยังไงพลังประเภทนี้ก็เป็นพลังที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี
‘ฉันทำภารกิจความสำเร็จต่อเนื่องเสร็จในครั้งเดียว’
ในขณะที่พิชิตเส้นทางแห่งนรกภูมิสำเร็จ เขาก็ได้รับการยอมรับในฐานะกษัตริย์ด้วย
ฮา!’
ไม่ใช่ราชาปีศาจ แต่เป็นราชาแห่งขุมนรก
เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ และไม่ได้มีความรู้สึกขัดใจอะไรกับสถานะดังกล่าว
เขาไม่รู้สึกถึงความขัดแย้งใดๆ เพราะยังไงผลของกองทัพราชาก็ทำให้เหล่าวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น
นอกจากนี้เขายังได้รับอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งของคิงสเลเยอร์
‘เกราะหุ้มขาไนท์คิง?’
ปัจจุบันมูยองสวม ‘เกราะหุ้มขาแห่งการทำลาย – บารอน’อยู่
แต่เนื่องจากเงื่อนไขการเปิดใช้งานของบารอนนั้นยากที่จะใช้งานได้จริง
ในแง่นั้น เกราะใหม่ที่เพิ่งได้รับมาจึงไม่เลวนัก
มูยองมองดูเกราะซึ่งถูกสร้างโดยวัสดุที่ไม่รู้จัก
ชื่อ: เกราะหุ้มขา ไนท์คิง
อันดับ: S ++
ความทนทาน: ไม่มีที่สิ้นสุด
ประเภท: เกราะ
ผลกระทบ: เกราะหุ้มขาที่คิงสเลเยอร์ใช้ มันสร้างขึ้นจาก ‘ก๊อดเมทัล’ ซึ่งถูกตีโดยเทพแห่งช่างตีเหล็ก ‘อัสเวน’
+ สเตตัสทั้งหมด +40
+ มันไม่มีทางเสียหาย
+ สัญลักษณ์ของความศรัทธาและภักดี มันจะสร้างความไว้ใจอย่างแข็งแกร่งให้กับใครบางคน
คำอธิบายค่อนข้างชัดเจนและสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามนี่ก็เพียงพอแล้ว
สเตตัสที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดนั่นดีอยู่แล้ว และการที่มันมีความทนทานไม่จำกัด หมายความว่าเขาสามารถใช้มันได้ทุกครั้งโดยไม่ต้องระวังการสึกหรอ
สำหรับสัญลักษณ์แห่งศรัทธาและความภักดีเขาคงไม่ได้ใช้ แต่มันก็ไม่เลวที่จะมีผลกระทบเช่นนี้
‘ยิ่งกว่านั้นภารกิจ คิงออฟเดอะเวิล์ด… ‘
ภารกิจความสำเร็จต่อเนื่องล่าสุด
เป็นราชาที่แท้จริงด้วยการพิชิตโลกให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของมัน!
มูยองถูคาง
เป็นที่น่าสนใจสำหรับการได้คิงสเลเยอร์เป็นส่วนหนึ่งของรางวัล เขาไม่เคยคิดว่าจะสามารถควบคุมหนึ่งในจ้าวแห่งความมืดได้
ยังไงก็ตาม กว่าจะบรรลุความสำเร็จนี้เขาคงต้องเอาชนะเทพปีศาจจำนวนมากให้ได้ซะก่อน
นั่นหมายความว่ามันยังต้องรออีกนาน
มูยองตรวจสอบจากหน้าต่างแสดงสถานะ
ดูเหมือนว่ามีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายอย่าง และเขาต้องการตรวจสอบพวกมันให้ละเอียดที่สุด
สเตตัส ->
พละกำลัง 665 (368 + 297) ความว่องไว 619 (357 + 262)
ความอดทน 629 (371 + 258) สติปัญญา 633 (325 + 308)
ความฉลาด 648 (335 + 313) จิตวิญญาณต่อสู้ 551 (313 + 238)
ต้านทานเวทย์ 613 (165 + 448) ความสามารถวิญญาณ 608 (380 + 228)
แนวโนมความชั่วร้าย 609 (381 + 228)พลังศักดิ์สิทธิ์ 644 (466 +178)
คุณสมบัติธาตุไฟ 588 (410 + 178)
ระดับทั้งหมด: 631
หมายเหตุพิเศษ: พลังของลูซิเฟอร์ถูกปิดผนึก คุณประสบความสำเร็จในพลังของกาเบรียล คุณกำลังสร้างวิชาดาบแห่งมูยอง หอกสังหารเทพถูกสลักไว้ในหัวใจของคุณ
สเตตัสส่วนใหญ่ล้วนเกินกว่า 600 จุด
แน่นอนว่ามันคงเป็นไปไม่ได้หากปราศจากสเตตัสรอง แต่ไม่ว่ายังไงพวกมันก็เป็นสเตตัสของมูยองอยู่ดี ดังนั้นคุณสามารถพูดได้ว่าพวกมันล้วนเป็นความแข็งแกร่งของมูยอง
แม้แต่ในอดีต เขาก็ไม่ค่อยเห็นคนที่มีสเตตัสรวมถึง 600 จุดมากนัก
นั่นหมายความว่ามูยองเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติอย่างแท้จริง
แม้แต่ดราก้อนลอร์ดฮันซุงก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับมูยอง ถึงเขาจะใช้มังกรร่วมต่อสู้ด้วยก็ตาม
ทว่าถึงจะมีค่าสเตตัสขนาดนี้ มูยองก็ยังไม่นับเป็นตัวตนเหนือธรรมชาติ
เป็นเพราะเขายังไม่ผ่าน ‘พิธีตื่นรู้’ ที่จะกลายเป็นตัวตนเหนือธรรมชาตินั่นเอง
พิธีตื่นรู้ …
กิลด์หรือตระกูลใหญ่ๆกล่าวว่า หลัจากผ่านพิธีกรรมดังกล่าว โลกในสายตาคุณจะเปลี่ยนไป
ตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งหมด หรือเทพปีศาจต่างยอมรับผู้ที่ผ่านพิธีตื่นรู้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้จุดศูนย์กลางของโลก
เขารู้เหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงยังไม่ผ่านพิธีตื่นรู้แม้ว่าสเตตัสของเขาจะเพียงพอสำหรับที่จะเข้าร่วม
‘สเตตัสหลัก’
เขายังมีสเตตัสหลักไม่มากพอ
ไม่ว่ามูยองจะแข็งแกร่งเร็วแค่ไหน แต่ก็ไม่ถึงกับเร็วแรงทะลุมิติ
ดังนั้นเขาจึงสวมใส่อุปกรณ์ต่างๆเพื่อชดเชยความแข็งแกร่งที่ยังเอื้อมไม่ถึง
ทว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มสเตตัสหลักของตัวเอง
และนั่นสามารถบรรลุได้เองโดยธรรมชาติ หากเขาเดินบนเส้นทางของกษัตริย์
กรรร!
มันเป็นตอนนั้นเอง
เมื่อมูยองตรวจสอบทุกอย่างแล้ว บางอย่างที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ใจกลางของหอคอยทั้ง 44 แห่ง มีหอคอยแห่งที่ 45 ผุดออกมา
“ นั่นมันหอคอยราชา!”
“ ราชาแห่งเส้นทางนรกภูมิที่แท้จริงได้รับการแต่งตั้งแล้ว!”
สุนัขจิ้งจอกเก้าหางเป็นกลุ่มแรกที่คุกเข่าน้อมรับ จากนั้นวิญญาณจำนวนมากในเส้นทางแห่งนรกภูมิก็แสดงให้เห็นถึงความภักดีของพวกมันเช่นเดียวกัน
มูยองเดินขึ้นไปบนหอคอยที่ 45
และเมื่อเขาไปถึงชั้นบนสุด โลกก็เปลี่ยนไป
***
นักบวชและพาราดินจำนวนหนึ่งกำลังยืนอึ้งอยู่เบื้องหน้าเขา
มูยองไม่ได้ใส่ใจคนเหล่านั้น
แต่สายตาของเขากำลังจดจ่ออยู่กับดาบที่ถือโดยชายคนหนึ่ง
แม้ว่าจะดูไม่เหมือนดาบที่โดดเด่น และจากสนิมที่เกรอะกรังทำให้มันเป็นได้แค่ดาบเก่าๆเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมูยองสัมผัสได้ถึงพลังที่ถูกจารึกไว้บนตัวดาบ
‘พลังที่จะทำให้วิญญาณออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง’
พลังที่จะทำให้วิญญาณเป็นตัวเป็นตนและรักษาพลังอำนาจไว้
ในความเป็นจริงวิญญาณรอบๆมูยองกลายเป็นตัวเป็นตน และกำลังกดดันนักบวชกับเหล่าพาราดินอยู่ การมีกายหยาบหมายความว่า พลังทางกายภาพสามารถเกิดขึ้นได้
มันไม่ต่างจากการที่มูยองได้รับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งจำนวนถึง 44,000 ตัว
‘กลืนมันซะ’
จากนั้นความโกรธเกรี้ยวก็กลืนดาบเล่มนั้นลงไป
<ความโกรธเกรี้ยวกลืน ‘ดาบแห่งความตาย’ แล้ว>
<ความสามารถ ‘อุทิศความตาย’ ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว>
จากนั้น มูยองก็เลื่อนสายตาของตัวเองมองโลกภายนอก
มีหอคอยสูง 45 แห่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของโนเบิลคาสเซิล
‘ขอบเขตระหว่างเส้นทางแห่งนรกภูมิกับความเป็นจริงได้ถูกทำลาย’
รอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างช้าๆบนใบหน้าของมูยอง
เหมือนชื่อสถานะของเขา ‘ราชาแห่งขุมนรก’ มูยองกำลังวางแผนที่จะนำขุมนรกไปสู่โนเบิลคาสเซิล
เขาคิดว่าจะทำอะไรต่อ แต่เขาก็ตระหนักว่าไม่จำเป็นต้องคิดอีกต่อไป
‘ฉันจะไปเอาเอลย่าซีโก้นี่!’
นั่นคือแผนในตอนแรกของเขา
หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบที่ตระกูลแอดวานซ์ เขาวางแผนที่จะค่อยๆเข้าใกล้ผนึกของเอลย่าซีโก้
อย่างไรก็ตามเมื่อไปที่เส้นทางแห่งนรกภูมิแผนการของเขาก็เปลี่ยนไป
เมื่อเขาได้รับตำแหน่งผู้ปกครองเส้นทางแห่งนรกภูมิ เขาก็ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังขนาดนั้น
ในเมื่อสถานที่แห่งนี้คือโนเบิลคาสเซิล สถานที่ที่เปรียบเสมือนหัวใจของตระกูลเรน
มันไม่ใช่การบุกรุกจากภายนอก แต่เป็นการโจมตีศัตรูจากด้านในโดยตรง
แล้วเขาจะปล่อยมันไปได้อย่างไร?
มันเป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบ โอกาสแบบที่ยากจะเจอ
“ นายเป็นใครกัน ปีศาจหรือเปล่า? หรือ…”
“ ถ้านายยังอยากมีชีวิตก็หลับตาแล้วหุบปากอยู่ที่เดิมนั่นแหละ”
นั่นคือสิ่งที่มูยองต้องการจากนักบวชของมูราลัน
ไม่จำเป็นต้องทำอะไรไปมากกว่านั้น เพราะเขาเป็นคนที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของมูยองได้จากการเป็นพยานรู้เห็น แม้มูยองจะบอกให้เขาปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้เห็น แต่นิสัยของมนุษย์มักอยากทำในสิ่งที่ถูกห้ามเอาไว้เสมอ
เคร้ง! เคร้งง!
มูยองลากความโกรธเกรี้ยวไปตามพื้น
ด้วยเสียงนั้น เหล่ามอนสเตอร์ก็เริ่มเคลื่อนไหว
และด้วยปีกที่สยายกว้าง
เขาก็บินออกจากหอคอยท่ามกลางความสับสนอลม่านพร้อมเอ่ยเบาๆ
“ จากนี้ไป…เราจะเริ่มพิชิตโลกใบนี้”
***
ทาร์แคนสังเกตเห็นบางสิ่งเปลี่ยนไป
ไม่ใช่แค่ทาร์แคนที่รู้สึก
ทุกคนในโนเบิลคาสเซิลต่างแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยอัตโนมัติ
ชายผู้มีหกปีก
เขาเป็นเหมือนตัวตนจากนรก
ดาวสีแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือร่างของเขา
และทันทีที่เขาปรากฎตัวท้องฟ้าก็กลายเป็นมืดครึ้ม
ท้องฟ้าค่อยๆแปรเปลี่ยนสภาพเป็นเส้นทางแห่งนรกภูมิ
การพลิกกลับของโลก เส้นทางแห่งนรกภูมิกลายเป็นความจริง และความจริงกลายเป็นเส้นทางแห่งนรกภูมิ
โฮก!
มอนเตอร์กรูกันออกมาจากหอคอยทุกแห่ง
เพียงแค่เหลือบมองก็พบว่ามีจำนวนหลายพันตัว
“ มอนสเตอร์พวกนี้มาจากไหนกันนี่!”
“ ฉันไม่เคยเห็นมอนสเตอร์หน้าตาแบบนี้มาก่อนเลย!”
ทุกคนจะตื่นกลัวมากขึ้นหากพวกเขาต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ
ผู้คนเกิดความลังเลว่าควรจะหลีกหนีหรือเข้าสู้ ทว่าไม่มีใครสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดาย
‘มูยอง!
แม้ว่าจะไม่มีใครบอกอะไร แต่นั่นย่อมเป็นเขาแน่นอน
ทาร์แคนชักอาวุธประจำตัวออกมาแล้วเข้าร่วมกับพวกมอนสเตอร์ทันทีโดยไม่ต้องคิด
จากนั้นมูยองก็สยายปีกกลางอากาศ พร้อมกับทำให้ทั้งร่างลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์
ลักษณะที่ปรากฏนั้น เพียงพอที่จะขย่มขวัญทุกผู้คนด้วยตัวตนของราชาแห่งขุมนรก
“ จงคุกเข่าและยอมแพ้ แล้วฉันจะไว้ชีวิตมันผู้นั้น “
ทักษะมันตราราชันย์ถูกปล่อยออกมาด้วยพลังอันทรงอำนาจ
ดูเหมือนเป็นการอ่อนข้อให้ครั้งสุดท้าย และคำสั่งเดียวของราชาจากขุมนรกคนนี้
แม้ว่าเสียงจะไม่ดังมากนักแต่ทุกคนก็ได้ยินชัดเจน และพวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันไร้ทางต่อต้านจนผู้ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเริ่มคุกเข่าลงกับพื้น
*[1] มันตรา (Mantra) แปลว่า การควบคุมจิตด้วยการเปล่งถ้อยคำ หรือ กลุ่มคำ ที่ทรงพลังต่อจิตใจ