The King of the Battlefield - ตอนที่ 223
บทที่ 222: ลางแห่งการทำลายล้าง (4)
เอนโรธประเมินเกี่ยวกับศัตรูผู้สามารถสังหารชาร์ซาซ่าไว้ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม…
เอนโรธเป็นที่รู้จักกันในนามของราชาปีศาจเลือดเหล็ก
ปีศาจที่แข็งแกร่งจนถูกกล่าวขานว่าไร้ซึ่งศัตรู
มีโอกาสน้อยมากที่ศัตรูของมันจะต้านทานบัลร็อกไหว แต่ถึงจะผ่านมาได้ก็ไม่มีเอาชนะตัวมันได้แน่นอน
‘แสดงให้ข้าดูหน่อยแล้วกัน’
เอนโรธบีบไม้เท้าในมือแน่น
พวกมันจะสามารถต้านทานได้นานสักแค่ไหนเชียว?
ดวงตาของเอนโรธเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อยที่กำลังชื่นชมของเล่น
* * *
เฟรด้ากัดริมฝีปากจนเลือดไหลซิบ
ราชาปีศาจผู้มีอารมณ์แปรปรวน
ตามฉายาที่ได้รับมันมักจะทำอะไรแปลกๆที่ไม่มีใครคาดถึง และด้วยความที่เป็นถึงราชาปีศาจจึงไม่มีใครเคยขวาง หรือปฏิบัติต่อมันอย่างเลวร้ายได้
อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาอำนาจพลังและเกียรติยศดังกล่าว เฟรด้าจำเป็นต้องฝึกตนให้แข็งแกร่งอย่างมากที่สุด
ดังนั้นเหตุการณ์ตอนนี้จึงเป็นสิ่งที่มันไม่สามารถยอมรับได้
‘ตัวตนอย่างข้าเนี่ยนะที่พ่ายแพ้!’
กึด!
มันบดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
อันเดธตนแรกที่ปรากฏ ชื่อว่าทาร์แคนหรือเปล่านะ?
ไม่มีอะไรแปลกสำหรับการต่อสู้กับเขา เขาเป็นนักรบอันเดธประเภทหัวแข็งโดยสมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าที่เฟรด้าคาดไว้ แต่เขาก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะมันได้
จากพื้นที่ต่อสู้ที่พังทลายออกเป็นวงกว้าง ทาร์แคนถูกมันกดดันเป็นอย่างมาก ปัญหาคือมีลิชตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในขณะที่มันกำลังจะได้รับชัยชนะ
‘เอลเดอร์ลิช…ทำไมถึงมีเอลเดอร์อยู่ที่นี่?’
หากราชาปีศาจหมายถึงราชาของเหล่าปีศาจเช่นไร เอลเดอร์ลิชก็เป็นราชาของเหล่าอันเดธเช่นนั้น
และลิชที่มีชื่อเอลเดอร์นำหน้านั้นแข็งแกร่งจนกระทั่งอาจมากกว่าราชาปีศาจด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามมีเอลเดอร์ลิชเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้
นั่นคือ จ้าวแห่งความตาย!
เขาเป็นหนึ่งในสี่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ อวตารของความตายที่แม้แต่ปีศาจยังต้องหลีกเลี่ยง
ยังไงก็ตามจ้าวแห่งความตายไม่เคยออกจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งซึ่งถูกเรียกว่า ‘ภูเขาแห่งความตาย’ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ถ้างั้นอะไรคือสิ่งที่เฟรดาเห็น ภาพลวงตางั้นเหรอ?
‘เฉพาะเอลเดอร์ลิชเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังจากความว่างเปล่าได้ แต่ลิชผู้นี้ดูมีพลังเวทย์น้อยกว่าจ้าวแห่งความตาย ถ้างั้นมันคือใครกันแน่? ‘
ความว่างเปล่าที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้
เหล่าราชาปีศาจแทบไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความว่างเปล่า ในขณะที่เทพปีศาจบางตนโอ้อวดว่าสามารถควบคุมพลังความว่างเปล่าได้ แต่เมื่อเทียบกับจ้าวแห่งความตายแล้วมันก็ดูจริงจังกว่าการละเล่นของเด็กน้อยนิดเดียวเท่านั้น
ไม่มีลิชตนไหนอีกที่สามารถควบคุมมอนสเตอร์แห่งความว่างเปล่าได้นอกเหนือจากจ้าวแห่งความตาย
อย่างไรก็ตามเขาไม่ใช่จ้าวแห่งความตายแน่นอน
“ หรือว่ามันเป็นผู้สืบสายเลือด?”
ตึง!
เฟรด้ากระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจทำให้พื้นที่รอบๆสั่นไหวอย่างรุนแรง
ลิชไม่สามารถมีผู้สืบทอดทางสายเลือดได้ อันเดธทุกตนล้วนเหมือนกันทั้งหมด นี่เป็นสามัญสำนึกปกติ แต่สิ่งที่มันเห็นขัดแย้งกับสามัญสำนึกเช่นนั้น
และมันไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะเป็นศิษย์ของจ้าวแห่งความตาย โดยเฉพาะไม่มีทางที่มันจะเป็นเอลเดอร์ลิช เพราะแค่การกลายเป็นลิชนั้น นักเวทสักคนก็ต้องอาศัยระยะเวลานานกว่าสองถึงสามพันปี
กึด! กึด! กึด!
เฟรด้ากัดเล็บตัวเองราวกับคนโรคจิต
อย่างไรก็ตามความจริงที่ว่ามันพ่ายแพ้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
และมันรู้ตัวว่าสมควรต้องถอย
ความภาคภูมิใจของมันกำลังเจ็บปวด
มันพยายามที่จะได้รับความโปรดปรานจากเอนโรธ แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร และโชคดีแค่ไหนแล้วที่ตัวเองยังมีชีวิตรอด
“ เจ้ารูสเวลต์มัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนในเวลานี้?”
เหลือปีศาจแค่ประมาณ 200 ตนรอบๆเฟรด้า
แม้ว่ามันจะนำปีศาจมาถึง 10,000 ตน แต่ตอนนี้เหลืออยู่เพียง 200 ตนเท่านั้น
“ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เราจะหันไปโจมตีรูสเวลต์แทน ข้าจะปล่อยให้เจ้านั้นได้รับความชอบไปไม่ได้”
เฟรดาเริ่มเคลื่อนไหวตามอารมณ์ที่แปรปรวนของตน
เมื่อมันไม่ได้รับของที่มันอยากได้ ผู้อื่นก็ต้องไม่ได้รับเช่นกัน
“ ท่านหมายความว่าจะโจมตีรูสเวลต์จริงๆเหรอ?”
“ ทหารจำนวนแค่นี้ไม่น่าจะเพียงพอนะท่าน…”
เหล่าปีศาจพยายามยับยั้งความคิดดังกล่าว
แม้ว่าปีศาจจะเป็นพวกเดียวกัน แต่ก็ไม่มีความรักหรือความจงรักภักดีระหว่างปีศาจจริงๆ
เป็นเรื่องปกติที่พวกปีศาจมักจะทำเรื่องอย่างแทงข้างหลัง มันเป็นธรรมชาติของพวกมันที่จะล่าเหยื่อที่อ่อนแอกว่าตัวเอง
ฉัวะ!
เฟรด้าหั่นคอของปีศาจที่อยู่ข้างกายทิ้ง
ตุบ!
เมื่อปีศาจตัวหนึ่งกลายเป็นศพที่เหลือก็นิ่งเงียบ
เส้นเลือดบนคอของเฟรด้าปูดโปงในขณะที่พูด
“ การกลับไปมือเปล่าก็หมายถึงความตายด้วย”
รูสเวลต์จะต้องคิดสังหารมันเหมือนกัน
“ ก่อนที่เราจะถูกโจมตี ดังนั้นเราจะโจมตีมันก่อน พวกแกยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
เฟรด้านำกองกำลังของตน 10,000 นายมาที่นี่ จากความสูญเสียที่เกิดขึ้นทำให้พลังการต่อสู้ของเฟรด้าถูกลดทอนลงอย่างมาก
รูสเวลต์คงจะไม่นั่งอยู่เฉยๆรอให้เฟรด้าโจมตีก่อนเป็นแน่
ด้วยเหตุผลดังกล่าวเหล่าปีศาจที่เหลือไม่ได้พยายามรั้งเฟรด้าอีกต่อไป
“ถ้างั้นตอนนี้รูสเวลต์อยู่ที่…”
ตูม! เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น
จู่ๆสิ่งมีชีวิตสีดำก็บินลงมาจากฟากฟ้า
เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันโดดลงมาจากด้านบนอย่างรวดเร็ว และหลุดรอดจากการรับรู้ของเฟรด้า
มอนสเตอร์ที่มีร่างกายสีดำขนาดใหญ่ด้านหลังปรากฎปีกสี่คู่
“บัลร็อก … ?”
มันมีสองเขาเหมือนแพะ ร่างกายใหญ่โต และใบหน้าของมันทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดงดุจเปลวเพลิงจากขุมนรก
บัลร็อกเป็นปีศาจแข็งแกร่งที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล
ตอนนี้พวกมันส่วนใหญ่ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว และมีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในอันเดอร์เวิล์ด เนื่องจากพลังอันแข็งแกร่งของพวกมัน เทพปีศาจจึงจับพวกมันด้วยตนเองและควบคุมพวกมันเอาไว้
เอนโรธเก็บบัลร็อกไว้ตัวหนึ่ง
ด้วยการใช้เวทมนตร์ที่แข็งแกร่งทำให้สามารถกักขังบัลร็อคเอาไว้ได้
บางครั้งมันถูกส่งไปยังสนามรบ แต่เมื่อใดก็ตามที่ทำเช่นนั้น แม้แต่ปีศาจก็ไม่สามารถช่วยได้แต่ต้องตกใจกับฉากที่เห็น
เพราะมันโจมตีศัตรูและพันธมิตรโดยไม่เลือกหน้า
บัลร็อกจัดเป็นนักล่าชั้นสูงและเป็นผู้ทำลายล้างโดยสมบูรณ์แบบ
แต่ทำไมบัลร็อกถึงอยู่ในสถานที่นี้?
กรรรรรร
บัลร็อกก้มหน้าลงมองไปทางเฟรด้า
จากการจ้องมองนั้นไม่มีทางที่เฟรด้าจะอ่านความตั้งใจอันชั่วร้ายของมันไม่ออก
นั้นเป็นสายตาชั่วร้ายที่ต้องการเพียงการทำลายล้างเท่านั้น!
“หยุดมันไว้!”
เมื่อได้รับคำสั่งเหล่าปีศาจก็กางปีกถืออาวุธพร้อมกับร่ายเวทมนตร์ทันที
“Σ? Αγαπ?…… .”
“Γει? Σου!”
บูม! บรึม!
เวทมนตร์จำนวนมากสาดใส่ร่างของบัลร็อก
หมอกควันจากการระเบิดหนาเต็มพื้นที่ มันเป็นการโจมตีวงกว้างที่รุนแรงมาก หากพวกมันถูกเวทมนตร์โจมตีโดยตรงเช่นนี้คงไม่มีใครรอดชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม
ตึง!
บัลร็อกยังเคลื่อนไหวดีอยู่ภายในหมอกควัน
หากมีการเคลื่อนไหวถึงจะด้วยความรวดเร็วหมอกควันก็ย่อมถูกรบกวน แต่จากหมอกควันที่ดูเหมือนจะยังไม่เคลื่อนไหว บัลร็อกกลับปรากฏอยู่ที่ด้านหน้าของปีศาจทุกตนแล้ว
บัลร็อกใช้มืออันใหญ่โตบดขยี้ปีศาจราวกับเป็นของเล่น
เมื่อมันอ้าปากกว้างสิ่งที่อยู่ข้างหน้ามันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และยามที่มันกระพือปีกเลือดเนื้อของเหล่าปีศาจก็ถูกตัดปลิวว่อนกระจัดกระจาย
บัลร็อกเคลื่อนที่มายืนอยู่หน้าเฟรด้า
“ เจ้ากล้าแยกเขี้ยวใส่ข้างั้นรึ!”
เฟรด้าขมวดคิ้วขณะใช้หอกที่สร้างขึ้นมาจากหางของตัวเอง
หากใครถูกหอกเวทเล่มนี้แทงเข้าไปจะถูกสังหารโดยทันที หอกเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเฟรด้า รวมถึงเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของมันด้วย
กึงง! อย่างไรก็ตามหอกเวทไม่สามารถแทงผ่านชั้นผิวหนังของบัลร็อกได้
หรือเป็นเพราะมันใช้พลังไปหมดแล้วในการต่อสู้ก่อนหน้า?
“ นี่เป็นไปไม่ได้…!”
เมื่อหอกเวทไม่ได้ผลดวงตาของเฟรดาก็เบิกกว้างอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามเฟรดาไม่เคยคิดเลยว่านี่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันจะได้รับรู้
กร๊วบ!
บัลร็อกอ้าปากแล้วเขมือบร่างกายท่อนบนของเฟรด้า
ฮูมม
จากนั้นมันก็ส่งเสียงครางออกมาราวกับพอใจ
อย่างไรก็ตามมันเลียริมฝีปากแล้วหันมองไปรอบๆราวกับยังไม่อิ่ม
ภาพที่ปรากฏในสายตาของนักล่าอย่างมัน ปีศาจที่กำลังทรุดตัวลงตัวแข็งทื่อทั้งหมดนั้นคือเหยื่อที่กำลังรอให้มันเขมือบ
***
เปรี๊ยะ!
ผิวของเขาปริแตกถูกทำลาย และงอกใหม่ขึ้นหลายครั้ง
เขารู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ว่าเขาจะฝึกซ้อมอย่างหนักในฐานะนักฆ่า แต่มันก็ไม่ได้เจ็บปวดขนาดนี้
เขารู้สึกราวกับวิญญาณจะต้องแหลกสลาย หากสมดุลผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย
กระบวนการบีบอัดพลังของความเป็นอมตะเข้าไปในมนุษย์
แน่นอนว่ามันคงไม่ราบรื่น
“ยอมแพ้เถอะ เจ้าทนความเจ็บปวดนี้ไม่ได้หรอก”
เสียงบางคนดังขึ้น
มูยองตระหนักว่าบุคคลที่พูดกับเขาอยู่คือลูซิเฟอร์
“ มอบพลังนั่นให้ข้า หากข้าได้รับพลังอมตะ เจ้าจะไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป”
ด้วยการส่งผ่านพลังอำนาจนี้แก่ลูซิเฟอร์ มูยองสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้
ลูซิเฟอร์กำลังล่อลวงเขาด้วยการบอกว่าทุกสิ่งจะถูกแก้ไขหากสละสิทธิ์ในการควบคุมนี้ให้แก่มัน
สิ่งที่กล่าวไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก
ยังไงก็ตามลูซิเฟอร์ไม่ได้โกหก มันแค่เกลี้ยกล่อมเขาอย่างชาญฉลาด
มูยองไม่ตอบกลับ
เขาแค่ต้องอดทนเท่านั้น ทั้งหมดที่มูยองสามารถทำได้คือกัดฟันทนต่อไป
“ หากเจ้าไม่ยอมรับข้อเสนอ ความเจ็บปวดนี้จะไม่สิ้นสุดลง พลังของความเป็นอมตะจะทำลายเจ้า หากวิญญาณและร่างกายของเจ้าเสียหาย ข้าก็จะพลอยได้รับอันตรายไปด้วย ดังนั้นข้าจะให้เจ้ายืมความแข็งแกร่งของข้า หากเจ้าไม่ยอมรับข้าจะปล่อยเจ้าให้รับความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เพียงลำพัง”
ปัจจุบันวิญญาณของมูยองและวิญญาณของลูซิเฟอร์ผูกติดอยู่ด้วยกัน
ในสถานะดังกล่าวถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับมูยอง ลูซิเฟอร์ก็จะไม่ปลอดภัย
นั่นคือเรื่องถูกต้อง มันคือความจริง ดังนั้นเป็นธรรมดาที่ลูซิเฟอร์จะต้องเป็นกังวล
อย่างไรก็ตามหากมูยองส่งผ่านพลังอำนาจนี้ให้มัน มันจะส่งพลังดังกล่าวกลับคืนให้มูยองหรือไม่?
นั่นคงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขอคืนพลังอำนาจที่ลูซิเฟอร์ได้รับไปแล้วกลับคืนมา
ในอดีตมูยองซ่อนวิญญาณบางส่วนของตัวเองไว้เพื่อตีกลับลูซิเฟอร์ แต่วิธีการนั้นคงไม่ได้ผลเป็นครั้งที่สอง!
วืด! วืด!
ร่างกายของเขาหดตัวก่อนที่จะขยายอีกครั้ง
แม้ว่ามูยองจะมีประสบการณ์ในการย้ายเอ็นถ่ายกระดูก แต่นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากความเจ็บปวดประเภทนั้นอย่างสิ้นเชิง
“ เจ้าไม่เจ็บปวดหรือไง? แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งแต่มนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด หากยังเป็นสิ่งมีชีวิตเจ้าไม่มีทางต้านทานพลังของความเป็นอมตะได้หรอก หรือเจ้าวางแผนที่จะกลายเป็นอันเดธหลังจากที่ตายงั้นหรือ? เหมือนลิชที่เจ้าสร้างขึ้น? อืมนั่นก็เป็นความคิดที่ไม่เลว”
มันค่อนข้างพูดมาก
ปกติแล้วลูซิเฟอร์ไม่ใช่คนพูดมากแบบนี้
ลูซิเฟอร์อาจตระหนักว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการยึดอำนาจจากมูยอง
อย่างไรก็ตามถึงอย่างนั้นมูยองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แม้ว่าความคิดเขาจะอ่อนแอลงด้วยความเจ็บปวด แต่มูยองก็ไม่พลาดสิ่งเล็กๆน้อยๆนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่ลูซิเฟอร์มีทีท่าหมดหวัง
“อ่า!
และแล้วมูยองก็ตระหนักได้
วิญญาณของพวกเขาถูกผูกติดเข้าด้วยกัน
หากมูยองอ่อนแอ ลูซิเฟอร์ก็อ่อนแอเช่นกัน
จนถึงตอนนี้ลูซิเฟอร์แค่ปกป้องตนเอง
มันปกป้องตัวเองจากพลังของกาเบรียลเช่นเดียวกับพลังอื่นๆที่มูยองครอบครอง
มันปิดกั้นพลังอื่นๆเพื่อไม่ให้ตัวเองสูญเสียตัวตนไป
อย่างไรก็ตามตอนนี้เหมือนประตูถูกบังคับให้เปิด เมื่อวิญญาณของมูยองอ่อนแอลง มันจึงไม่มีพลังมากบทที่ 223: ลางแห่งการทำลาย (5)
ทาร์แคนก้มลงมองดาบตัวเอง
มันหักออกเป็นสองส่วน หลังจากพ่ายแพ้ให้แก่เฟรด้า
แม้ว่าทาร์แคนจะสามารถซ่อมแซมได้ทันที แต่เขาก็ไม่ทำเช่นนั้น
เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับสาเหตุที่พ่ายแพ้
‘ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ?’
เขาคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น แน่นอนว่าเขาพิสูจน์ตัวเองไปแล้ว ด้วยการเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่เขาเอาชนะมา เป็นเพียงระดับมาตรฐานของ ‘มนุษย์’ เท่านั้น
แม้ว่าทาร์แคนจะแข็งแกร่งขึ้น แต่มูยองและซองมินก็ยิ่งพัฒนามากขึ้นเช่นกัน
สำหรับตัวตนลึกลับเช่นมูยองนั้นก็ไม่เท่าไหร่ แต่ซองมินนี่สิที่คาดไม่ถึง
ทาร์แคนยังตกใจอยู่เลย เมื่อเห็นว่าซองมินรับมือรูสเวลต์และแม้กระทั่งกับเฟรด้าได้อย่างไร
มีซากศพมากมายที่เกิดขึ้นจากฝีมือของซองมิน และมอนสเตอร์แห่งความว่างเปล่าของเขา
เฟรด้าไร้หนทางต่อหน้าซองมินโดยสิ้นเชิง เหล่าสมุนปีศาจของมันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากปล่อยให้ตัวเองถูกโจมตีอย่างไร้ประโยชน์
นอกจากมูยองแล้ว ทาร์แคนจำใจต้องยอมรับว่าซองมินก็มี ‘ระดับ’ เหนือกว่าตน
เขารู้สึกเหมือนกำลังแหงนหน้ามองดอกไม้ที่งอกอยู่บนหน้าผา
ที่แม้จะเอื้อมมืออย่างไรก็ไม่สามารถไปถึงได้
มันเป็นเรื่องที่ทำให้ทาร์แคนตกใจอย่างยิ่ง เนื่องจากเมื่อก่อนซองมินยังอ่อนแอกว่าเขา
เมื่อไหร่ที่เจ้านี่แซงหน้าข้าไป ?
เกิดอะไรขึ้นในเวลาเพียงสองปี ?
แล้วสองปีที่ผ่านมาข้ามัวไปทำอะไรอยู่ ?
‘อันดับเปลี่ยนไปแล้ว’
บางทีเขาอาจถูกครอบงำโดยความทระนงของตนเอง
‘ข้าแข็งแกร่ง ข้ากลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม และข้าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีก’
เขาไม่ได้คิดมากไปเอง เพราะมันเห็นได้ชัดเจนมาก?
ทาร์แคนก้าวออกจากอาณาเขต ซึ่งกำลังฉลองชัยชนะอยู่ในขณะนี้
เนื่องจากพวกเขาหยุดกองกำลังที่ล่วงหน้ามาของศัตรูได้ ดังนั้นจึงมีพักหนึ่งก่อนที่ศัตรูที่เหลือจะตามมาถึง
ทาร์แคนเดินออกจากอาณาเขต และเข้าไปในป่าลึก
‘การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น’
ถูกต้องแล้ว มัวแต่โทษตัวเองคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้
ถ้าซองมินแข็งแกร่งขึ้นได้ ทาร์แคนก็แค่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
สงครามเป็นเวทีที่ดีที่สุดที่จะแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะจัดการกับราชาปีศาจได้ แต่เอนโรธยังคงอยู่ น่าจะมีปีศาจอีกอย่างน้อยสองสามแสนตนภายใต้คำสั่งของมัน
การเฉลิมฉลองในอาณาเขตตอนนี้ก็มีเพื่อบรรเทาความตึงเครียดเท่านั้น
ฉวับ! ฉวับ!
ทาร์แคนเหวี่ยงดาบหักๆของเขาไปด้านหน้า
เขาซ้อมฟันดาบอย่างแข็งขันเพื่อลดช่องว่างดังกล่าวลง ขณะที่คนอื่นกำลังเพลิดเพลินไปกับงานฉลอง
‘ก่อนหน้านี้ข้าคงจะขี้เกียจไปหน่อย’
เขาละเลยการฝึกเล็กๆน้อยๆไปเมื่อรู้สึกว่าตนแข็งแกร่งขึ้น
จากการต่อสู้ครั้งนี้และการปรากฏตัวของซองมิน เขาก็ตระหนักได้อย่างสุดซึ้ง
แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ปกครองของเส้นทางแห่งอาชูร่า แต่เขาก็ขาดพลังอีกเยอะในฐานะผู้ปกครอง
เขาต้องการพลังมากกว่านี้เพื่อที่จะเป็นผู้ปกครองที่แท้จริง
อย่างน้อยก็จนกว่าจะเอาชนะซองมินและมูยองได้…ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถเรียกตัวเองว่าผู้ปกครอง
ผู้ปกครองจะต้องชนะเท่านั้น และขึ้นครองราชย์!
แกร๊บ!
ทาร์แคนสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของใครสักคน
เขาหยุดการฝึกและหันกลับไปอย่างระมัดระวัง
ดูเหมือนพวกนั้นจะเก่งพอตัว เพราะหากไม่สังเกตเสียงลมและหญ้าเขาคงไม่รู้ว่ามีคนมาที่นี่
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
ปีศาจที่รอดชีวิตหรือ?
เฟรด้าหลบหนีไปพร้อมกับสมุนของมัน
และถ้าเป็นเฟรด้าจริงๆทาร์แคนคงยินดีเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นก็มีคนสองคนปรากฏตัวขึ้น
ทั้งสองคนมีสภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่
เป็นชายแก่ที่ดูเหนื่อยล้า และหญิงสาวผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั้งคู่มองเขาจากบนต้นไม้สูง
“ อาจารย์ เรากินอัศวินแห่งความตายตรงนั้นได้มั้ย ”
” หยุดคิดอะไรบ้าๆ เธอจะกินมอนสเตอร์ที่มีแต่กระดูกได้ยังไง”
ดูเหมือนว่าทั้งสองจะหิวเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าที่นี่จะเต็มไปด้วยป่าไม้ แต่ทว่าสัตว์ที่ยังมีชีวิตกลับมีอยู่ไม่มากนัก
นอกจากนั้นแม้แต่พืชส่วนใหญ่ก็ยังมีพิษ
หากมนุษย์กินมันอย่างไม่ระมัดระวังพวกเขาจะต้องป่วยหนัก
“ ทำไมมนุษย์ถึงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้”
ทาร์แคนยกดาบขึ้น
เขาเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
‘สกายลอร์ด’ ย่อมไม่ยอมให้มีผู้บุกรุกเข้าไปในดินแดนเทพปีศาจ นอกจากพวกเขาเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว
หญิงสาวและชายแก่มองไปที่ทาร์แคนด้วยความประหลาดใจ
“ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอัศวินแห่งความตายที่มีสติปัญญานะ”
“ งั้นเรามาจับมันถามเอาข้อมูลกันเถอะ”
จากนั้นทั้งสองก็ตั้งท่าแปลกๆ ก่อนจะกระโจนเข้าหาทาร์แคนทันที
“ ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นใคร แต่ในเมื่อบังอาจโจมตีข้าก่อน คงไม่คิดว่าจะจากไปทั้งที่ยังมีชีวิตสินะ”
หลังจากสลดจากเรื่องเมื่อสักครู่ การได้ต่อสู้กับใครสักคนจึงเป็นเรื่องที่ดี
ถึงจะไม่ใช่เฟรด้าและเหล่าสมุนปีศาจ แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ผู้ที่ไม่ได้รับเชิญบุกรุกเข้ามาเช่นนี้ได้
ทาร์แคนเหวี่ยงดาบหักในมือออกไป
ซู่ม!
คลื่นพลังเวทพุ่งผ่าอากาศออกมาจากตัวดาบ
ราวกับนัดหมายไว้แล้ว หญิงสาวและชายชราแยกหนีออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะโจมตีทาร์แคนจากหลายทิศทาง
‘ค่อนข้างมีฝีมือ’
เป็นการประสานการต่อสู้ที่ดี
นอกจากนั้นทักษะของพวกเขาก็ยังค่อนข้างดีอีกด้วย
ในบรรดามนุษย์ เขาไม่ค่อยเห็นผู้ที่สามารถเคลื่อนไหวได้เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ทาร์แคนเคยต่อสู้กับผู้ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็น ‘ท็อป 10’ ของมนุษย์มาก่อนแล้ว
ตูม!
หญิงสาวและชายชรายังไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆให้กับทาร์แคนได้
แต่พวกเขายังคงป้องกัน และคอยโจมตีออกไปเรื่อยๆ
แม้ว่าจะเป็นศิลปะการต่อสู้ที่เรียบง่าย แต่ความสามารถของพวกเขาก็ไม่เหมือนใคร และเมื่อพวกเขาประสานการโจมตีเข้าด้วยกันก็สามารถแสดงประสิทธิภาพของทักษะได้มากยิ่งขึ้น
‘แต่ก็ยังไม่เพียงพอ’
ทาร์แคนไม่ได้อ่อนแอ แม้ว่าเขาจะรู้สึกแย่เมื่อนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับมูยองและซองมินก็ตาม แต่ความจริงแล้วทาร์แคนนั้นแข็งแกร่งพอ
ทาร์แคนใช้ฟันดาบออกไป ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกระโดดหลบการโจมตี เขาก็บิดร่างกายในทิศทางที่คาดไม่ถึง และโจมตีเธออีกครั้ง
หากไม่ใช่อัศวินแห่งความตายคงเคลื่อนไหวเช่นนี้ไม่ได้
“ชิ!”
เคล้ง!
หญิงสาวซัดมีดสั้นออกไปหยุดดาบของทาร์แคนไว้
“ฮ่าๆ! แกเสร็จฉันแล้ว ไอ้กระดูกระยำ!”
จากนั้นชายชราก็คว้าทาร์แคนจากด้านหลัง
ชายชรากอดรัดเอาไว้อย่างแน่นหน้าราวกับจะสามารถบดขยี้ร่างของทาร์แคนได้
วูม!
แต่แล้วทาร์แคนก็อันตรธานหายไป
ขณะที่ชายชรากวาดสายตาตามหา หญิงสาวก็ขว้างมีดสั้นออกไปอีกอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์! มันอยู่ข้างหลัง!”
วูม!
อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถป้องกันได้อย่างสมบูรณ์
ดาบแทงทะลุหลังของชายชรา
ด้วยเวทการเคลื่อนย้ายทางไกล ทาร์แคนสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหลังของชายชราได้
“ แกเป็นมอนสเตอร์ที่มีทักษะค่อนข้างดีเลย!”
ชายชราตะโกนพูดราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บ
‘ทั้งๆที่ข้าเล็งที่ศีรษะแล้วแท้ๆ’
ความเร็วในการตอบสนองของมนุษย์คนนี้ผิดปกติ
หากเขาช้ากว่านี้สัก 0.01 วินาทีศีรษะคงเป็นรูไปแล้ว
‘น่าสนใจ’
ทาร์แคนเริ่มรู้สึกสนุก
มนุษย์พวกนี้ค่อนข้างมีทักษะ
บางทีพวกเขาอาจแข็งแกร่งกว่าคนส่วนใหญ่ที่รู้จักกันว่าอยู่ใน ‘ท็อป 10’ ของมนุษย์
* * *
ทั้งสามต่อสู้กันอยู่หลายชั่วโมง
ผลสรุปของฉากนั้นทำให้เขานึกถึงสงครามอีกครั้ง
ป่าโดยรอบถูกทำลาย ต้นไม้จำนวนมากถูกโค่นลง พื้นดินปริแตกราวกับเกิดแผ่นดินไหว และในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้มีมนุษย์สองผู้ล้มลงอยู่
“ มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่คาดเดาได้ยากเสียจริง”
ถึงชนะแต่ทาร์แคนยังคงตกใจ
ดาบที่หักอยู่แล้วแทบไม่เหลือชิ้นดี
กระดูกบางส่วนของทาร์แคนแตกหัก และหลังจากนี้เขาต้องการพักผ่อนเป็นเวลาอย่างน้อยสักสองวัน
เฟรด้าไม่ได้ต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบ มนุษย์สองคนนี้ก็เหมือนกัน
ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอเนื่องจากไม่ได้รับอาหารที่เหมาะสมเป็นเวลานาน
แต่มันยังไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่า ทั้งสองคนโจมตีทาร์แคนก่อน
ทาร์แคนชูดาบขึ้นเหนือร่างของคนทั้งสอง ซึ่งกำลังหมดสติจากการบาดเจ็บ
“ ถึงกระนั้นข้าจะให้พวกเจ้าได้ตายอย่างมีเกียรติ”
มันเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง
สังหารศัตรูให้ตายในการโจมตีครั้งเดียวโดยไม่ให้ได้รับความเจ็บปวด
ทาร์แคนเดินไปที่หญิงสาวก่อน แต่ในขณะที่เขากำลังจะเหวี่ยงดาบ หญิงสาวก็ครางออกมาเบาๆ
“ พ่อ…พี่มูยอง…”
ทาร์แคนหยุดชะงัก
มูยอง?
เขาไม่ได้ยินผิดแน่นอน
ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า ‘มูยอง’
ทาร์แคนรู้จักกับมูยองเพียงคนเดียวเท่านั้น
เธอกำลังพูดถึงมูยองที่เขารู้จักใช่หรือไม่?
‘นางรู้จักเขางั้นหรือ?’
ทาร์แคนส่ายหัว
หากเธอเกี่ยวข้องกับมูยอง คงดีกว่าที่จะไม่สังหารพวกเขา
“ ชื่อของเขาช่วยชีวิตเจ้าไว้”
ทาร์แคนแบกทั้งสองคนไว้บนไหล่
* * *
เหมือนเธอกำลังตกอยู่ในความฝันอันยาวนาน
ซูจียิ้มอย่างมีความสุขอยู่กับพ่อตัวเอง และมูยองก็อยู่ที่นั่นด้วย
อย่างไรก็ตามความมืดก็ปกคลุมฉากทั้งหมดในไม่ช้า และทั้งสองคนก็หายไป
เธอร้องไห้ตามหาพวกเขา และความฝันก็สิ้นสุดลงแค่นั้น
“อือ… .!”
เธอยกร่างกายส่วนบน อันปกคลุมไปด้วยเหงื่อขึ้นอย่างรวดเร็ว
‘ฉันอยู่ที่ไหน?’
หลังจากที่ลุกขึ้น ซูจีก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอีกครั้ง
เธออยู่ในสถานที่ที่เธอไม่รู้จัก นอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ด้านบนเป็นเพดานสีขาว และมีภาพวาดโบราณแขวนอยู่บนผนัง
“ ตื่นแล้วเหรอ”
ผู้หญิงสวมชุดสาวใช้เดินเข้ามาหาซูจีด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“ อ่า ดูสิ เหงื่อท่วมตัวเลย”
จากนั้นเธอก็ใช้ผ้าเปียกเช็ดหน้าผากให้ซูจี
“ คุณเป็นใคร?”
ซูจีอดไม่ได้ที่จะถามอย่างงุนงง
ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเป็นสาวใช้ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ ฉันได้ยินมาว่าเธอเป็นแขกของท่านลอร์ด”
“แขก”
จากนั้นสาวใช้ก็พยักหน้า
“ จักรพรรดิอัศวินพูดอย่างนั้น”
“ จักรพรรดิอัศวิน…?”
“ ก็อัศวินโครงกระดูกนั่นไง เธอไม่เห็นเขาเหรอ?”
“ อัศวินแห่งความตาย…”
“ ใช่ นั่นคือชื่อที่คนอื่นเรียก”
ซูจีเบิกตากว้าง
หลังจากพบอัศวินแห่งความตาย ซูจีและราชานักสู้ก็เข้าโจมตีเขา
อย่างไรก็ตามพวกเขาพ่ายแพ้
ผู้ที่ควรถูกสังหารกลับได้รับการต้อนรับในฐานะแขก
มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
โดยเฉพาะสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้า เธอเป็นมนุษย์แน่นอน
เพราะเธอไม่มีอ่อร่าแห่งความตายแผ่ออกมาสักนิด
อัศวินแห่งความตายจะอยู่กับมนุษย์ได้อย่างไร?
“ เธอช่วยรอสักระยะหนึ่งได้ไหม ตอนนี้เรายังไม่สามารถพาเธอไปพบท่านลอร์ดได้”
“ อื้ม แล้วคนที่อยู่กับฉันล่ะ? คนหัวล้านๆ”
“ อ้อ เขาอยู่อีกห้องหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย”
ฟู่ว!
ซูจีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่ว่าจะเพราะอะไรดูเหมือนว่าเธอยังไม่ตาย
“ นอนพักอีกสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวฉันจะหาอะไรมาให้กิน”
“ อ๊ะ ไม่เป็นไร ฉันยังไม่หิว ร่างกายของฉันแข็งแรงกว่าคนปกติน่ะช่วยพาฉันเดินไปดูรอบๆแทนได้มั้ย?”
“ เธอไหวแน่นะ? เกิดปัญหาแน่หากมีอะไรเกิดขึ้นกับแขกของท่านลอร์ด ”
“อื้อ! ฉันสบายดีจริงๆ ไม่เชื่อดูสิ”
ซูจียกมือขึ้น
จากนั้นใช้เพียงนิ้วมือดันเตียงไปข้างหน้า
“ บอกแล้วว่าฉันแข็งแรงดี?”
“ ดูเหมือนว่าเป็นอย่างนั้น”
สาวใช้หัวเราะและพยักหน้า
“ ฉันจะนำทางให้เธอเอง”
ที่นี่คือปราสาท
มันเป็นปราสาทขนาดใหญ่!
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่น่าแปลกใจ
‘โดะ-โดเกบิ, เอลฟ์, คนแคระ…ไฟทาร์! ที่นี่คือที่ไหนกันแน่? ‘
มีหลากหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ที่นี่
เผ่าพันธุ์ต่างๆที่ไม่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อน
และเธออดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่ามีแม้กระทั่งไฟทาร์
“ อ่า เดี๋ยว กรุณารอสักครู่”
ทันใดนั้นสาวใช้ที่นำทางเธออยู่ก็หายตัวไปราวกับมีบางสิ่งเกิดขึ้น
ซูจีที่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังไตร่ตรองสักครู่ ก่อนที่เธอจะเดินเตร่ต่อไป
‘ที่นี่แปลกจริงๆ ฉันต้องสำรวจดูสักหน่อย ‘
มันยากที่จะเชื่อว่าความตั้งใจของพวกเขาบริสุทธิ์
สำหรับโลกที่เหมือนอยู่ในเทพนิยายเช่นนี้ เธอต้องตื่นตัวเข้าไว้
ซูจีพยายามเดินให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
พอเธอเดินมาถึงห้องหนึ่งหลังจากขึ้นบันไดก็ได้ยิน
“ อลันซ์, ดอนทัค ฉันเห็นมอนสเตอร์ตัวสีดำป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆนอกอาณาเขตของเรา นอกจากนั้นฉันยังเห็นศพของเฟรด้ากับสมุนปีศาจของมัน”
“ แล้วท่านจะให้เราทำอย่างไร?”
“ สร้างหน่วยขึ้นไปเสริมกองกำลังลาดตระเวน แม้ว่าจะมีเวลาอีกประมาณ 10 วันก่อนที่เอนโรธจะยกกองทัพมาถึง แต่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างนี้”
“ ข้าเข้าใจแล้วท่านจอมเวทย์”
“แล้ว…”
แกร๊ก!
บางคนในห้องเคาะเก้าอี้ของตัวเอง
“มีหนูกำลังซ่อนตัวอยู่”
ซูจีกลั้นหายใจทันที
ปัง!
จากนั้นประตูก็ถูกทำให้เปิดออก ก่อนที่จะมีมือสีดำพุ่งไปหาซูจี
ในขณะเดียวกันพอประตูถูกเปิด ซูจีก็เห็นคนภายในห้อง!
‘ลิช?’
อสำหรับการป้องกันตัวเองได้อีก
พลังของกาเบรียลไม่ใช่ประเภทที่จะกระตุ้นอย่างรุนแรง แต่หากเป็นพลังของความเป็นอมตะลูซิเฟอร์รู้ตัวว่ามันอาจถูกดูดกลืนได้
ลูซิเฟอร์มั่นใจว่ามูยองคงไม่เข้าใจความจริงนี้
และถ้ามูยองอ่อนแอลงกว่านี้อีกเล็กน้อยมันก็อาจจะฝืนต่อไปไม่ไหว
นั่นคือเหตุผลที่มันพยายามล่อลวงเขา
“ ส่งผ่านการควบคุมมา ข้าจะพยายามต่อต้านความแข็งแกร่งของพลังอมตะให้ ในนามของข้าลูซิเฟอร์ … ”
“อ่อใช่แล้ว เจ้าจะยังคงได้รับความเป็นอมตะอยู่”
ในขณะนั้นเอง มูยองก็ยื่นมือออกไปคว้าวิญญาณของลูซิเฟอร์