The King of the Battlefield - ตอนที่ 226
บัลร็อกปีศาจโบราณ
ข้อมูลของมันไม่เป็นที่แน่นอน
พวกมันมีตัวตนอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งและหายไป
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมันมากมายแตกต่างกัน แต่ที่ดูน่าเชื่อถือสุดก็คือเรื่องเล่าที่ว่า ครั้งหนึ่งโลกเคยถูกทำลายโดยกลุ่มของบัลร็อก
บัลร็อกนั้นแข็งแกร่งเกินไป และไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถต่อกรกับพวกมันได้ ทว่าจากนิสัยคลั่งสงคราม ทำให้พวกมันไม่สามารถอดกลั้นความรู้สึกอยากทำลายล้าง และหากอยู่ในยามหิวโหยพวกมันก็จะหันไปโจมตีกันเอง
ในท้ายที่สุดบัลร็อกก็กลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอันเดอร์เวิล์ด รวมถึงพวกเดียวกันเองจนสูญพันธุ์
ส่วนบัลร็อกที่รอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ คือตัวที่ถูกทำให้หลับใหลโดยใช้ทักษะเวทมนต์ระดับสูง
ในหมู่พวกมัน บัลร็อกที่เก่งๆมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเทพปีศาจเลยทีเดียว
แทบไม่มีใครสามารถควบคุมพวกมันได้ นอกจากนั้นพวกมันยังกินได้กระทั่งพลังเวท และปกติมันมักจะอาละวาดจนกว่าตัวเองจะตายลง แต่แน่นอนว่ากว่ามันจะตายสิ่งรอบๆก็คงพังพินาศสิ้นราพณาสูรไปหมด ชนิดที่ว่ากลายเป็นดินแดนแห่งความตายที่ไม่มีแม้แต่พืชหญ้าต้นเดียวจะเหลือรอด
“ ต้นกำเนิดของชีวิต คือพลังขับเคลื่อนของมัน”
ตูม!
บรึ้ม!
มอนสเตอร์ขนาดใหญ่ยักษ์กำลังบดขยี้ทุกสิ่งที่มันสัมผัส เมื่อใดก็ตามที่อุ้งเท้าของมันประทับลง ทุกอย่างก็จะพบกับความวิบัติฉิบหาย
เบซองหมิงมองดูฉากดังกล่าวอย่างปราศจากอารมณ์
ฉากของสัตว์ประหลาดที่ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน และกลืนกินสิ่งมีชีวิตรอบๆอย่างตะกละตะกลาม
แม้ว่าพวกเขาจะส่งกองกำลังออกไปพยายามหยุดมันด้วยความรวดเร็ว แต่ความเสียหายก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“ แค่ตัวเดียว! เราหยุดศัตรูแค่ตัวเดียวไม่ได้หรือนี่!”
โอการ์ที่รับบทบาทเป็นผู้นำของไฟทาร์ตะโกน
ถูกต้องแล้ว ศัตรูแค่ตัวเดียว
อย่างไรก็ตาม บัลร็อกดูไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย เพราะมันไม่ได้เสียพลังงานอะไรเลยสำหรับการโจมตี
‘การดูดซับ’
มันสังหารและดูดซับชีวิตของทุกสิ่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงมาใช้เป็นพลังงานของตัวเอง
จากการสังเกตอย่างรอบคอบ แม้ว่าจะไม่แน่ใจเต็มร้อย แต่เขาก็สามารถสรุปได้ดังนั้น
‘เราคงใช้ไฮดรากับเบียทริซสู้มันไม่ได้’
ไฮดราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังชีวิตสูงสุด และเบียทริซเป็นแม่มดที่ใช้มันสำหรับการอัญเชิญ
หากอัญเชิญพวกมันทั้งคู่ออกมาคงจะเกิดหายนะครั้งใหญ่
เพราะบัลร็อกคงทำลายดินแดนทั้งหมดทิ้งได้อย่างรวดเร็วจากการดูดพลังชีวิตของพวกมันมาใช้
ซองมินจำต้องผนึกความสามารถดังกล่าวเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้
“ เราต้องสู้กับมันโดยใช้วิญญาณและอันเดธเท่านั้น ”
เนื่องจากอันเดธกับพวกวิญญาณไม่มีพลังชีวิตให้ดูด
ตามที่ซองมินประกาศ โดเกบิกับพวกเอลฟ์จึงต้องถอยออกไปจากสนามรบ
“ เจ้าต้องการให้เราถอยกลับด้วยงั้นหรือ?”
โอการ์ร้องคร่ำครวญ
ซองมินตอบอย่างเข้าใจ
“ บัลร็อกดูดซับพลังชีวิตมาเป็นของตัวเองได้ ถ้าขืนเราไม่เปลี่ยนแผน ก็เท่ากับไปเพิ่มพลังให้มันแข็งแกร่งเรื่อยๆ”
“ สหายของข้าถูกสังหารไปมากมาย ถ้าข้าถอยกลับ แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปพบพวกเขาในปรโลกได้ “
แม้โอการ์จะเป็นไฟทาร์ผู้มีมุมมองกว้างไกล แต่เขาก็ต้องทำตามกฎประเพณีของเหล่าไฟทาร์ หากเขาไม่สนใจการตายของสหาย โอการ์ก็ไม่สามารถเป็นผู้นำได้อีก
ซองมินอธิบายเพิ่มเติม
“ รอทำลายเขาทั้งสองของมันได้ก่อน เพราะความสามารถในการดูดซับของมันจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเราทำสำเร็จ นายอยากจะทำอะไรฉันจะไม่ห้าม”
บัลร็อกสามารถดูดซับพลังชีวิตผ่านเขาโง้งยาวทั้งสอง
หากพวกเขากำจัดมันทิ้งได้ ความได้เปรียบจะกลับมาอย่างท่วมท้น
“เข้าใจแล้ว”
โอการ์รู้ว่าตนไม่สามารถดื้อรั้นกับเรื่องนี้ได้อีก
มันคือสงครามของมูยอง โอการ์ไม่สามารถทำให้สงครามของมูยองพังได้
หลังจากนั้นโอการ์ก็ออกไปพร้อมกับกลุ่มไฟทาร์
มีวิญญาณประมาณ 40,000 ตน หากนับจำนวนอันเดธด้วยก็ราวๆ 50,000
จากนั้นซองมินก็เริ่มออกสั่งการ
“ ฉันต้องจัดการฐานพลังของมันก่อน”
เขามั่นใจว่าบัลร็อกดูดซับพลังชีวิตมาเป็นของตัวเองได้
และตอนนี้เขาต้องการทราบว่า หากมันดูดซับไม่ได้ มันจะเก่งแค่ไหน
ยิ่งรู้ข้อมูลของศัตรูมากเท่าไหร่ การต่อสู้ก็ยิ่งจะง่ายขึ้นเท่านั้น
‘สร้างคลื่นความถี่ต่ำโจมตีมัน’
ซองมินรวบรวมวิญญาณประเภทหนึ่งออกมา
วิญญาณประเภทนั้นสามารถสร้างคลื่นความถี่ต่ำได้ ความถี่ที่เป็นต้นกำเนิดของความหวาดกลัวและพลังที่ไร้รูปแบบแน่นอน
เขารวบรวมวิญญาณได้ประมาณ 2,000 ตน จากนั้นก็สร้างความถี่ด้วยความเร็วสูง
วงเวทย์ที่เกิดจากเหล่าวิญญาณหมุนวนด้วยความเร็วสูง จนเกิดเป็นพลังคลื่นความถี่ออกมา
กระบวนการนี้เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับนักเวทปกติ มันต้องการความรอบรู้ และการปรับจูนที่แม่นยำโดยห้ามไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น
ในไม่ช้าซองมินก็ทำให้มันเกิดการสะท้อนกลับ และคลื่นความถี่ก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ก่อนจะถูกยิงไปทางบัลร็อก
บัลร็อกสามารถดูดซับเวทย์มนตร์ แต่คลื่นความถี่ไม่ใช่เวทมนตร์ ดังนั้นซองมินคิดว่ามันจะไม่สามารถดูดซับพลังปกติเช่นนี้ได้
เมื่อสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตามรับการโจมตีแบบนี้เข้าไป ภายในร่างของสิ่งมีชีวิตนั้นๆจะเกิดความขัดแย้งในตัวเองเป็นอย่างมาก และหลังจากนั้นพวกมันก็จะเริ่มทำร้ายตัวเองจนสิ้นชีพ
ก๊าซซซซซซ!
มันได้ผล
บัลร็อกปล่อยเสียงกรีดร้อง เริ่มถลาชนกับก้อนหินที่อยู่รอบๆ
มันกระแทกศีรษะเข้ากับทุกสิ่งอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเริ่มกัดแขนตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีบาดแผลใดๆเกิดขึ้นเนื่องจากมันมีผิวหนังที่แข็งแกร่ง
‘ต้องทำให้ผิวหนังของมันอ่อนแอลง’
และสิ่งนี้จะต้องทำโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์
“ ฉันต้องใช้ลูกปัดวิญญาณ”
ซองมินพูดกับจิ้งจอกเก้าหาง
จิ้งจอกเก้าหางทั้งห้าตัวเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่งซึ่งติดตามมูยองเท่านั้น
ความแข็งแกร่งของพวกเธอเปรียบได้กับมังกรเลยทีเดียว
และแหล่งกำเนิดพลังของพวกเธอก็คือสิ่งที่อยู่ในลูกปัดวิญญาณ
มันคล้ายกับ ‘ภาชนะแห่งชีวิต’ ที่ลิชใช้
“ ลูกปัดวิญญาณ?”
“ เจ้าวางแผนจะใช้มันยังไง?”
จิ้งจอกเก้าหางต้องระมัดระวังและชัดเจนในการกระทำนั้น เพราะหากลูกปัดถูกทำลาย พวกเธอจะไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขจิ้งจอกธรรมดา
หากมูยองเป็นคนขอพวกเธอคงยอมโดยไม่ลังเล แต่นี่ไม่ใช่
อย่างไรก็ตามพวกเธอรู้ว่าซองมินเป็นคนที่ติดตามมูยองมาเป็นเวลานาน
หากเป็นคนอื่นร้องขอ พวกเธอคงจะฉีกกะชากหัวใจของมันผู้นั้นออกไปแล้ว
“ ฉันจะลดความแข็งแกร่งของบัลร็อกลง”
สุนัขจิ้งจอกเก้าหางมองหน้ากัน
มนต์เสน่ห์หรือการยั่วยวนไม่ได้ผลกับบัลร็อก
มีเพียงการโจมตีที่สร้างจากซองมินเท่านั้นที่ได้ผล
พวกเธอไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะส่งมอบลูกปัดให้ ลูกปัดวิญญาณมีขนาดเท่ากำปั้น แต่กลับส่องแสงเปล่งประกาย
“ เจ้าไม่สามารถใช้มันอย่างไร้เหตุผลได้”
“อย่ากังวล”
ลูกปัดลอยอยู่รอบๆซองมิน
มันเป็นประเภทการป้องกัน พลังของลูกปัดวิญญาณคล้าย ‘กำแพง’ ที่แยกระหว่างภายในและภายนอกออกจากกัน
เหตุผลที่บัลร็อกแข็งแกร่งก็เพราะมันสามารถ ‘ดูดซับ’ ได้ ไม่เพียงแค่สิ่งมีชีวิต แต่มันยังสามารถดูดซับเวทย์มนตร์โดยรอบ
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้คนถึงบอกว่าบัลร็อกเคยทำลายโลกไปแล้วครั้งหนึ่ง
แต่ถ้าเขาสามารถปิดกั้นพื้นที่รอบๆของมันโดยใช้ลูกปัดห้าเม็ด บัลร็อกก็จะอ่อนแอลง
“Καλην?χτα.”
ลูกปัดวิญญาณทั้งห้าลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะพุ่งเข้าไปหาบัลร็อก จากนั้นพวกมันก็ปล่อยแสงออกไปเชื่อมต่อกันและกัน
แสงจากลูกปัดวิญญาณเชื่อมโยงกันผ่านตัวลูกปัดกลายเป็นสัญลักษณ์ดาวห้าแฉก โดยมีบัลร็อกถูกตรึงไว้ตรงกลาง
มันเป็นพลังของการปิดกั้นที่สมบูรณ์
‘หากไม่ทุ่มเทอย่างมากคงยากที่จะผ่านกำแพงพวกนี้ไปได้’
ในขณะที่สติถูกทำให้ปั่นป่วนจากคลื่นความถี่ต่ำ มันยังจะสามารถบุกทะลุกำแพงทั้งห้าได้หรือไม่?
ซองมินปักคฑาลงกับพื้นอีกครั้ง
“ โจมตีไปทางทิศเหนือ ทางด้านนั้นคือทิศที่พลังงานธาตุน้ำเข้มแข็งที่สุด มันจะทำให้ผิวของบัลร็อกอ่อนแอลง”
ดาวห้าแฉกที่ล้อมรอบบัลร็อกกลายเป็นดั่งค่ายกลที่มีองค์ประกอบของธาตุทั้งห้า
ในบรรดาทั้งห้าจุด ทิศเหนือเป็นตำแหน่งที่ซึ่งองค์ประกอบของธาตุน้ำถูกขยายให้ใหญ่สุด หากพวกเขาโจมตีไปยังที่นั่น ย่อมสร้างผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของบัลร็อก
และความคิดของซองมินก็ได้ผล
เมื่อเหล่าภูติผีวิญญาณโจมตีไปยังทิศทางดังกล่าว รอยแตกร้าวก็เริ่มปรากฏบนผิวหนังของบัลร็อก
กำแพงดาวห้าแฉก ป้องกันทุกสิ่งจากภายในเท่านั้น มันไม่ได้จำกัดสิ่งที่เข้าไปจากภายนอก
โฮกกก!
เสียงกรีดร้องดังขึ้น
กลยุทธ์ของซองมินมีประสิทธิภาพตามที่วางแผนไว้
หลังจากที่ได้เป็นเอลเดอร์ลิช ซองมินก็ได้รับความรู้ที่กว้างขวาง เขาสามารถเข้าใจการใช้สิ่งต่างๆได้ตามธรรมชาติ
ซองมินกระแทกคฑาลง และทำการเทเลพอร์ตไปทางด้านเหนือของดาวห้าแฉก หลังจากรวบรวมพลังงานน้ำจากบริเวณโดยรอบ เขาก็ทำให้มันกลายเป็นดาบก่อนจะสั่งมันฟันออกไป
ตูม!
เขาข้างหนึ่งของบัลร็อกถูกตัดออก
ก๊าซ! ก๊าซซซ! โฮกกก!
ตูม! ตูม! ตูม!
บัลร็อกโมโห
มันพยายามออกไปโดยการกระแทกร่างกายเข้ากับกำแพง
อย่างไรก็ตามนั่นเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ และทำให้มันใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
หลังจากนั้นบัลร็อกหยุดเคลื่อนไหว ร่างกายของมันบิดเบี้ยว และล้มลมสู่พื้น
‘มันตายแล้ว’
ซองมินยกมือขึ้นสั่งหยุดการโจมตี
ไม่มีการกระเพื่อมขึ้นลงจากหน้าอกของมัน
มันตายแล้ว ยังไงมันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิต และตอนนี้ชีวิตของมันได้หายไป
แต่…
ซองมินขมวดคิ้ว
“ รีบออกไปจากที่นี่!”
ผิวหนังของบัลร็อกเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นร่างของมันก็เริ่มถูกเผาไหม้
มันกำลังจะฟื้นคืนชีพ
มันใช้พลังงานเฮือกสุดท้ายในการฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาใหม่
ไม่สิ นี่มันไม่ใช่การฟื้นฟูแล้ว
มันคือการ ระเบิดตัวเอง!
วูม!
ร่างของบัลร็อกลอยสูงขึ้น จากนั้นเปลวไฟขนาดใหญ่ก็ถูกสร้างขึ้นบนฝ่ามือของมัน
แกร๊ก! แคล๊ก!
กำแพงเริ่มพังทลาย
‘ฉันช้าไป’
มันสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยง
ซองมินสร้างกำแพงอีกอันขึ้นมาโดยเร็ว
กำแพงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยกองกระดูก กำแพงที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความตายและเหล่าภูติผีทุกชนิด มันคือเกราะสามารถป้องกันได้แม้แต่ลมหายใจของมังกร
บูมม!
หลังจากนั้นดาวห้าแฉกก็แตกกระจาย และเปลวไฟที่รุนแรงกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง
เหล่าภูติผีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงระเหิดหายไปกลายเปลวเพลิงที่ขยายกว้างขึ้น
ถ้าพวกมันลุกลามออกไปจากที่นี่ได้ ทั้งอาณาเขตจะต้องถูกกลืน
‘ไม่คิดเลยว่ามันจะระเบิดตัวเองได้’
ซองมินตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
มันอาจถูกตั้งโปรแกรมในระบบชีวภาพของตัวเองให้เกิดการระเบิดเมื่อตาย
จากเปลวเพลิงอันรุนแรง กำแพงที่สร้างขึ้นโดยซองมินเริ่มละลายอย่างช้าๆ
ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป …
“ ดูเหมือนว่าฉันจะมาทันนะ!”
ซูจีปรากฏตัวขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
ท่ามกลางเปลวเพลิง!
เปลวเพลิงที่เผาไหม้ทุกสิ่งอย่าง ไม่มีวิญญาณหรือมอนสเตอร์ตัวไหนสามารถหยุดยั้งเปลวเพลิงเหล่านั้น
แต่ราวกับว่าไม่เป็นอะไร ซูจียักไหล่และยื่นมือออกมา
จากนั้นเปลวเพลิงก็เริ่มถูกดูดเข้าไปในมือของซูซี่
‘ผู้หญิงคนนั้น?’
เธอเป็นผู้หญิงที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
เธอในตอนนั้นยังดูไม่ได้พิเศษอะไรเลย เธอมีความสามารถทางกายภาพที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่มีความสามารถทางเวทมนตร์มากนัก
อย่างไรก็ตาม พลังเวทที่เขารู้สึกได้ในตอนนี้ …
“ ทุกคนตามฉันมา”
ซูจีกางมือทั้งสองของเธอออก
จากนั้นกำแพงแสงขนาดใหญ่ก็ถูกสร้างขึ้น และดูดกลืนเปลวเพลิงอย่างกว้างขวาง
ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติ เหล่าภูติผีวิญญาณ และอันเดธต่างพากันไปรวมตัวอยู่ด้านหลังซูจี
มันน่าแปลกมาก ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ไม่มีเหตุผลใดที่เหล่าวิญญาณและอันเดธจะทำตามคำพูดของเธอเช่นนี้
มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เว้นแต่จะเป็นมูยองหรือซองมินเท่านั้น
“ได้ยังไง?…”
ซองมินตกใจอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ซองมินรู้จักพลังนั้น
“อ่า! ‘อร่อยจัง ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าไฟจะอร่อยแบบนี้”
ซูซี่ตบพุงตัวเองขณะที่เธอเงยหัวขึ้น
เธอไม่ได้คิดว่าตัวเองจะกินไฟได้ตั้งแต่แรก เธอแค่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ และทำไปโดยธรรมชาติเท่านั้น
ซองมินเบิกตากว้าง
ลักษณะ…ของพลังนั้น
แน่นอนว่ามันเป็น…
‘พลังของมูยอง’
เจ้าแห่งเปลวเพลิง!
ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาดไปล่ะก็ นั่นเป็นพลังของมูยองแน่นอน