The King of the Battlefield - ตอนที่ 282
บทที่ 282 สงครามเทพปีศาจ (7)
โซโลมอนเผยมือ
“ จริงๆแล้วเจ้าไม่มีสิทธิถามอะไรข้าด้วยซ้ำ เพราะข้าคือผู้ปกครองที่สร้างเจ้าขึ้นมา!”
โซโลมอนผู้ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง เจ้าแห่งปีศาจ ความหวังสูงสุดและแสงสว่างของมนุษยชาติเริ่มโวยวายพ่นคำพูดต่างๆออกมาเหมือนคนบ้าจากโรงพยาบาลโรคจิต
“ ข้าจะทำลายโลกนี้และสร้างมันขึ้นมาใหม่ เพื่อกำเนิดเผ่าพันธุ์ที่ดีกว่าและเหนือกว่า!”
โซโลมอนพูดแต่เรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล การรับรู้และศีลธรรมของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนที่มีสติ เขาสนใจเพียงการทำลายเผ่าพันธุ์หนึ่งๆเพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ที่ดีกว่าเท่านั้น และหากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะแตกต่างจากปีศาจยังไง?
มูยองเริ่มเร่งความเร็วตัวเองขึ้น แต่แม้จะเพิ่มความเร็วไปที่ 128 เท่าเขาก็ยังไม่สามารถหลบหนีจากการระเบิดอันรุนแรงนี้ได้ มูยองกางปีกทั้งสามคู่ถูกออกเพื่อหลบหลีกอุกกาบาตและทำลายพวกมันไปพร้อมๆกัน
‘ฉันใช้ชีวิตทุกวันเหมือนเป็นวันสุดท้ายเสมอ’
ถึงพลังของเขาจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็เตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่ง ทุกเส้นทางของมูยองเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ตลอดเวลา เขาท้าทายทุกอย่างและเอาชนะมันได้ทุกครั้ง สักวันหนึ่งเขาอาจจะถูกต้อนจนจนมุมก็ได้ อย่างไรก็ตามโลกนี้ไม่ถูกต้อง และมูยองเป็นคนเดียวที่สามารถแก้ไขมัน
โซโลมอนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะเดียโบลงั้นเหรอ?
มูยองแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว เพราะทุกครั้งที่มูยองเข้าร่วมการต่อสู้ทุกคนมักพูดว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้ ชัยชนะไม่เคยเป็นไปได้สำหรับมูยอง อย่างไรก็ตามเขาไม่ยอมแพ้และยังสามารถมาถึงจุดๆนี้ได้ โซโลมอนไม่รู้จักมูยองดีพอ จริงๆแล้วถ้ามีคนบอกว่ามูยองทำบางอย่างไม่ได้เขาจะพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิม
อุกกาบาตเริ่มตกลงมาสร้างความเสียหายให้แก่ทั้งสองฝ่ายในพื้นที่ที่ถูกเรียกว่า ‘เขตแดนเดียโบล’ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญและเดียโบลสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
‘ปีกของกาเบรียล’ ขนนก 7,777 เส้นบินตัดอากาศอย่างรวดเร็ว
ตูม! ตูม! ตูม!
มูยองยิงขนนกปะทะเข้ากับอุกกาบาตที่กำลังตกลงมา นี่คือการต่อสู้ของความเร็ว และดูเหมือนมูยองจะทำได้ดีกว่า ขณะนี้อุกกาบาตเริ่มถูกทำลายไปทีละลูก
ปัง!
มูยองเหวี่ยงความโกรธเกรี้ยวเข้าปะทะกับอุกกาบาตลูกหนึ่งและทำลายมันทันที เขายังเดินหน้าทำลายต่อไปด้วยการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยที่สุดจนอุกกาบาตแตกกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ภาพที่มูยองทำลายอุกกาบาตหลายสิบลูกภายในไม่กี่วินาทีกลายเป็นภาพเบลอๆสำหรับผู้ที่มองเห็นมัน
ก๊าซ!!!
เดียโบลเริ่มแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวอีกครั้ง เนื่องจากสิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามที่มันต้องการ
‘ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย’
อย่างไรก็ตามการรักษาจังหวะการต่อสู้เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งสำหรับมูยอง เนื่องจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ทำให้ร่างกายของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“ ทักษะการเคลื่อนไหวแบบนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเคยมีอะไรบางอย่างกับคิงสเลเยอร์ และอัลพอลลิน่าแล้วสินะ”
โซโลมอนพูดจายั่วมูยอง และถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ห่างไกลแต่น้ำเสียงของเขาก็ฟังเหมือนก้องอยู่ในรูหู โดยที่มูยองยังคงสงบลงและพูดกับโซโลมอน
“ ผมอีกคำถามหนึ่งที่จะถาม คุณเป็นโซโลมอนตัวจริงหรือเปล่า?”
ก่อนหน้านี้เขาถามไปแล้วหนึ่งข้อ อย่างไรก็ตามมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบ ครั้งนี้โซโลมอนตอบสนองด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง
“ เจ้ากำลังจะพูดอะไร?”
มูยองเงียบ
เขาจำตอนที่ออกตามหาอาร์คโนวาได้ ข้อมูลที่เขาได้รับต่างแจ้งว่าโซโลมอนเป็นผู้ทิ้งอาร์คโนวาไป ทุกคนที่ไปเยี่ยมชมสถานที่นั้นต่างก็บอกเหมือนกัน อย่างไรก็ตามตอนนี้โซโลมอนกลับบอกว่ามูยองขโมยมัน
มีบางอย่างไม่ตรงกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องค้นหาความจริง
‘มีข้อมูลบางอย่างหายไป หรือไม่มันก็เป็นเรื่องโกหก ‘
กล่าวกันว่าโซโลมอนอยู่ภายใต้อิทธิพลของเลเมเกทัล ความทรงจำของเขาอาจเสียหาย ถ้าไม่อย่างนั้น…มีความเป็นไปได้ว่าเขาไม่ใช่โซโลมอนตัวจริง อย่างไรก็ตามโซโลมอนก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
‘เขายังบอกว่าฉันมีเทวทูตแห่งกาลเวลา’
อัลพอลลิน่า คือชื่อจริงของทูตสวรรค์แห่งกาลเวลา สิ่งที่มูยองรู้คือทูตสวรรค์แห่งกาลเวลาถูกบาอัลลักพาตัวไป แต่โซโลมอนยืนยันว่ามูยองกำลังครอบครองมันอยู่
‘มันเกี่ยวข้องกับการย้อนเวลากลับไป’
ความคิดนั้นเป็นเพียงสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตามหากมูยองและเทวทูตแห่งกาลเวลามีความเกี่ยวข้องกันจริงก็จะเป็นการยืนยันว่าพวกเขากลับมาจากอดีต มูยองคงไม่ย้อนเวลามาโดยไม่มีเหตุผล ถึงกระนั้นก็น่าแปลกที่มีเพียงมูยองเท่านั้นที่ได้รับสิทธิพิเศษนี้
ยังไงก็ตามดูเหมือนว่าโซโลมอนต้องการมูยอง ถ้าเขาเอาตัวมูยองไปไม่ได้ทุกอย่างก็จะไร้ผล นอกจากนี้โซโลมอนยังขาดอีกหลายสิ่ง และโซโลมอนไม่สามารถแบ่งพลังของเดียโบลได้
‘ถ้าเดียโบลแพ้โซโลมอนก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป’
นั่นคือข้อสรุปที่มูยองคิด
มูยองเริ่มใจเย็นขึ้น
เดียโบล
ถ้าเขาเอาชนะเทพปีศาจเพลิงตนนี้ได้โซโลมอนก็จะไร้อำนาจ แต่โซโลมอนต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่มิฉะนั้นเขาจะไม่ปรากฏตัวที่นี่
สถานที่แห่งนี้คืออาร์มาเกดอน – สถานที่ที่เหล่าเทพปีศาจมารวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับเดียโบล มันทั้งปราศจากความหวังและความตายที่แน่นอน มันคือจุดยืนสุดท้ายของพวกเขา และมูยองก็อยู่ที่นั่นด้วย
‘สู้กับภัยพิบัติงั้นเหรอ ชักจะชอบซะแล้วสิ’
มูยองยิ้ม
มูยองทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ นั่นเป็นความสามารถของเขา อย่างไรก็ตามคราวนี้ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าการก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงต้องเคลียร์เส้นทางของตัวเองก่อน ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้มูยองได้รู้หลายสิ่งหลายอย่าง
โซโลมอนทำลายโลกและมนุษยชาติ
มนุษย์บางคนที่รอดชีวิตกลายเป็นเทพปีศาจ
บาอัลขโมยเลเมเกทัล และทูตสวรรค์ไปจากโซโลมอน
บาอัลใช้เลเมเกทัลสร้างเทพปีศาจ 71 ตนจากมนุษย์ที่เหลืออยู่ และโซโลมอนก็พยายามกันไม่ให้บาอัลใช้งานเทพปีศาจเหล่านั้นได้อย่างสะดวก
บาอัลพยายามทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดยกเว้นปีศาจ ส่วนโซโลมอนต้องการทำลายทุกสิ่ง
การปรากฏตัวของเดียโบลทำให้บาอัลเดือดร้อน และโซโลมอนพยายามหาประโยชน์จากสิ่งนี้
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามคำถามบางอย่างยังคงอยู่ คำถามที่ใหญ่ที่สุดคือทำไมบาอัลถึงต้องการทำลายทุกเผ่าพันธุ์ยกเว้นปีศาจ แต่ในทางเทคนิคแล้วบาอัลกับโซโลมอนต่างก็ต้องการสิ่งเดียวกัน
ปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบาอัลและเทพปีศาจ บาอัลต้องการให้พวกพ้องของมันครองโลก และนั่นไม่ใช่เรื่องดี สำหรับมูยองไม่ว่าจะโซโลมอนหรือบาอัลต่างถือเป็นสิ่งชั่วร้าย
‘เพราะไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะมนุษยชาติก็จะถูกทำลาย’
ที่ผ่านมาบาอัลกระทำการอย่างรวดเร็ว เผ่าพันธุ์มนุษย์สูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับรูปแบบชีวิตอื่นๆ หากคุณลองคิดดูเป้าหมายของโซโลมอนอาจดูง่ายกว่า แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าใครจะชนะมนุษยชาติก็ยังคงถูกทำลาย
แต่…บางที อาจมีความเป็นไปได้ที่บางอย่างจะเปลี่ยนแปลง
และการเปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า มูยอง
ตอนนี้มูยองมีอัลพอลลิน่าและอาร์คโนว่าที่เคยเป็นของบาอัล
มูยองคือทางเดินเส้นที่สาม – เส้นทางที่ไม่มีใครก้าวเดิน
‘ฉันจะกำจัดทั้งสองคนทิ้ง’
เขากระหายที่จะกำจัดทั้งโซโลมอนและบาอัล ก่อนจะคืนความสงบสุขให้กับโลก ถ้าเขาไม่สามารถทำลายพวกมันได้มูยองก็พร้อมที่จะเผาโลกนี้ไปพร้อมๆกับเหล่าปีศาจ ไม่จำเป็นต้องมีเผ่าพันธุ์ใหม่ใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น
เผ่าพันธุ์ทั้งหมดควรถูกสร้างขึ้นโดยการคัดเลือกจากธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยพลังของใครคนหนึ่ง! ทุกสิ่งจะกลับคืนสู่ธรรมชาติโลกเมื่อความสงบสุขกลับคืนมา
‘ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา’
ทำลายความบกพร่องทั้งหมดเพื่อโลกที่สมบูรณ์แบบ? มันก็เหมือนกับการทำลายความเป็นไปได้ต่างๆที่สามารถเกิดขึ้นได้ และแม้แต่มูยองก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบแม้แต่โซโลมอน และความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือความล้มเหลวที่จะยอมรับมัน
ฟูมมมม!
เปลวเพลิงขนาดใหญ่ลุกโชนขึ้นรอบๆเดียโบล อาม่อนกำลังต่อสู้กับเดียโบลอย่างดุเดือด และทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ทันทีที่พลังของอาม่อนแห้งเหือดลงเขาจะไม่สามารถรับมือกับเดียโบลได้อีก
มูยองเตรียมการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว
จุดประสงค์นั้นชัดเจนมาก มูยองตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเหมือนตอนแรกและเชื่อมั่นในตัวเอง ในแผนของเขามีเพียงโซโลมอนเท่านั้นที่เป็นส่วนเสริมเข้ามาใหม่
ผึ่งงง!
ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวสั่นสะท้านด้วยความกระหาย
‘ความละโมบ’
ความโกรธเกรี้ยวมีพลังแห่งความละโมบอยู่ อย่างไรก็ตามมันเป็นนักกินที่พิถีพิถัน มันจะกลืนกินอาวุธที่มีพลังเท่ากันหรือเหนือกว่ามันเท่านั้น และที่มันกำลังกรีดร้องก็เพราะตอนนี้มีอาหารอยู่ตรงหน้า
แม้ตอนนั้นหอกกาเบรียลที่อยู่ในมือของมูยองจะส่องสว่างซักเพียงใด ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวก็ยังไม่สนใจ แต่หลังจากมูยองสามารถแยกพลังของลูซิเฟอร์และกาเบรียลออกจากกันได้สำเร็จเขาก็ได้รับพลังที่เหนือกว่าเดิม
ยามนั้นเมื่อเขามองไปที่ความโกรธเกรี้ยวก็ได้ยินความปรารถนาของมัน มันกำลังรอการอนุญาตจากมูยอง และมูยองไฟเขียวให้กับความโกรธเกรี้ยว
“กินมันซะ!”
ฟูม! ฟูม!
กร๊วบ! กร๊วบ!
<ความโกรธเกรี้ยวถูกกระตุ้น>
<ความโกรธเกรี้ยวได้กลืนกินหอกของกาเบรียล>
<ความโกรธเกรี้ยวกลืนกินสำเร็จแล้ว>
ชื่อ: ความโกรธเกรี้ยว
อันดับ: EX
ประเภท: อาวุธ
เอฟเฟค : ความโกรธเกรี้ยวของโลกทั้งใบ ดาบที่สามารถสังหารความหลอกลวง ความสามารถทั้งหมดเพิ่ม 20% มีความสามารถในการขโมยเลือดจากคู่ต่อสู้และฟื้นฟูความแข็งแกร่งของผู้ใช้
ความละโมบ : กลืนกินอาวุธระดับสูงเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น
การโจมตีด้วยอาวุธ: ธาตุสายฟ้า (S +++) โจมตีด้วยสายฟ้าที่ทรงพลัง
พลังเทวะ (S +++ พลังในการตัดความชั่วร้าย)
พละกำลัง +100
การรับรู้ +100
ความฉลาด +100
พลังเทวะ +200
ความสามารถทั้งหมด +100
ความโกรธเกรี้ยวได้พัฒนาขึ้นจากตอนแรกที่มันเป็นเพียงอาวุธธรรมดา แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็พัฒนาขึ้นจนไปใกล้ขีดสูงสุด
ด้ามดาบถูกตกแต่งด้วยขนนกกาเบรียลและคมมีดที่ส่องประกาย ยังไงก็ตามไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางรูปลักษณ์เท่านั้น มูยองสามารถบอกได้ทันทีว่าการวิวัฒนาการครั้งนี้เป็นวิวัฒนาการตามตัวตนที่แท้จริงของมูยองเอง
เรื่องราวของความโกรธเกรี้ยวก็ถูกรับฟัง ตอนนี้มูยองรู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไรและต้องการอะไร ทำให้ความโกรธเกรี้ยวรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของมูยอง
ในที่สุดความโกรธเกรี้ยว และมูยองก็เป็นหนึ่งเดียวกัน