The King of the Battlefield - ตอนที่ 290-291
บทที่ 290-291 : ราชันย์สมรภูมิรบ
มันเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สามารถสั่นสะเทือนโลกใบนี้ แรงพัดกระเพื่อมของสงครามระหว่างเทพปีศาจก่อให้เกิดรอยแตกบนพื้นผิวโลกจนลาวาไหลหลากออกมาเกิดเป็นเขม่าดําอยู่ทั่วพื้นที่ เบซองมินรู้สึกได้ถึงความรุนแรงมากกว่าใครๆ
“ เรามาช้าไปหรือเปล่า”
บุตรแห่งดวงจันทร์พูด มูยองต้องพบกับโซโลมอนแล้วแน่ๆเพราะไม่งั้นโลกคงไม่สั่นคลอนได้ขนาดนี้
“ ยังไม่สายเกินไป”
เบซองมินส่ายหัวในขณะที่ยังคงปลอมตัวเป็นเมอร์ลิน ยังไงก็ตามบุตรแห่งดวงจันทร์และราชามังกรรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่แล้ว นั่นคือเหตุผลที่เบซองมินสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้อย่างอิสระ ด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับมูยอง ดังนั้นเบซองมินจึงรู้ว่ามูยองยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกเจ็บๆที่หัวใจเมื่อเข้าใกล้สมรภูมิรบดังกล่าวซึ่งมันเป็นอาการที่แปลก
“เทพปีศาจทุกคนไปที่นั่นอย่างเร่งรีบ เราเองก็ต้องไปด้วย
พวกเขาต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนในการกําจัดเทพปีศาจสองตัว อย่างไรก็ตามเทพปีศาจอื่นๆกลับสามารถระดมพลได้ในทันที
ตอนแรกเบซองมินคิดว่าพวกมันจะมุ่งเป้ามาที่พวกเขาเพื่อแก้แค้น แต่พวกมันรีบเคลื่อนพลไปยังสนามรบแห่งนี้ต่างหาก
สนามรบตรงหน้ามีความโกลาหลเป็นอย่างมาก แม้พวกเขาจะเข้ามาใกล้สุดขอบ แต่ก็มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากมีพายุสีดําขนาดใหญ่และรุนแรงบดบังอยู่
“เราต้องเข้าไปข้างใน
ราชาแห่งมังกรพูดก่อนที่เขาจะขยับร่างกายอันใหญ่โตขึ้นเพื่อควบคุมสายลม จนในที่สุดเบซองมินก็สามารถมองเห็นสนามรบได้ด้วยตาของเขาเอง
ท่ามกลางเสียงตะโกนกรีดร้องและคร่ําครวญเบซองมินก็ได้เห็นนรก เขาไม่สามารถนับจํานวนผู้ที่อยู่ในการต่อสู้ได้ และทุกคนต่างสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างมิตรและศัตรูได้ อย่างไรก็ตามเบซองมินจ้องไปที่จุดหนึ่ง
ทําไมเด็กคนนั้นถึงอยู่ที่นั่น??
เบซูจียืนอยู่ในจุดที่เบซองมินจ้องมอง เธอกําลังกําจัดศัตรูอย่างเด็ดเดี่ยวในขณะที่ร่างกายเปล่งประกายสว่างไสว
สายเลือดแห่งแสง! อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่ทั้งหมด ซองมินเห็นว่าเบซูจีกําลังแชร์พลังจากมูยองอยู่ เธอเคยทํามาแล้วตอนเผชิญหน้ากับเอนโรธ แต่ตอนนี้จํานวนพลังมันแข็งแกร่งกว่าตอนนั้นมาก
“ เราต้องโจมตีใคร?”
“ มีแต่เผ่าปีศาจเต็มไปหมด!”
“ นี่เราต้องโจมตีพวกมันทั้งหมดเลยหรือเปล่า?”
พันธมิตรฝ่ายมนุษย์ต่างหวาดหวั่นและสิ้นหวัง เพราะจํานวนปีศาจที่เห็นไม่อาจจินตนาการได้ และไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ล้วนแต่เป็นเผ่าปีศาจทําให้ไม่อาจโจมตีได้ถูก ไม่มีใครเคลื่อนไหวใดๆ เพราะพวกเขากลัวจะไปโจมตีโดนฝ่ายตัวเองเข้า
ปีศาจที่ไม่มีบาเรียป้องกันคือศัตรูของเรา!”
บุตรแห่งดวงจันทร์ตะโกนขึ้น และพวกเขาก็เห็นปีศาจบางตัวซึ่งถูกป้องกันด้วยบาเรียที่เกรโมรี่สร้างขึ้น แน่นอนว่าไม่มีเทพปีศาจตนไหนทําแบบนี้ได้ พอทราบดังนั้นทุกคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ทันที อย่างไรก็ตามเบซองมินยังคงจับจ้องไปที่เบซูจี
เบซูจีที่กําลังกัดฟันแน่นกลั้นเสียงกรีดร้องตอนเพลี่ยงพล้ําโดนกรงเล็บของปีศาจ
“เราต้องชนะ!”
เธอฟาดหมัดใส่ปีศาจตัวนั้นจนใบหน้าของมันหายไปพร้อมกับสายลม จากนั้นเบซูจีก็เดินหน้าสู้ต่อไป
“นี่ฉันสู้มากี่วันแล้วเนี่ย?”
เธอตื่นขึ้นมากลางสนามรบและได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นจากภูติน้อยวูฮี หลังจากทบทวนทุกสิ่งแล้ว เธอก็ตัดสินใจเข้าร่วมการต่อสู้
“นี่คือพลังของเขา”
ความแข็งแกร่งของมูยองรองรับเจตจํานงของเบซูจีและมันแข็งแกร่งกว่าที่เคย นั่นหมายความว่ามูยองยังอยู่ใกล้ๆและยังไม่หายไปไหน เบซูจีจึงต้องสู้และเธอไม่สามารถล้มลงได้ แต่ปัญหาคือมีศัตรูมากเกินไป
“ฉันต้องสู้เพื่อเขา!”
เบซูจีรู้สึกได้ถึงความยากลําบากที่มูยองกําลังทุกข์ทรมานอยู่ในตอนนี้จากการแบ่งบันพลังของเขา ความเหงาและความสิ้นหวังที่เธอรู้สึกได้จากเขาทําให้เบซูจีอยากต่อสู้เพื่อมูยอง เขาช่วยเธอมาหลายครั้งแล้วและตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องตอบแทน
“เจ้านี่ช่างเป็นมนุษย์ที่อวดดีเสียจริง!”
เทพปีศาจลําดับที่ 28 เบริธ! เริ่มได้เปรียบเบซูจี
“ไอ้นี่มันตัวอันตราย”
เบซูจีไม่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปีศาจได้ไม่ว่าเธอจะแบ่งปันพลังกับมูยองมากแค่ไหน อย่างไรก็ตามเธอต้องทําต่อไป ปัญหาคือตอนนี้ทุกคนเหนื่อยล้าและจํานวนพันธมิตรของเธอลดลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ได้กองกําลังของอาม่อนพวกเขาคงตายหมดแล้ว อาม่อนกําลังซื้อเวลาโดยใช้เวทมนตร์ป้องกันและยังกําจัดสี่เทพปีศาจให้อีก
“ฉันทําได้
เงื่อนไขดับสูญของเหล่าปีศาจไม่จําเป็นแล้วหลังจากที่บาอัลหายตัวไป พวกมันจะตายเมื่อถูกสังหารเหมือนเผ่าพันธุ์อื่นๆ เบซูจีจึงคิดว่าเธอเองก็น่าจะสังหารพวกมันได้
เบซูจีสบถบ่นในใจเพราะเทพปีศาจตนนี้ทั้งรวดเร็วและแข็งแกร่ง การโจมตีล่าสุดเป็นการโจมตีที่เธอควรหลีกเลี่ยง เธออ่อนล้าลงมากจากการต่อสู้ และนั่นทําให้พลังของเธอเดือดแห้งไป
“ฉันต้องสู้ต่อ…”
เบซูจียืนขึ้นอย่างทุลักทุเลในขณะที่เบริฐยิงกระสุนโลหะขนาดใหญ่เข้ามา เบซูจีสามารถรับมันได้แต่นั่นทําให้กระดูกแขนทั้งสองข้างของเธอหัก
“รับชะตากรรมไปซะ เจ้าแพ้แล้ว!”
“หุบปาก!”
เบริฐยังคงสาดกระสุนโลหะใส่เธออย่างต่อเนื่องจนเธอไม่มีเวลาพักหายใจ ตอนนี้ร่างกายของเบซูจีถึงขีดจํากัด
“ฉันต้องสู้ต่อ
เบซูจีหลับตาลง ร่างกายของเธอแทบแตกสลาย ทั้งๆที่นี้เป็นโอกาสที่เธอจะได้พบกับมูยองและรู้ความจริง เธออยากรู้ว่าเขาซ่อนอะไรอยู่ และถามว่าทําไมพวกเขาถึงต้องแยกจากกัน
“ เธอจะยอมแพ้แบบนี้เหรอ”
เบซูจีได้ยินเสียง แต่เธอไม่มีแรงพอจะลืมตามอง
” คุณคือ…”
เขาไม่ได้ตอบ แต่ยกไม้เท้าขึ้นมากันกระสุนโลหะของเบริ
เบยูจีพยายามยืนขึ้นอย่างลําบาก
“ใคร ใครบอกว่าฉันจะยอมแพ้”
“ ทําไมฉันถึงรู้สึกถึงบางอย่างจากคุณ”
เบซองมินหันไปด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและดูเหมือนพวกเขาจะคร่ําครวญถึงบางสิ่งที่หายไป 1
เบซูจียังคงถามคําถามต่อไป
“ ทําไมละสายตาจากคุณไม่ได้”
เบซองมินพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบอีกครั้ง จริงๆเขาต้องการเปิดเผยว่าตนเองเป็นพ่อของเธอ แต่ร่างอันเดธของเขาได้สร้างเส้นแบ่งการใช้ชีวิตระหว่างทั้งสองเอาไว้ เขาเป็นคนตายไปแล้วและเบซูจียังมีชีวิตอยู่ พวกเขาอยู่ในโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ ถ้าคุณหรือพี่มูยองไม่ยอมพูด ฉันจะไปหาคําตอบมาเองไม่ว่าจะต้องทํายังไง!”
ความมุ่งมั่นของเบซูจีกลับมาเหมือนเดิมขณะที่เอ่ยทุกคําออกมาด้วยความจริงใจ
เบซองมินยังคงเงียบขณะที่บีบไม้เท้าของเขาแน่น
“เธอโตขึ้นมาก”
เมื่อพ่อแม่หันกลับมาจากการทําอะไรบางอย่างจะเห็นว่าเด็กเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอ เบซูจีเป็นเด็กที่มีความพิเศษ เบซองมินจึงรู้สึกภาคภูมิใจและเศร้าในเวลาเดียวกัน เบซูจีเติบโตขึ้นจนกลายเป็นผู้หญิงที่น่าชื่นชม แต่เขาไม่สามารถอยู่กับเธอได้ในการเดินทางที่ผ่านมา
เธอคงไม่ยอมออกจากสมรภูมิจนกว่าสงครามครั้งนี้จะสิ้นสุด และเขาไม่สามารถหยุดเธอได้ ดังนั้นพวกเขาต้องชนะเท่านั้น เบซองมินยกไม้เท้าขึ้นเพื่อเปิดประตูมิติอัญเชิญมอนสเตอร์ออกมา ร่วมการต่อสู้
“ เจ้าเห็นไหม?”
มูยองเงยหน้าขึ้นมองอาร์คพอลลิน่าขณะที่เธอพูด
“ มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันต่อสู้เพื่อเจ้า ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงแล้ว”
“ ความปรารถนาของผม?”
“ เจ้าบอกข้าว่าไม่อยากอยู่ลําพังอีกต่อไป”
“ ผมพูดแบบนั้นกับคุณงั้นเหรอ?”
มูยองไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาพูดแบบนั้นออกไป
อาร์คพอลลิน่าพยักหน้า
“ เจ้าต้องการทําสิ่งที่มีความหมาย เจ้าอยากเอาชนะชีวิต ความตาย และทุกสิ่งที่อยู่ระหว่างนั้น”
“ ผมจําอะไรไม่ได้เลย
“ แน่ใจนะว่าเจ้าลืม? เจ้าไม่เคยลืมพวกมันมาก่อน”
อาร์คพอลลิน่ายิ้ม เวลาของพวกเขาหยุดลง และมูยองก็จ้องมองเวลาที่ผ่านมา
“ ถึงผมยังจําได้ แต่จะมีอะไรเปลี่ยนล่ะ?”
“ ไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่เจ้าไม่ได้อยู่เพียงลําพังอีกต่อไป นั่นคือสิ่งที่เจ้าทําได้แล้ว แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ”
“ตอนนี้พลังของโซโลมอนกําลังกลืนกินตัวตนของผม ยังไงผมก็ทําได้แค่เฝ้ามองเท่านั้น”
พลังเทวะของมูยองและโซโลมอนกําลังปะทะและหลอมรวมเข้าด้วยกัน มูยองรู้โดยสัญชาตญาณว่าเขาจะหายไปหลังจากกระบวนการนี้เสร็จสิ้น
“เจ้าจะยอมแพ้ใหม?”
“ ไม่ แต่ผมทําอะไรไม่ได้แล้ว”
“ เจ้าไม่ใช่คนที่จะยอมเดินตามทางเดินของใครนี้”
“ คุณพูดราวกับรู้จักผม”
“ ข้าเฝ้ามองเจ้ามานาน และนั่นทําให้ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ากําลังสับสน”
“ ผมคิดว่าผมมาจนสุดทางแล้ว และผมก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดตั้งแต่แรก”
“เป็นอย่างนั้นจริงหรือ? รู้ไหมว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ารวบรวมมามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความตั้งใจของบาอัล แต่เป็นเพราะความปรารถนาของเจ้า”
มูยองมองออกไปข้างนอก เขาเห็นทาร์แคน เบซองมิน คริมสันบาร็อค จิ้งจอกเก้าหาง เบซูจี และตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งหมดที่ต่อสู้อยู่ แม้จะเสียเปรียบเรื่องจํานวน
ทุกคนมารวมตัวกันเพราะเจตจํานงของมูยอง ไม่ว่าจะเป็นเกรโมรี่หรืออาม่อน ล้วนเป็นผู้ที่ถูกมูยองกระตุ้นและตอนนี้ทุกคนกําลังจะตาย ผลลัพธ์นั้นจะไม่เปลี่ยนหากเขาไม่ทําอะไรสักอย่าง
“ แล้วผมจะทําอะไรได้ พอเวลาหมดผมก็จบเหมือนกัน”
อาร์คพอลลิน่ายิ้ม
“ยังมีสิ่งที่เจ้าทําได้ แค่ตัวเจ้า อาร์คโนวา และข้าเท่านั้นที่ถูกบาอัลควบคุม นอกเหนือจากนั้นเจ้าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเอง พวกมันจะยังคงทํางานให้เจ้าแม้ทุกอย่างจะจบลง”
เธอกําลังบอกให้มูยองทําในสิ่งที่ทําได้ และเมื่อมูยองครุ่นคิดก็มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
“ดาบของฉัน มันเป็นอาวุธที่มีแต่เฉพาะมูยองเท่านั้น ดาบที่ไม่ได้อยู่ในแผนการของบาอัล และวิชาที่ประกอบไปด้วยการโจมตี 51 ครั้ง ทว่ามันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ยังไงก็ตามร่างกายของเขาไม่จําเป็นต้องเคลื่อนไหวอะไร ตอนนี้เพียงแค่ต้องยอมรับตาบของตนเองเท่านั้นและ เริ่มสร้างมันขึ้นมาใหม่
มูยองเดินเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจตัวเอง เขาชะลอการไหลเวียนของเวลาลง 128 เท่า มูยองครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่าและมุ่งความสนใจไปที่ตาบของตัวเอง
“ฉันต้องการสร้างทางเดินแบบไหนนะ”
นั่นเป็นความคิดของเขาที่เกิดขึ้นท่ามกลางเส้นทางของโซโลมอนและบาอัล แต่สุดท้ายเขาต้องตัดสินใจ เพราะเขาจะเดินไปข้างหน้าได้ก็ต่อเมื่อมีจุดหมายปลายทาง
“ฉันต้องการสร้างทางเดินแบบไหนกันนะ”
อะไรที่ทําให้มูยองต้องดิ้นรนจนกระทั่งตอนนี้วูฮีจําได้ว่าเขาต้องการแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต และตอนนั้นเองเขาก็ตระหนักถึงพลังของอาร์คโนว่า! มันมีพลังที่สามารถทําให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ และเป็นพลังที่สามารถใช้ได้กับคนที่เชื่อในปาฏิหาริย์เท่านั้น มูยองตัดสินใจประสานพลังนั้นลงบนดาบของเขา เขาต้องการสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
“หากมีแต่เทพเจ้าที่ทํามันได้ ฉันก็จะกลายเป็นเทพเจ้า”
ในที่สุดมูยองก็พบความมุ่งมั่นที่จะทําเช่นนั้น และตอนนี้เขาพร้อมทุ่มเททุกอย่างเพื่อเป้าหมายของตัวเองมากกว่าที่เคยทํามา
มูยองผสานวิชาดาบของเขาเข้าด้วยกัน จากเพลงดาบสังหารปีศาจ” ที่เป็นการโจมตีห้าสิบครั้ง เขาได้บีบอัดมันลง และทําให้มันกลายเป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขารวมพลังแห่งปาฏิหาริย์หลายสิบรอบเข้าในวิชาตาบของเขาก่อนจะเริ่มร่ายรําดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวท่ามกลางเวลาที่ชะลอตัวลง และจากนั้นพลังเทวะของโซโลมอนก็ตอบสนอง! มันเริ่มกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว
คุณได้รับพลัง “เทพแห่งดาบ” และกลายเป็น “เทพจิตวิญญาณแห่งดาบ ‘>
<คุณได้รับคลาสลอร์ด ทูตสวรรค์แห่งกาลเวลา>
<ฉายา เอฟเฟกต์ และคลาสทั้งหมดจะรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างคลาสใหม่>
<คลาสนิรันตร์ “ราชันย์สมรภูมิรบ เสร็จสมบูรณ์แล้ว มูยองยืนและลืมตาขึ้นหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ในเวลาเดียวกันปีกสีดําและขาวข้างละหกปีกก็สยายขึ้นเพื่อเริ่มการไหลของเวลาอีกครั้ง ร่างของไฮซินท์สั่นสะท้านเพราะเธอรู้ว่าเขาคือราชาที่เธอตามหาและรอคอยอย่างสิ้นหวัง เขามีปีกที่สง่างามทั้งสิบสองสยายกว้างอยู่เบื้องหลังใบหน้าอันเย็นชา เขาเป็นยิ่งกว่าที่เธอจินตนาการเสียอีก ไฮซินท์รู้สึกหวาดกลัวทันทีแค่เพียงมองไปยังเขาทั้งๆที่เธอมีพลังในการล่อลวง แต่ตอนนี้ เหมือนเธอจะถูกเล่นงานเสียเอง ไฮซินท์รู้สึกว่าเธอสามารถทําได้ทุกอย่างเพียงแค่เขาบอกเธอ เธอให้คํามั่นอีกครั้งว่าจะติดตามมูยองเท่านั้น “ราชาของฉัน” ไฮซินท์คุกเข่ากลางสนามรบ จากนั้นก็ปรากฏออร่าสีฟ้ารอบตัวเธอ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ เธอได้ราวกับเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ คริมสันบาร็อคล้มลงพร้อมส่งเสียงร้อง แม้จะมีความอึดถึกทนแต่ก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อพลังโจมตีของเทพปีศาจนับสิบได้ แม้เกรโมรี่จะคอยช่วยอยู่แต่เธอก็ถึงขีดจํากัดแล้วเธอเช่นกัน ในด้านของตัวตนเหนือธรรมชาติที่ถึงจะมาพร้อมกับกองกําลังเสริมหลายล้านคนที่ยังไม่ไหว เพราะศัตรูที่แข็งแกร่งมีมากเกินไปและจริงๆมันก็เหมือนเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะตั้งแต่แรก เกรโมรี่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายของเธอไปหมดแล้วและสุดท้ายต้องคุกเข่าต่อหน้ากองกําลังขนาดใหญ่ของศัตรู ท่ามกลางความพ่ายแพ้พวกเขาต้องการแสงแห่งความหวังเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ดังกล่าว “โอกาส” เกรโมรี่หันหน้าไปยังทิศทางที่มูยอง บาอัล และโซโลมอนหายตัวไป อย่างไรก็ตามมันไม่มีประโยชน์เพราะแม้แต่มูยองก็คงไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์นี้ได้ เขาอาจจะดังเป็นสายลม แต่ไม่ใช่พายุที่สามารถพัดพาทุกสิ่ง ทว่าจู่ๆหลังจากคิดแบบนั้นเธอก็ได้ยินเสียงบินของปีก “เจ้ารู้แจ้งในขณะที่เวลาหยุดลงงั้นหรือ? แต่ยังไงซะเจ้าก็เป็นเพียงภาชนะ เจ้าทําอะไรไม่ได้หรอก!” เกรโมรียังได้ยินเสียงของบาอัล พวกเขาปรากฏตัวอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีโซโลมอน เธอเห็นเพียงมูยองและบาอัลเท่านั้น “ พี่มูยอง!” “ ที่รัก!” เบซูจีและวูฮีตะโกนขึ้นเป็นคนแรกๆ ในขณะที่เกรโมรี่ค่อยๆเดินตรงไปอย่างเงียบๆเพราะมูยองที่ปรากฏตัวในครั้งนี้เปลี่ยนไป เขามีทั้งปีกแห่งแสงและปีกแห่งความมืดรวมกัน สิบสองปีก มูยองยกดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวขึ้นด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า จากนั้นพลังสีดําก็ไหลปกคลุมไปทั่วผืนดินสุดลูกหูลูกตา ปีศาจของบาอัลหายวับไปเมื่อปะทะเข้ากับพลังจากดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว นั่นหมายความว่าปีศาจหลายแสนตัวของฝั่งบาอัลหายไปในทันทีด้วยการแกว่งดาบเพียงครั้งเดียวของมูยอง “ เจ้าดูดซับพลังเทวะของโซโลมอนงั้นหรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้ ภาชนะไม่น่าช่วงชิงความศักดิ์สิทธิ์มาเป็นของตัวเองได้” บาอัลพูดด้วยความไม่เชื่อ “ ทางเดินของฉัน ฉันจะเป็นคนกําหนดมันเอง”มูยองพูด เขาได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าพลังเทวะของโซโลมอน เขาสร้างดาบของเขาจนเสร็จสิ้นและ ตกผลึกเป้าหมายของตนเอง มูยองมีทั้งพลังแห่งปาฏิหาริย์และพลังแห่งกาลเวลา และชื่อของมันจึงไม่ใช่เรื่องสําคัญอีกต่อไป “ เห็นที่ข้าจะต้องใช้กําลังซะแล้ว” บาอัลเปลี่ยนร่างเป็นบางอย่างคล้ายเดียโบล อย่างไรก็ตามมันมีขนาดใหญ่และมีจํานวนเขามากกว่า “ ข้าจะดูดกลืนพลังเทวะทั้งหมดของเจ้าแล้วกลายเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบ ข้าจะปกครองทุกมิติในฐานะเทพเจ้าผู้มีพลังขั้นสูงสุด!” ในขณะที่บาอัลพุ่งมาข้างหน้า มูยองก็เรียกใช้ทักษะเร่งความเร็วเช่นกัน เวลาเริ่มไหลเร็วขึ้น 256 เท่า มูยองได้ก้าวข้ามพื้นที่ที่คิงสเลเยอร์ไปไม่ถึงได้แล้ว ในที่สุดมูยองก็ทําความฝันของคิงสเลเยอร์ได้สําเร็จ “ ฉันคือตัวแทนแห่งความเป็นไปได้ทั้งหมด” มูยองแตกต่างจากโซโลมอนหรือบาอัลเพราะเขาเปิดรับโอกาสทั้งหมด การที่เขากลายเป็นราชาแห่งสมภูมิรบได้ก็เพราะพวกมัน ไม่มีใครสามารถเอาชนะมูยองที่นี้ได้แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นเทพเจ้าก็ตาม หลังจากการปะทะกันแขนข้างหนึ่งของบาอัลก็ร่วงลงบนพื้น ความโกรธเกรี้ยวกวัดแกว่งได้อย่างอิสรเสรี เพียงครู่เดียวบาอัลก็รู้สึกว่าร่างกายของคนขาดออกจากกันอย่างช้าๆ เขาถูกขังอยู่ในกาลเวลา 256 เท่าของมูยอง “ นี้ มัน เป็น ไป ไม่ ได้ “ “ แกพูดช้าเกินไปแล้ว” พอมูยองหยุดการเร่งความเร็ว ร่างกายของบาอัลก็พังลงในทันทีนั้น แม้ชิ้นส่วนของบาอัลจะพยายามรวมตัวกันแต่ก็ไม่สามารถกู้คืนรูปแบบเดิมได้ บาอัลกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อขนาดใหญ่และน่าเกลียดเพราะดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวสามารถสร้างคําสาปที่ทรงพลังแก่ศัตรูของมัน “ เจ้าคิดว่าจะกลายเป็นแสงสว่างแห่งความหวังให้แก่พวกมันได้งั้นหรือ? ไม่มีผู้ใดรอดไปได้ทั้งนั้นเพราะโลกของพวกเจ้าถูกปนเปื้อนไปหมดแล้ว! มีเพียงปีศาจเท่านั้นที่สามารถอาศัยอยู่ที่นั่นได้” บาอัลพูดและมูยองพยักหน้า เขารู้จากความทรงจําทั้งหมดของดันดาเลี่ยนแล้ว มูยองเห็นโลกที่ถูกปนเปื้อนและล่มสลาย มันเป็นสถานที่ไม่เหมาะสําหรับสิ่งมีชีวิต และเทพปีศาจต่างเชื่อว่าบาอัลสามารถทําให้โลกบริสุทธิ์ได้ยังไงก็ตามมันไม่มีพลังแห่งปาฏิหาริย์ ดังนั้นโซโลมอนจึงสร้างเผ่าพันธุ์ปีศาจที่สามารถอยู่รอดได้ขึ้นมา โดยรวบรวมจุดแข็งของทุกเผ่าพันธุ์ นี่คือเหตุผลที่โซโลมอนพยายามสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามมูยองแตกต่างจากพวกเขา “ ฉันเชื่อว่าทุกคนจะปรับตัวได้” “ ศรัทธาไม่อาจแก้ปัญหา! เจ้าจะต้องเสียใจและหลั่งน้ําตาอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นทุกๆ คนตายต่อหน้า!” บาอัลทราบว่าตัวเองพ่ายแพ้ไปแล้วตอนที่ติดอยู่ในพันธนาการของเวลา เงื่อนไขการดับสูญ ของเทพปีศาจทั้งหมดใช้ไม่ได้กับตัวตนที่มีพลังเทวะสูงกว่ามันใบหน้าของมูยองเกรี้ยวกราดขึ้นก่อนจะเหวี่ยงดาบออกไป “ แกไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าฉันจะเสียใจตอนไหน” *** สงครามอันยาวนานสิ้นสุดลงด้วยการกําจัดบาอัลและเทพปีศาจทั้งหมดฝ่ายพันธมิตร ไพม่อนซึ่งเคยเป็นผู้เฝ้ามองไม่สามารถหลีกเลี่ยงคมดาบของมูยองได้ เขาเห็นการตายของคิงส์เลเยอร์ เห็นการตายของโซโลมอน และเห็นการตายของบาอัล เขาถูกมูยองขังไว้ในพันธนาการแห่งกาลเวลาชั่วนิรันดร์ มันเป็นจุดจบที่เหมาะสมสําหรับผู้เฝ้ามอง ยังไงก็ตามการหายไปของบาอัลทําให้แกนกลางที่รักษาโลกนี้พังทลายลง ในขณะที่โลกฝั่งนี้สั่นสะเทือนและเริ่มล่มสลาย มูยองก็กลายเป็นผู้นําทางให้แก่ทุกคน “ ข้ารอท่านอยู่” ใครคนหนึ่งออกมาต้อนรับเขาเมื่อมาถึงกําแพงของอารามสีคราม “ เมอร์ลิน” เขาเป็นเมอร์ลินตัวจริง เมื่อก่อนเขาเคยอยากรับมูยองเป็นศิษย์แค่ตอนนี้ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม “ เจ้านายของคุณตายไปแล้ว” “ ข้าก็แค่ต้องรับใช้เจ้านายคนใหม่เท่านั้น” เมอร์ลินมีความเห็นที่แตกต่างจากโซโลมอน และนั่นคือเหตุผลที่เขาสร้างกําแพงขึ้นและฝึกฝนผู้คน แม้หลายคนจะเสียชีวิตในกระบวนการนี้ แต่เมอร์ลินคิดว่าพวกเขาคงไปตายอยู่ในโลกปีศาจอยู่ดีหากไม่สามารถผ่านด่านของอารามสีครามไปได้ มูยองถามคําถาม “ คุณรู้เส้นทางกลับโลกไหม?” “ กระจกแห่งท้องฟ้าสามารถสร้างเส้นทางไปสู่โลกใบนั้นได้” บาอัลได้สร้างกระจกท้องฟ้า และดูเหมือนว่ามันจะเป็นถนนที่เชื่อมต่อระหว่างโลกกับโลกปีศาจ! มูยองรับทุกสิ่งของบาอัลมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเรือโนอาหรือกระจกท้องฟ้า และพวกมันเริ่มยอมรับมูยองตอนที่เขาได้รับพลังเทวะของโซโลมอน ผู้คนที่เดินทางมาต่างประหลาดใจที่เมอร์สินตัวจริงปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา และเมอร์ลินเอ่ยขึ้นด้วยความระมัดระวัง “ ถึงจะไปได้คนพวกนี้ก็ไม่รอดอยู่ดี เพราะโลกถูกปนเปื้อนจนไม่สามารถดํารงอยู่ได้” “ ไม่ต้องห่วงหรอก” มูยองยิ้มเพราะเขาเตรียมการไว้หมดแล้ว “ศิลปะแห่งความตาย” ทุกคนล้วนถูกสร้างขึ้นใหม่ และนั่นไม่ใช่ทั้งหมด มูยองมอบความเป็นไปได้ให้กับพวกเขาด้วย ซึ่งมันเป็นความสามารถสุดท้ายที่เดธลอร์ดมอบให้กับมูยอง พวกเขาจะปรับตัวและพัฒนาไปเรื่อยๆผ่านโอกาสที่มูยองมอบให้ และมูยองเชื่อในความเป็นไปได้ของพวกเขา “ ถ้างั้นก็ไปกันเลย” มูยองพาพวกเขาไปตามทางที่กระจกแห่งท้องฟ้าเป็ดไว้ “ ที่รักพวกเราไปด้วยกัน “ “ พี่ชาย! โครงกระดูกแก่ๆนั้นเป็นใครเหรอคะ?” “ พ่อของเธอไง ” พ่อ?! พ่องั้นเหรอ!” “ พี่! อย่าทิ้งผมไว้ข้างหลัง!” “ ราชาของฉัน ฉันจะติดตามคุณไปทุกที่” มันคือผลข้างเคียงจากอํานาจการครอบงํา ผู้รอดชีวิตทุกคนไม่ว่าจะเป็นวูฮี, เบซูจี, เบซองมิน, สโนว์, โอการ์และไฮซินท์ล้วนมีปฏิกิริยาเหมือนกัน ยกเว้นทาร์แคนคนเดียวที่สายหัวขณะที่พูด “ ช่างเป็นความวุ่นวายที่เหมาะกับเจ้าแห่งความโกลาหลจริงๆ”