The king of War - บทที่ 103 ผมมีความเห็นต่าง
เมืองเจียงผิงเมืองเอก ณ คฤหาสน์หรูหราแห่งหนึ่ง
วัยรุ่นอายุราวสามสิบปีคนหนึ่ง นั่งอยู่บนโซฟาหนังแท้คุณภาพสูง มือหนึ่งกำลังถือแก้วไวน์ที่ใส่เหล้าไว้ อีกมือหนึ่งกำลังถือมือถือ
เมื่อได้ยินการรายงานของเว่ยเสียง เขาไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ยิ้มอย่างสงบ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราก็ไปหามันด้วยตัวเอง!”
วัยรุ่นคนนี้คือลูกหลานตระกูลตระกูลเมิ่งหนึ่งในตระกูลเศรษฐีนครเอก ชื่อเมิ่งฮุย
หลังจากที่วางสายแล้ว เมิ่งฮุยยิ้มมุมปาก “ของที่ฉันเมิ่งฮุยชอบ ไม่เคยพลาดมาก่อน”
อีกฝั่ง หยางเฉินเพิ่งกลับมาถึงคฤหาสน์ โจวยู่ชุ่ยก็รีบวิ่งเข้ามา
เธอเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์เมื่อกี้ทั้งหมด เพียงแค่หลังรู้ว่าอีกฝั่งเป็นคนของตระกูลเว่ยแล้วนั้น เธอจะกล้าออกไปได้อย่างไรกัน?
“หยางเฉิน บอกมาตรงๆ แกมีเงินทั้งหมดเท่าไหร่?”
โจวยู่ชุ่ยไม่เพียงไม่ซาบซึ้งที่หยางเฉินให้เธอเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่ทว่ายังเริ่มกังวลเรื่องเงินในกระเป๋าของหยางเฉิน
“แม่ จะทำอะไร?”
ฉินซีเกรี้ยวกราด หยางเฉินให้ทุกคนในครอบครัวอาศัยอยู่ที่นี่ เธอก็รู้สึกไม่ดีมากพอแล้ว ใครจะรู้ว่าโจวยู่ชุ่ยยังไม่เปลี่ยนนิสัยอีก
ฉินยีประชดประชัน “พี่ แม่นิสัยยังไง ยังไม่รู้อีกเหรอ? เห็นพี่เขยซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้ได้ ก็ต้องนึกถึงเงินของพี่เขยนะสิ!”
“ฉันก็ทำเพราะแกนั่นแหละ? ห้าปีที่แล้วหยางเฉินเป็นอย่างไร แกยังไม่รู้อีกเหรอ? ก่อนที่จะแต่งงานกับแก มันยากจนไม่มีอะไรเลย ตอนนี้มีเงินแล้ว ก็ถือเป็นสินสมรส”
โจวยู่ชุ่ยไม่รู้สึกละอายเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าพูดกับฉินซี ต่อหน้าหยางเฉิน “ดังนั้นทุกสิ่งที่มันมีตอนนี้ ครึ่งหนึ่งก็เป็นของแก ถ้าตอนนี้ไม่ตกลงให้ชัดเจน อนาคตหย่าร้างกัน ไม่ใช่ขาดทุนย่อยยับอย่างงั้นหรือ?”
หยางเฉินรู้ถึงความหน้าด้านของโจวยู่ชุ่ยตั้งนานแล้ว และเคยชินไปแล้วละ ดังนั้นหลังจากที่โจวยู่ชุ่ยพูดประโยคนี้ออกมา เขาจึงไม่แปลกใจใดๆ
สำหรับเขาแล้ว โจวยู่ชุ่ยก็แค่มด คิดเล็กคิดน้อยกับคนแบบนี้ เป็นการเสียเวลาชัดๆ
“แม่ ทำไมพูดอะไรที่หน้าไม่อายขนาดนี้ออกมาได้เนี่ย?”
ฉินซีแสดงหน้าตาคาดไม่ถึง “อีกอย่าง หยางเฉินมีทรัพย์สินเท่าไหร่ เกี่ยวอะไรกับหนู? ถ้าแม่ยังหาเรื่องไปเรื่อย ก็ย้ายออกจากที่นี่ไปซะ!”
แม้ฉินซีจะรู้ว่าโจวยู่ชุ่ยนิสัยเป็นยังไง แต่หลังจากที่ได้ยินเธอพูดประโยคนี้แล้ว ก็เกรี้ยวกราดอย่างหาที่เปรียบมิได้
เธอโมโหกับคำพูดของโจวยู่ชุ่ยจนร้องไห้ออกมา ฉินยีก็แสดงสีหน้าโมโหเช่นกัน “ในสายตาของแม่มีแค่เงิน ปากบอกว่าเพื่อพี่สาว ความจริงไม่ใช่เพราะตัวเองเหรอ? เกรงว่าวันไหนพี่เขยไม่พอใจ ไล่แม่ออกไป แม่ก็จะไม่มีคฤหาสน์ดีๆแบบนี้อยู่แล้วนะ”
“หุบปาก!” โจวยู่ชุ่ยพาลโกรธ “ฉันเลี้ยงพวกแกมาเสียข้าวสุกจริงๆ เนรคุณทุกคน”
พูดจบ เธอจ้องหยางเฉินอย่างโกรธเคือง “อย่าคิดว่ามันจะจบ ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน ว่าแกมีทรัพย์สินเท่าไหร่กันแน่ ฉันไม่ยอมจบหรอกนะ”
“ตึง!ตึง!ตึง!”
โจวยู่ชุ่ยหันหลังกลับไปที่ห้องของตัวเอง
“พี่ ไม่ต้องร้องนะ โมโหกับคนที่เห็นแก่เงิน จะทำให้พี่โมโหจนตายได้นะ”
ฉินยีกอดฉินซี ถึงแม้กำลังปลอบพี่สาว แต่ตัวเองกลับตาแดงแล้วเช่นกัน
หยางเฉินถอนหายใจ แม่แบบนี้ สั่งสอนลูกสาวอย่างฉินซีและฉินยีให้รู้เรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ?
บางที เพราะเธอไม่เคยสนใจสองพี่น้องคู่นี้มาก่อน พวกเธอต้องเผชิญหน้ากับทุกอย่างด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงได้รู้สาขนาดนี้!
หลังจากที่ทุกคนเก็บของเรียบร้อยแล้ว ช่วงเช้าก็ได้ผ่านไป
โจวยู่ชุ่ยได้กลับไปมีความสุขในการใช้ชีวิตอีกครั้ง นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา สนใจแค่ความเป็นอยู่ของตัวเอง โต๊ะกาแฟเต็มไปด้วยเปลือกผลไม้และเปลือกผลไม้อบแห้งเต็มไปหมด ดูออกได้อย่างชัดเจนว่าไม่คิดจะทำอาหารเที่ยงแต่อย่างใด
“พี่ ฉันไปกินข้าวข้างนอก ช่วงบ่ายก็ไปบริษัทเลยนะ”
หลังจากที่ฉินยีเก็บกวาดห้องตัวเองเสร็จแล้ว ก็มาพูดคุยที่ห้องของฉินซี แล้วออกไปจากยอดเมฆา
ฉินซียังคงเศร้าโศก น้ำตาไหลมองไปที่หยางเฉิน “หยางเฉิน ขอโทษนะ แม่ของฉันเป็นคนแบบนี้ ผ่านไปสักกี่วัน ฉันจะจำนองบ้านสักหลังให้แม่กับพ่อ ให้พวกเขาย้ายออกไป”
ฉินซีถูกโจวยู่ซุ่ยผลาญไปหมดแล้ว ผู้จัดการซานเหอกรุ๊ปแท้ๆ แม้แต่บ้านในหมู่บ้านธรรมดาสักหลัง ยังซื้อด้วยเงินสดไม่ได้
“เสี่ยวซี ผมบอกตั้งแต่แรกแล้ว คุณคือภรรยาของผม ขอให้เป็นคนหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณ นั่นก็เป็นคนและเรื่องของผมเช่นกัน”
หยางเฉินมองฉินซีอย่างอบอุ่น “ไม่ว่าแม่เป็นคนอย่างไร เพียงแค่เธอไม่ทำผิดต่อคุณกับเสี้ยวเสี้ยว ผมก็ไม่มีทางทำอะไรเธอ”
“แต่แม่ทำผิดกับคุณตลอดเลยนะ”
ฉินซีซาบซึ้ง และรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนหยางฉิน
หยางเฉินหัวเราะ “แล้วไง? เธอไม่กล้าลงไม้ลงมือ ทำได้เพียงด่าทอ ผมหน้าด้านขนาดนั้น เธอด่าแค่นิดๆหน่อยๆแล้วยังไง?”
“คิคิ!”
ฉินซีหัวเราะกับคำพูดของหยางเฉิน มองบนอย่างไม่พอใจ “คุณหน้าด้านจริงแหละ”
เมื่อยิ้ม โลกดูสวยงาม
หยางเฉินมองจนเหม่อลอยไป นานแล้ว เหมือนเขาเพิ่งจะเคยเห็นฉินซียิ้มให้ตัวเองเป็นครั้งแรก
“หน้าของฉันไม่มีดอกไม้สักหน่อย คุณมองอะไร?”
ฉินซีที่ถูกหยางเฉินเพ่งมองจนเขินอาย ก็เริ่มหน้าแดงขึ้นมา น่ารักมาก
“คุณยิ้มแล้ว ดูดีจริงๆ!”
หยางเฉินแสดงใบหน้ายิ้มแย้มอย่างพอใจ
จู่ๆฉินซีรู้สึกเศร้าใจ เมื่อมองไปที่ผู้ชายตรงหน้า เธอไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ รู้สึกผิด
ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาต้องการนั้นไม่มาก เพียงแค่รอยยิ้มที่ยิ้มให้กับตัวเอง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ความเย็นชาในจิตใจของฉินซี ได้มลายหายไปแล้วในทันใด
“ไปเป็นเพื่อนฉันกินข้าวเที่ยงนะ!”
ฉินซีสูดหายใจเข้า จัดการกับความรู้สึกของตัวเอง ยิ้มมุมปาก แล้วกล่าวอย่างมีความสุข
เป็นครั้งแรกที่หยางเฉินรู้สึกอารมณ์ดีขนาดนี้ ขับรถเปิดประทุน พร้อมฮัมเพลงไปตลอดทาง ด้วยรอยยิ้ม
“บ้าดีนะ!”
ฉินซีแอบยิ้มออกมาทันใด
หลังจากที่กินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ฉินซีบังคับ ให้หยางเฉินส่งเธอที่ซานเหอกรุ๊ป
สำหรับฉินซีแล้ว มีเพียงตนตั้งใจทำงานมากขึ้น จึงจะมีค่ากับการทุ่มเทของหยางเฉิน
อีกฝั่ง ฉินยีก็ตั้งใจทำงานขึ้นอีกเท่า เพียงเพื่อตามหยางเฉินให้ทัน
เยี่ยนเฉินกรุ๊ป ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้นบนสุด
ลั่วปิงนั่งตำแหน่งประธาน ด้านล่างเป็นพนักงานของสาขาทั้งหมด
“วันนี้เรียกทุกคนมาประชุม เพื่อต้องการที่จะประกาศแต่งตั้ง”
ลั่วปิงมองไปหาทุกคน กล่าวด้วยความเคร่งขรึมอย่างมาก
ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอย ลั่วปิงประกาศด้วยตัวเอง “เพื่อการก้าวไปข้างหน้าของบริษัท ทางบริษัทได้ตัดสินใจ ให้พนักงานดังต่อไปนี้รับตำแหน่งใหม่ ตามประกาศดังนี้”
“แต่งตั้งให้ฉินยีรับตำแหน่งรองผู้จัดการทั่วไปบริษัทเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาเจียงโจว ช่วยผู้จัดการทั่วไปจัดการเรื่องต่างๆภายในสาขา”
“การแต่งตั้งข้างต้น มีผลตั้งแต่วันที่ประกาศเป็นต้นไป!”
เมื่อประกาศออกไป ทุกคนก็ตะลึง แม้แต่ฉินยียังประหลาดใจมาก
“ประธานลั่ว ผมเห็นต่างกับการแต่งตั้งครั้งนี้!”
ในขณะเดียวกันนี้ จู่ๆก็มีคนยืนขึ้นมา แสดงความไม่พอใจกับการแต่งตั้ง