The king of War - บทที่ 1042 อาสองมาแล้ว
“อาสอง!”
เมื่อเห็นคนที่มา ไป๋จวิ้นเหาก็ตะโกนเรียกด้วยความประหลาดใจ
ต่งจ้านกังยังหรี่ตามองชายวัยกลางคน สีหน้าค่อนข้างย่ำแย่ เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เขาเป็นหนึ่งในทายาทของกษัตริย์ไป๋ อยู่ในลำดับที่สอง และยังเป็นผู้รับผิดชอบตระกูลคิงไป๋ในเมืองเยี่ยนตูด้วย ชื่อไป๋ชิ่ง
เมื่อฉินซีเห็นไป๋ชิ่งก็แปลกใจเล็กน้อย ในงานแต่งงานของหม่าชาวและอ้ายหลินก่อนหน้านี้ ไป๋ชิ่งยังพาภรรยาของเขาไปงานเลี้ยงและนั่งโต๊ะเดียวกันกับเธอ
ในงานแต่งงาน ไป๋ชิ่งได้เริ่มเข้ามาพูดคุยกับเธอก่อน
“ไป๋ชิ่ง!”
ต่งจ้านกังขมวดคิ้ว มองที่ไป๋ชิ่งพลางพูดว่า “หลานชายของคุณคิดอะไรไม่เป็น ผมสั่งสอนเขาแทนคุณ เจ้าชายรองไป๋ คงจะไม่รู้สึกไม่พอใจใช่ไหม?”
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? กล้าดียังไงมาสั่งสอนหลานชายผม?”
ไป๋ชิ่งไม่ไว้หน้าต่งจ้านกัง ดุด่าเขาในที่สาธารณะ กระหายในการต่อสู้
ชายชราที่อยู่ข้างหลังเขาก็ได้ปลดปล่อยความกระหายในการต่อสู้ของเขาออกมาเช่นกัน
ทันใดนั้นภายในห้องโถงชั้นหนึ่งของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังที่แข็งแกร่ง พนักงานเหล่านั้นอดสั่นสะท้านและหวาดกลัวไม่ได้
ในเวลานี้ฉินซีรู้สึกเป็นกังวล เธอรีบเดินเข้าไปและพูดกับไป๋ชิ่งว่า “สวัสดีค่ะคุณอาไป๋ ฉันคือฉินซีเป็นรองผู้จัดการทั่วไปของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป คุณจำฉันได้ไหม? เราเคยพบกันที่งานแต่งงานของหม่าชาว เรื่องนี้มันเป็นความเข้าใจผิด…”
“ตาสีตาสาเกิดอยากคบหากับฉันขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ก่อนที่ฉินซีจะพูดจบ เธอก็ถูกไป๋ชิ่งขัดจังหวะ
ในเวลานี้ไป๋ชิ่งไม่เหลือความอ่อนโยนและสง่างามที่ฉินซีเห็นเมื่อแรกเจอ
ตอนนี้เขาเป็นเหมือนผู้กุมอำนาจที่อยู่เหนือกว่า เมื่อเขามองไปที่ฉินซี แววตานั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจ
ฉินซีก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ในงานแต่งงานของหม่าชาว ไป๋ชิ่งได้เริ่มเข้ามาพูดคุยกับเธอก่อนด้วยท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัว
แต่ตอนนี้ ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้?
“ไป๋ชิ่ง คุณควรให้ความเคารพบ้าง คุณไม่สามารถดูถูกประธานฉินได้”
ต่งจ้านกังพูดอย่างเย็นชา สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
เขาเป็นเพียงผู้แข็งแกร่งที่เพิ่งไปถึงแดนราชาสูงสุด แต่ชายชราที่อยู่เบื้องหลังไป๋ชิ่งกลับทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าความสามารถของชายชราอยู่ในระดับแดนราชาสูงสุด
ในฐานะผู้แข็งแกร่งแดนราชาขั้นปลายอย่างไป๋ชิ่ง ถึงแม้จะอยู่ในลำดับที่สองในบรรดาทายาทของกษัตริย์คิงไป๋ แต่ก็เป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาโอรสของกษัตริย์คิงไป๋
ว่ากันว่ากษัตริย์คิงไป๋ให้ความสำคัญกับไป๋ชิ่งมาก วางแผนที่จะยกให้เขาเป็นผู้สืบทอดของกษัตริย์คิงไป๋หลังจากที่เรื่องราวของเมืองเยี่ยนตูสิ้นสุดลง
เห็นได้ชัดว่าชายชราผู้อยู่เบื้องหลังไป๋ชิ่ง ก็เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดของตระกูลคิงไป๋ เขาได้รับมอบหมายจากกษัตริย์คิงไป๋เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของไป๋ชิ่งโดยเฉพาะ
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้บัญชาการของกองยุทธการเมืองเยี่ยนตู และยังมีความสามารถอยู่ในระดับแดนราชาสูงสุด แต่ก็ยังด้อยกว่าทายาทของกษัตริย์ไป๋อยู่เล็กน้อย
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะปกป้องฉินซี
“ฮึ!”
ไป๋ชิ่งยิ้มเยาะและมองไปที่ไป๋จวิ้นเหาอีกครั้ง “เป็นแม่ม่ายคุณก็ชอบด้วยเหรอ?”
ไป๋จวิ้นเหาดูเหมือนจะกลัวไป๋ชิ่งมาก เขาก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “อาสอง ผมแค่อยากสนุกเท่านั้น”
“ต่อให้แค่สนุกก็ไม่ได้ ในฐานะทายาทของตระกูลเดอะคิง อยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็มี ผู้หญิงที่ถูกเล่นสนุกจนเยินแล้ว คุณก็ชอบด้วยเหรอ?”
ไป๋ชิ่งตะโกนอย่างเย็นชา
ไป๋จวิ้นเหารีบพูดว่า “อาสอง ผมขอโทษ ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว”
การสนทนาระหว่างลูกหลานทั้งสองทำให้ฉินซีโกรธและเขินอาย เธอพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้าชายรองไป๋ ไม่ว่ายังไงคุณก็เป็นทายาทของตระกูลคิงไป๋ ทำไมถึงพูดคำหยาบคายเช่นนี้ออกมาได้?”
“ฉันถามตัวเองได้ความว่าไม่เคยล่วงเกินคุณ ทำไมคุณต้องมาดูหมิ่นฉันแบบนี้”
ฉินซีไม่เพียงแต่โกรธ แต่ยังรู้สึกคับข้องใจมากอีกด้วย
“ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
ไป๋ชิ่งมองไปทางฉินซีด้วยสีหน้าดูถูกพลางพูดว่า “ในสายตาของผม คุณเป็นแค่เศษขยะ ไม่มีทางที่จะแต่งงานเข้าตระกูลคิงไป๋หรอก!”
“คุณ…”
ฉินซีโกรธจนตัวสั่นไปทั้วตัว พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
“ไป๋ชิ่ง คุณอยู่ในฐานะโอรสของกษัตริย์ไป๋ คุณทำให้ผู้หญิงเดือดร้อนแบบนี้ได้ยังไง ไม่กลัวเรื่องแดงออกไปจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะหรือ?”
ต่งจ้านกังถามอย่างเย็นชา
คำพูดของไป๋ชิ่งทำให้เขาโกรธเคืองอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้กังวลเรื่องฉินซี เขาก็คงจะลงมือไปนานแล้ว
คนอื่นคิดว่าหยางเฉินตายแล้ว แต่เขารู้ดีว่าหยางเฉินยังมีชีวิตอยู่
ต่อหน้าไป๋ชิ่ง เขาอาจจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ต่อหน้าหยางเฉิน แม้แต่ตระกูลคิงไป๋ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
ตราบใดที่หยางเฉินต้องการ ก็สามารถทำลายตระกูลเดอะคิงได้อย่างง่ายดาย
ไป๋ชิ่งกล่าวเสียงเย็นชา “คุณเป็นแค่ผู้บัญชาการของกองยุทธการเมืองเยี่ยนตู สำหรับไป๋ชิ่งแล้วไม่มีค่าใดๆ ทั้งสิ้น!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็มองไปที่ฉินซีและพูดว่า “คุณทำให้หลานชายของผมได้รับความอยุติธรรม วันนี้คุณต้องชี้แจ้งกับผมให้ได้”
“ทั้งๆ ที่หลานชายของคุณเป็นฝ่ายรังควานฉัน ทำไมฉันต้องชี้แจงกับคุณด้วย?”
ฉินซีทนไม่ไหวอีกแล้ว พูดอย่างโกรธจัด
“โอนเยี่ยนเฉินกรุ๊ปมา เรื่องนี้จะถือว่าเจ๊ากันไป!”
ไป๋ชิ่งกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดต่งจ้านกังก็เข้าใจว่า ไป๋ชิ่งมาที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปด้วยเรื่องแค่นี้
ที่แท้เขาก็พุ่งตรงมาที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ป
สีหน้าของฉินซีเปลี่ยนไปอย่างมาก เธอไม่ใช่คนโง่และตระหนักถึงจุดประสงค์ของไป๋ชิ่งดี
ตอนนี้เยี่ยนเฉินกรุ๊ปเป็นกิจการยืนอยู่จุดสูงสุดของจิ่วโจว ไม่ต้องพูดถึงตระกูลคิงไป่ แม้แต่ราชวงศ์ก็อาจต้องการ
ไม่เพียงแต่ต่งจ้านกังและฉินซีเท่านั้น แต่ยังมีคนอื่นๆ ที่มองเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของไป๋ชิ่งที่พุ่งเป้ามาที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ป
มันเป็นข้อแก้ตัวที่ไร้ยางอายที่บอกว่าฉินซีทำให้ไป๋จวิ้นเหาได้รับความอยุติธรรม
“ไป๋ชิ่ง คุณทำเกินไปแล้ว!”
ต่งจ้านกังพูดอย่างโกรธเคือง สีหน้าเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
เขาไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกองยุทธการกับตระกูลคิงไป๋ตึงเครียดเพราะเรื่องเล็กน้อย
แต่มีบางเรื่องที่มีขีดจำกัดความอดทน ถ้าไป๋ชิ่งอยากได้เยี่ยนเฉินกรุ๊ป ถือว่าได้ล้ำเส้นความอดทนของเขาไปแล้ว
คนอื่นๆ อาจไม่ทราบถึงความสำคัญของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสำหรับหยางเฉิน แต่ต่งจ้านกังนั้นรู้ดีมาก
ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลยที่จะบอกว่าเยี่ยนเฉินกรุ๊ปคือหนึ่งในเกล็ดมังกรของหยางเฉิน ใครแตะต้องมันต้องตาย!
ในเมื่อไป๋ชิ่งมาที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ป เขาจะยอมจำนนเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของต่งจ้านกังได้อย่างไร?
เขายิ้มเยาะ “กองยุทธการเริ่มยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของกิจการตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา กองยุทธการไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก พวกเขาจดจ่ออยู่กับการทำสงครามมาโดยตลอด
คำถามของไป๋ชิ่งก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
สีหน้าของต่งจ้านกังขรึมลงทันทีและย้อนถามว่า “กษัตริย์คิงไป๋เริ่มรังแกผู้อ่อนแอตั้งแต่เมื่อไหร่? หากต้องการครอบครองเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ก็พูดกันตรงๆ เหตุใดต้องหาข้อแก้ตัวที่แย่ๆ ด้วย? ไม่รู้สึกขายหน้าเหรอ?”
“ฮ่าฮ่า!”
ไป๋ชิ่งยิ้มอ่อน “ผมรู้ว่าผู้บัญชาการของเมืองเยี่ยนตูเก่งเรื่องวิถีบู๊มาก แต่คิดไม่ถึงว่าผู้บัญชาการเมืองเยี่ยนตูจะปากคอเราะร้ายมากด้วย”