The king of War - บทที่ 1104 อาคันตุกะลึกลับ
ส่วนผู้ที่ฉากถอยออกจากการต่อสู้ เฉาเยว่ซึ่งเตรียมรอให้สามผู้แข็งแกร่งกึ่งแดนเทพบั่นทอนกำลังหยางเฉิน แล้วจึงค่อยจู่โจมด้วยกลยุทธ์สุดท้ายที่จะปลิดชีวิตหยางเฉินให้ได้ ยิ่งรู้สึกสะเทือนขวัญเป็นที่สุด ยืนอยู่กับที่ ปากอ้าค้างเล็กน้อย ดูเหมือนจะลืมหายใจ
เขารู้อยู่ว่าหยางเฉินมีพลังฝีมือสูงมาก เข้าถึงขั้นแดนเทพแล้ว แต่คิดยังไงก็คิดไม่ถึง ผู้แข็งแกร่งขั้นกึ่งแดนเทพที่เขาแอบซุ่มเก็บตัวฝึกมาอยู่หลายปี กลับถูกสังหารหมดไปในเวลาแทบจะว่าไม่ทันได้กะพริบตา
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเหมือนแค่ช่วงสะเก็ดไฟกระเด็นออกจากการตีหินเหล็กเท่านั้น จากที่เฉาเยว่ฉากถอยออกจากวงต่อสู้ จนถึงตอนสามผู้แข็งแกร่งกึ่งแดนเทพถูกล้างฆ่า เพียงช่างเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงสองสามวินาที
คนอื่นอาจจะไม่รู้ถึงสมรรถนะของสามผู้แข็งแกร่งกึ่งแดนเทพ เมื่อรวมตัวกันแล้ว จะมีพลังทำลายในการต่อสู้ขนาดไหน มีแต่ เฉาเยว่เองจึงจะรู้แน่ชัด
ให้แม้กระทั่งกับผู้แข็งแกร่งขั้นกลางแดนเทพ สามผู้แข็งแกร่งกึ่งแดนเทพชุดนี้ผนึกพลังกัน ก็ยังยืนหยัดได้ไม่มีการแพ้
ยิ่งถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพขั้นกลางทั่ว ๆ ไปแล้ว สามผู้แข็งแกร่งกึ่งแดนเทพชุดนี้ จัดการฆ่าได้หมด
โดยทั่วไปแล้ว ผู้แข็งแกร่งแดนเทพขั้นเริ่มต้น เจอสามผู้แข็งแกร่งกึ่งแดนเทพชุดนี้ จะมีก็ตายลูกเดียว
แต่ว่ามาในขณะนี้ สามคนที่ว่านี้กลับใช้เวลาแค่สองสามวินาที ก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว
นี่ไม่ใช่กำลังบอกว่า พลังฝีมือแท้จริงของหยางเฉิน อย่างน้อยก็ขั้นเทพระดับกลางแล้วงั้นหรือ?
อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งขั้นเทพชั้นกลางธรรมดาทั่วไปด้วย
“นี่……นี่มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
เฉาเยว่มีแต่ความไม่หน้าเชื่อเต็มหน้า สั่นเทิ้มด้วยความเครียดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เซถอยไปสองสามก้าว
หยางเฉินมองไปยัง เฉาเยว่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พูดเสียงเยือก “สวรรค์มีทางให้เดินไม่ยอมไป นรกประตูยังปิดอยู่ดันอยากลุย!ในเมื่อแกเลือกเองว่าจะไปตาย งั้นข้าก็จะช่วยให้สมใจหมาย!”
เสียงพูดจบลงในชั่วขณะเดียวกันนั้น ฟ้าดินยังรู้สึกต้องถึงกับเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้น ลมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
บรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัว ครอบคลุมทั่วตระกูลฉิน ส่วนเฉาเยว่ ก็รับความกดดันจากหยางเฉินเต็ม ๆ
“ปึง!”
เฉาเยว่ไม่สามารถทนยืนต่อไปได้อีก หัวเข่าทั้งคู่ทรุดลงกับพื้นอย่างแรง
ฉากที่ปรากฏนี้ ยิ่งทำให้คนตื่นผวากัน กษัตริย์เฉาแห่งเมืองคิงเฉาแท้ ๆ มาตอนนี้ได้คุกเข่าลงให้กับหยางเฉิน
แต่ทว่ามีแต่เฉาเยว่เองรู้ตัวเองอย่างชัดเจน มันไม่ใช่ตัวเขาจะคุกเข่าให้ แต่มันเป็นพลังที่กดบังคับมาจากหยางเฉิน ทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงที่จะต้านทาน
“ตายซะ!”
หยางเฉินตวาดลั่น ตัวร่างหายไปจากที่เดิมในพริบตา
ทุกคนทั้งหมดรู้สึกเพียงมีแสงวูบให้เห็นด้วยตา ไม่ทันเห็นตัวหยางเฉิน ก็ปรากฏว่าหยางเฉินหายไปจากที่เดิมแล้ว
“บรึม!”
ในชั่วขณะที่หมัดหยางเฉินกำลังซัดลงไปเกือบถูกตัวเฉาเยว่นั้น ทันใดก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น สิงโตหินแท่งหนึ่งปลิวลอยมา ปิดขวางอยู่ตรงหน้าเฉาเยว่พอดี
หมัดของหยางเฉินที่อัดลงไป กลับซัดลงไปบนตัวแท่งสิงโตหินนั่น สิงโตหินนั้นกลายเป็นฝุ่นผงไปในพลัน
หลังจากผงฝุ่นที่ปลิวว่อนสงบหยุดลง เฉาเยว่เดิมที่คุกเข่ากับพื้นอยู่ หายไปจากพื้นที่เดิม
นาทีนั้น คนทั้งบริเวณแตกตื่น!
บรรดาคนที่อยู่ในที่นั้นต่างตื่นผวากับการหายไปจากที่เดิมของเฉาเยว่
“เฉาเยว่ หรือจะโดนอัดจนเหลือเป็นธุลีผง?”
เหล่าอู๋เบิกตาโต พึมพำอยู่กับตัวเอง
ในตาของอู่เลี่ยเต็มไปด้วยความร้อนร่า ตาจ้องเขม็งอยู่กับร่างชายหนุ่ม
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสุดท้ายทั้งแปดที่หยางเฉินนำมา ก็มีใบหน้าอิ่มเอิบเร่าร้อน ด้วยความตื่นเต้น แต่ละคนก็กำหมัดชูกันขึ้นมา มองไปที่หยางเฉินอย่างเทิดทูน
พวกผู้นำตระกูลเศรษฐีแต่ละตระกูล แต่ละคนมีแต่ความหมดหวังเต็มหน้า แข็งแกร่งขนาดกษัตริย์เฉา ยังถูกหยางเฉินถล่มจนเหลือแต่กาก แม้เศษกระดูกยังไม่มีให้เห็นเลยหรือ?
มีแต่หยางเฉิน แววตาสาดแสงมาแวบหนึ่ง ตาทั้งคู้จ้องไปที่จุด จุดหนึ่ง พูดเสียงเยือก “ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็เชิญปรากฏตัวเถอะ!”
“ใครกัน?”
“มีใครอีกด้วยหรือ?”
ทุกคนต่างหันมองซ้ายมองขวา หน้าตาแตกตื่น
“บรึม!”
วินาทีนั้นเอง ชายกลางคนสะพายดาบยาวคนหนึ่ง ลอยลงมาจากหลังคา สองขาสัมผัสพื้น แผ่นดินก็สั่นไหวขึ้นมาตาม
ตามติดมากับชายวัยกลางคน คือเฉาเยว่ที่ถูกเขาช่วยออกไป ก็ปรากฏตัวขึ้นมาให้เห็นในสายตาฝูงคน
“เฉาเยว่ เขายังไม่ตายหรือ?”
เหล่าอู๋ตาลุกโพลง
เมือตะกี้มันเกิดอะไรขึ้น เขาเองไม่ได้เห็นอะไรเลย คิดแต่ว่าหยางเฉินต้องบดขยี้เฉาเยว่เป็นผุยผงไปแล้ว
“กษัตริย์เฉา!”
ส่วนพวกหัวหน้าตระกูลเศรษฐี พอได้เห็นเฉาเยว่ปรากฏตัวมาอีก แต่ละคนก็ให้รู้สึกตื่นเต้น
เมื่อครู่นี้ที่เห็นกับตาว่าเฉาเยว่โดนถล่มขยี้จนกลายเป็นผุยผงไปแล้ว พวกเขาก็หมดหวังไปแล้ว แต่มาตอนนี้ เฉาเยว่ปรากฏตัวกลับมีอีก
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต!”
เฉาเยว่มาถึงขณะนี้ เพิ่งจะดึงสติกลับมาได้ ใจก็ยังไม่หายสั่น รีบกล่าวคำขอบคุณกับชายกลางคนผู้นั้น
เฉาเยว่นั้นอายุปาเข้าไปเจ็ดแปดสิบปีแล้ว ส่วนชายวัยกลางคน คนนั้นดูน่าจะอยู่ที่ห้าสิบปี แต่เฉาเยว่กลับเรียกชายกลางคนนั้นเป็นผู้อาวุโส
ชายกลางคนนั้นไม่ได้ใส่ใจกับเฉาเยว่ สายตาทั้งคู่จ้องไปที่หยางเฉิน พูดขึ้นมาในทันที “ไม่เลว ในมนุษย์โลกนี้ ยังมีผู้แข็งแกร่งขั้นแดนเทพวัยยังหนุ่มอย่างเจ้า ช่างเกินความคาดคิดของข้ามากจริง ๆ”
หยางเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่มันเวลาอะไรกัน ผู้แข็งแกร่งขั้นแดนเทพแห่งเมืองเหมียว นึกจะเข้ามาในสังคมโลกตามอำเภอใจได้?”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่า หยางเฉินจะเดาได้ถูกว่าเขามาจากเมืองเหมียว
เดิมที เขาตั้งใจเก็บสถานะภาพตัวเขาให้เป็นความลับ เพื่อมาแก้ไขเหตุการณ์นี้ แต่เขาคิดไม่ถึง ยังคงถูกหยางเฉินรู้ได้
“เป็นเจ้าใช่ไหม ที่ฆ่าฉินหรูเฟิง ทำลายยาดูดจิตพิษกู่ของอาจารย์ข้า?”
ชายกลางคนไม่ตอบคำถามหยางเฉิน แต่กลับตั้งคำถามย้อนถามกลับ
หยางเฉินพูดขึ้นว่า “เป็นคนของเมืองเหมียวจริง ๆ ด้วย”
เมื่อครู่นี้เขาแค่ลองแหย่ถาม ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะแสดงตัวออกมาเอง ด้วยเรื่องที่หยางเฉินได้ทำลายหนอนพิษกู่ดูดจิต
ฉินหรูเฟิงเองก็เพราะในตัวมีหนอนพิษกู่ดูดจิตอยู่ จึงสามารถกระตุ้นพลังจากใกล้กึ่งแดนเทพ ให้เพิ่มออกมาถึงระดับเทียบขั้นต้นแดนเทพได้
ที่ทำให้หยางเฉินต้องตื่นใจมากคือ หนอนพิษกู่ดูดจิตในตัวของฉินหรูเฟิงนั้น ไม่ใช่ถูกวางโดยชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างหน้านี้ แต่เป็นอาจารย์ของชายวัยกลางคนคนนี้
พลังฝีมือที่ชายวัยกลางคนคนนี้แสดงออกอยู่ในขั้นเทพระดับกลาง ถ้างั้นอาจารย์เขานั้นหละ จะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน?
ไม่เสียทีที่เป็นเมืองเหมียวที่ปิดตัวจากโลกภายนอก ช่างลึกลับจริง ๆ แค่เพียงปรากฏออกมาคนหนึ่ง ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแดนเทพแล้ว
นี่นับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแดนเทพจากเมืองเหมียวคนที่สองที่หยางเฉินได้พบ
“กรณีฉินหรูเฟิงศิษย์ผู้พี่แย่งชิงอำนาจ เป็นเรื่องสมควรตายตั้งแต่เมื่อห้าสิบปีก่อนแล้ว ข้าเป็นเขยของตระกูลฉิน ข้าต้องสังหารเขาแก้แค้นแทนพ่อของพ่อตาข้า นี่เป็นเรื่องในครรลองธรรม”
หยางเฉินพูดไปด้วยสีหน้าเย็นชา “เรื่องตามโลกียะของตระกูลฉิน เมืองเหมียวก็จะสอดเข้ามายุ่งด้วยหรือ?พวกคุณไม่กลัวหรือว่า ถ้าเรื่องนี้ปูดขึ้นมาให้สังคมรู้กันไปทั่ว จะเป็นการนำความเดือดร้อนให้เมืองเหมียว?”
ชายวัยกลางคนนั้นขมวดคิ้วย่นขึ้นมาพลัน คำพูดของหยางเฉินหสร้างความกดดันให้เขาเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาไม่กล้าจะก้าวเข้ามาในสังคมโลกอย่างเปิดเผยได้ หากเป็นเรื่องถูกเปิดโปงขึ้นมา ย่อมต้องพาความเดือดร้อนใหญ่หลวงไปยังเมืองเหมียวเป็นแน่
ความเดือดร้อนแม้จะใหญ่มาก แต่ก็ไม่ใช่เหตุที่ทำให้เขาต้องเกรงกลัวกับผู้แข็งแกร่งในสังคมโลกคนเดียวนี้
“ในเมื่อต้องเป็นอย่างนั้น ก็มีแต่จะต้องจัดการฆ่าพวกแกทั้งหมดนี้ พวกแกตายกันหมด เรื่องนี้ก็ไม่มีให้แพร่งพรายออกไปได้แม้แต่นิดเดียวแล้ว”
สายตาของชายวัยกลางคนฉายแววฆ่าเข้มข้นออกมาเป็นประกาย
ได้ยินที่เขาพูดมา บรรดาหัวหน้าตระกูลเศรษฐีต่างตกใจกันขวัญฝ่อ แต่ละคนทรุดคลานลงไปกับพื้น พูดด้วยอาการพรั่นพรึง “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ พวกเราไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ขอท่านได้โปรดอย่าฆ่าพวกเราเลย”
“พวกเราขอรับรอง สิ่งที่พวกเราเห็นในวันนี้ ทั้งที่ได้ฟังมาทั้งหมด จะไม่มีการแพร่งพรายออกไปข้างนอกนี้อย่างเด็ดขาดแม้แต่คำเดียว ขอท่านได้โปรดไว้ชีวิตพวกเรเถิด”
เวลานี้ นอกจากคนของตระกูลฉิน นอกนั้นต่างคุกเข่าลงขอชีวิต