The king of War - บทที่ 132 ความสัมพันธ์ในครอบครัว
หยางเฉินก็นิ่งอึ้ง มองไปที่หวังเฉียงแวบหนึ่ง และพูดทันทีว่า: “โอเค ฉันรู้แล้ว!”
“นายเป็นคนทำเหรอ?”
เมื่อวางสายแล้ว หยางเฉินมองไปทางหวังเฉียง
“หวงเหอบาธแห่งนี้มีความสำคัญกับตระกูลเว่ยมาก ทั้งหวงเหอบาธ มีเพียงติงลู่เท่านั้นที่รู้เรื่องภายใน ในเวลาอันสั้น ตระกูลเว่ยไม่มีทางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่”
หวังเฉียงยิ้มแฮะๆ แล้วก็อธิบายว่า: “เมื่อกี้นี้ผมให้สองทางเลือกกับติงลู่ ทางที่หนึ่ง ผมบังคับให้เขาเซ็นชื่อพิมพ์รอยนิ้วมือ ต่อจากนั้นรอตระกูลเว่ยจัดการเขา; ทางที่สอง ผมให้เงินเขาห้าล้าน ออกจากเจียงโจวไปตลอดกาล และเขาเลือกทางที่สอง”
หยางเฉินเข้าใจขึ้นมาโดยฉับพลัน ตบไหล่ของหวังเฉียง: “ทำได้ดีมาก!”
เมื่อได้รับคำชมจากหยางเฉิน หวังเฉียงก็ดีใจทันที พูดอย่างตื่นเต้นว่า: “ได้จัดการธุระเพื่อคุณหยาง เป็นเกียรติของผม!”
“พ่อ ตอนนี้พ่อไปอาบเถอะครับ!” หยางเฉินมองไปที่ฉินต้าหย่งแล้วพูด
“พวกเธอรอพ่ออยู่ที่นี่ ฉันจะไปซื้อเสื้อผ้าให้พ่อ”
หยางเฉินพูดกับฉินซี แล้วมองไปที่หวังเฉียงพูดว่า: “นายไปกับฉัน!”
หวังเฉียงขับรถเอง และพาหยางเฉินออกไป
ในระหว่างทาง หยางเฉินถึงได้ถามว่า: “หวงเหอบาธ ตกลงว่ามีสถานที่อะไรที่ไม่เหมือนกัน? ตระกูลเว่ยอาศัยหวงเหอบาธแห่งหนึ่ง ก็สามารถทำให้ครอบครัวเกิดร่ำรวยขึ้นได้?”
“ยี่สิบปีที่แล้ว ตระกูลเว่ยยังเป็นเพียงแค่ตระกูลเล็กๆ และตอนนั้นหวงเหอบาธไม่ได้ชื่อนี้ ดูเหมือนว่าจะชื่อว่าหวงเหอบาธ”
“ต่อมาเว่ยเฉิงโจวผู้นำของตระกูลเว่ย ไม่รู้ว่าไปได้หญิงสาวต่างชาติมาจากไหนสองคน เป็นผู้หญิงประเภทที่ยอดเยี่ยมเป็นมาก ที่สำคัญยังเป็นฝาแฝด”
“ผู้มีอิทธิพลมากมายของเจียงโจว ชื่นชอบหญิงสาวต่างชาติคู่นี้มาก ดังนั้น ผู้มีอิทธิพลมากมายก็เริ่มที่จะผูกมิตรกับเว่ยเฉิงโจว ก็เริ่มตั้งแต่นั้นมา ตระกูลเว่ยเริ่มเจริญเฟื่องฟู”
“หลังจากที่เว่ยเฉิงโจวได้ลิ้นรสความหวาน ก็เริ่มที่จะค้นหาสาวสวยที่ยอดเยี่ยม ที่สำคัญก็เป็นยังเด็กด้วย พัฒนามาจนถึงวันนี้ หวงเหอบาธกลายเป็นฐานลับที่ผู้มีอิทธิพลชื่นชอบที่สุด การติดต่อธุรกิจมากมาย ต่างก็สำเร็จอยู่ที่นี่”
“หวงเหอบาธของตอนนี้ พื้นผิวดูไม่ได้แตกต่างอะไรกับหวงเหอบาธทั่วไป แต่ว่าในความเป็นจริง ชั้นบนของหวงเหอบาธ เป็นสาวสวยที่มีคุณภาพสูง”
หวังเฉียงไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย และบอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้ให้กับหยางเฉิน
ในดวงตาของหยางเฉินแวบวาบด้วยความเยือกเย็นเล็กน้อย คาดไม่ถึงตระกูลในเมืองเล็กๆ กลับกล้าทำธุรกิจสกปรกแบบนี้
“ไม่มีคนจัดการเรื่องนี้เลยเหรอ?” หยางเฉินถาม
หวังเฉียงส่ายหน้า:“คุณหยาง คุณคิดดู ตอนนี้ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลที่ยืนอยู่ชั้นสูง แม้แต่นิติบุคคลของหวงเหอบาธ ก็เป็นหุ่นเชิดที่สนับสนุน ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นมา แล้วยังไง? ก็สนับสนุนหุ่นเชิดอีกคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“จะว่าไป ตระกูลเว่ยไม่ใช่ตระกูลเล็กในปีนั้นตั้งนาน ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์ก็พัฒนา ถึงจะเป็นธุรกิจที่สำคัญของตระกูลเว่ย แม้ว่าหวงเหอบาธจะมีความสำคัญ แต่ต่อให้โดนทำลาย รากฐานของตระกูลเว่ยก็แข็งแกร่งมาก ยากที่จะสั่นคลอนได้”
หลังจากที่พูดจบ ทันใดนั้นในแววตาของหวังเฉียงเต็มไปด้วยความหนักแน่ และพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า: “คุณหยาง เรื่องราวของวันนี้ตอนนี้ไม่ได้แพร่ออกไป แต่ในไม่ช้า ตระกูลเว่ยก็จะรู้ และตระกูลเว่ยคงจะไม่มีทางยอมวางมือยุติเรื่องราว”
“ฉันยังกังวลว่าตระกูลเว่ยจะยอมวางมือยุติเรื่องราว!”
ในดวงตาหยางเฉินแวบวาบด้วยความกระหายสังหาร และอุณหภูมิในรถก็ดูเหมือนจะลดลงหลายองศา
ตระกูลเว่ยสามารถหาสาวสวยคุณภาพสูงมาได้อย่างต่อเนื่อง ผู้หญิงมากมาย คงจะโดนบีบบังคับมา เรื่องนี้สัมผัสถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว
หยางเฉินออกมากับหวังเฉียง ก็เพียงเพื่อจะสอบถามเรื่องราวของหวงเหอบาธ สำหรับซื้อเสื้อผ้าให้ฉินต้าหย่ง หวังเฉียงก็ได้จัดเตรียมการให้คนไปซื้อตั้งนานแล้ว
หลังจากที่นั่งรถเล่นที่ข้างนอก หวังเฉียงก็ขับรถส่งหยางเฉินไปที่หวงเหอบาธ เขารออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าพร้อมกับหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ไว้
“หวงเหอบาธ ก็มอบให้นายจัดการ ยังคงคำนั้น ฉันหวังว่าจะไม่เห็นการดำเนินธุรกิจสีเทาใดทั้งนั้น”
หยางเฉินเตือนอย่างเคร่งขรึม และพูดทันทีว่า: “นายบันทึกเบอร์โทรของฉันไว้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปถ้าหากมีเรื่องที่นายไม่สามารถจัดการได้ สามารถติดต่อฉันได้”
หวังเฉียงดีใจมากในทันที แม้ว่าจะยอมศิโรราบต่อหยางเฉินแล้ว แต่กลับไม่มีข้อมูลติดต่อของหยางเฉิน ตอนนี้หยางเฉินริเริ่มบอกโทรศัพท์ให้ก่อน ซึ่งหมายความว่าเขาได้ถือว่าตัวเองเป็นคนกันเอง
“นายก็ไม่ต้องตามฉันแล้ว นายไปจัดการเรื่องของตัวเองเถอะ!”
หยางเฉินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ สั่งการหวังเฉียง และหันหลังเข้าไปที่หวงเหอบาธ
ยี่สิบนาทีต่อมา ฉินต้าหย่งใส่ชุดแบรนด์ Versaceเดินออกมา ยังไม่ต้องพูดอะไร เขาใส่ชุดนี้บนตัว เหมาะสมเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเป็นพ่อของสาวสวยที่ยอดเยี่ยมทั้งสอง หน้าตาของฉินต้าหย่งยังดีเป็นอย่างมาก ผมยาวและหนวดเคราที่เต็มคาง ยังดูหล่อเหลาอย่างทรุดโทรม
“พ่อ ที่แท้พ่อก็หล่อมากขนาดนี้!”
ฉินยีกอดแขนของฉินต้าหย่ง และพูดอย่างยิ้มแย้มว่า: “จากนี้ไปหนูออกไปซื้อของกับพ่อ ไม่แน่อาจจะโดนมองว่าเป็นแฟนของพ่อ!”
“อย่าพูดจาเหลวไหล ไม่รู้จักกาลเทศะ!”
ฉินต้าหย่งเขม็งตาใส่ฉินยี
“พ่อค่ะ เสี่ยวยีไม่ได้พูดจาโกหก พ่อหล่อมากจริงๆ!” ฉินซีก็พูดด้วยรอยิ้ม
“ปีนี้พ่ออายุห้าสิบแล้ว แก่แล้ว หล่อที่ไหนกันล่ะ?”
ฉินต้าหย่งพูดด้วยรอยยิ้ม และมองไปที่หยางเฉิน จากนั้นมองไปที่ฉินซีแล้วพูดว่า: “ตอนนี้ก็รอพวกลูกมีหลานชายให้พ่ออุ้มแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินต้าหย่ง ใบหน้าของฉินซีก็ “ซวา”(ซวาในที่นี้หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว)แดงขึ้นมาถึงหู เบิกตากว้างมองไปที่ฉินต้าหย่ง พูดอย่างโกรธเคืองว่า: “พ่อไปเร่งให้เสี่ยวยีหาแฟนคนหนึ่ง รอเธอแต่งงานแล้ว คลอดหลานชายให้พ่อเถอะ!”
“พี่ พ่อกำลังว่าให้พ่ออยู่ อย่าพาลเอาฉันไปด้วย!”ฉินยีกังวลทันที
ทั้งครอบครัวพูดไปยิ้มไปแล้วออกจากหวงเหอบาธ ในใจของหยางเฉินก็รู้สึกอบอุ่น ความสัมพันธ์ในครอบครัวแบบนี้ ถึงเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา
ตอนนี้ฉินต้าหย่งถือได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยยอมรับลูกเขยคนนี้ของตัวเองจากก้นบึ้งหัวใจแล้ว เพียงแต่โจวยู่ชุ่ย แม้ว่าจะให้เธอเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์แล้ว แต่ยังไม่เปลี่ยนเป็นดีขึ้นแม้แต่น้อย
เกรงว่า ต่อให้ตัวเองควักหัวใจออกมาให้เธอ เธอก็ไม่มีทางซาบซึ้งแม้แต่น้อย
หยางเฉินก็ขับรถไปที่ร้านตัดผมหรูหราแห่งหนึ่ง ภายใต้ของการโน้มน้าวของฉินยี ได้ออกแบบทรงผมที่หล่อขั้นเทพของเทพบุตรเป็นอย่างมาก
สุดท้ายหยางเฉินก็หนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของน้องภรรยา ตัดผมสั้นที่ดูดีหนึ่งทรง แต่กลับเหมาะกับราศีของหยางเฉินมาก
รอหลังจากที่ตัดผมเสร็จ ก็ถึงเวลาไปรับเสี้ยวเสี้ยวเลิกเรียน หลายคนไปที่โรงเรียนอนุบาลหลานเทียน
“คุณปู่ หนูคิดถึงปู่จะแย่แล้ว!”
ไม่ได้เจอฉินต้าหย่งมาหลายวัน เสี้ยวเสี้ยวมองไปที่เขาแวบหนึ่ง และก็วิ่งกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างตื่นเต้น
ดวงตาทั้งสองของฉินต้าหย่งแดงก่ำ กอดเสี้ยวเสี้ยวไว้แน่นๆ และมองไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคย เขาเสียใจมาก เมื่อก่อนไม่เคยรักและทะนุถนอมความรักเหล่านี้
เมื่อฉินต้าหย่งถึงบ้านใหม่ในยอดเมฆา หลังจากที่เห็นที่พักอาศัยอันหรูหรานี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
จนถึงตอนนี้ เขาถึงได้ตระหนักได้ว่า ลูกเขยที่โดนตัวเองดูถูกมาเป็นเวลานานนั้น ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อยจริงๆ
โจวยู่ชุ่ยก็ไม่ได้เจอฉินต้าหย่งมาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว เมื่อเห็นเขากลับบ้าน ก็เพียงแค่มองไปที่เขาแวบหนึ่ง พูดจาประชดอย่างเยือกเย็น: “ฉันยังคิดว่าคุณตายอยู่ที่ข้างนอกแล้ว ยังมีชีวิตกลับมา”
เดิมทีเจอภรรยาอีก ฉินต้าหย่งที่มีคำพูดเต็มท้องที่จะพูด ความกระตือรือร้นในส่วนนี้ ก็โดนโจวยู่ชุ่ยทำลายด้วยความโหด
หลังจากที่โจวยู่ชุ่ยพูดจาประชดแล้ว สายตาก็มองกลับไปที่โทรทัศน์ และระเบิดหัวเราะออกมาเป็นครั้งเป็นคราว
เมื่อเวลาสามทุ่มตอนกลางคืน เขาเคาะประตูห้องของหยางเฉิน
“พ่อ มีอะไรหรือเปล่า?”
หยางเฉินเปิดประตู เห็นฉินต้าหย่งยืนอยู่ที่หน้าประตู และท่าทางยังดูลังเล