The king of War - บทที่ 1566 พิจารณาอย่างรอบคอบ
สิ่งที่หางเฉินเดานั้นไม่ใช่ไม่มีเหตุผล ทุกครั้งที่เฝิงจื้อหย่วนไปห้องลับในบ้านพักอี๋เหอจะกินเวลาหนึ่งสัปดาห์เสมอ และหยางเฉินยังได้ลองทดสอบเดินลมปราณดูแล้ว เขาพบว่าตนเองอาจทนได้หนึ่งสัปดาห์เช่นกัน เมื่อเขากับเฝิงจื้อหย่วนมีระดับวิถีบู๊แดนเดียวกัน ก็สามารถอธิบายเหตุผลต่าง ๆ ได้แล้ว
ในขณะเดียวกัน ณ คฤหาสน์ราชวงศ์เฝิง เฝิงจื้อหย่วนสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก ด้านหน้าของเขามีผู้แข็งแกร่งในราชวงศ์เฝิงคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ด้วยความสั่นเทา เขาพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “องค์ชายรอง ข้าไม่คิดว่าทั้งคู่จะมีชีวิตรอดจากห้องลับออกมาได้”
“แล้วข้าก็ไม่รู้ว่าในห้องนั้นจะมีถ้ำอยู่ด้านล่าง ซึ่งเชื่อมต่อออกมายังด้านนอกด้วย”
เฝิงจื้อหย่วนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีอะไรอีกรึเปล่า ?”
ลูกสมุนที่คุกเข่าอยู่รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ภายในถ้ำมีบัลลังก์อยู่ที่หนึ่ง แต่ว่าพลังปราณที่เคยมีอยู่เต็มห้องลับ กลับหายไปจนหมดสิ้นแล้ว”
“เจ้าว่ายังไงนะ ?”
เฝิงจื้อหย่วนที่กำลังเก็บซ่อนอารมณ์โกรธไว้ รีบลุกยืนขึ้นคว้าคอลูกสมุนจนตัวลอยขึ้น พูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าบอกว่า ห้องลับภายในบ้านพักอี๋เหอ พลังปราณหายไปหมดแล้วงั้นรึ ?”
ลูกสมุนตกใจกลัวจนร้องไห้ มือของเฝิงจื้อหย่วนที่จับคอเขาอยู่นั้นแข็งแกร่งมาก แค่แรงเพียงนิดเดียวก็ทำให้เขาตายได้
เขาพยักหน้าอย่างยากลำบาก คอที่ถูกจับอยู่ทำให้พูดอะไรไม่ออก
“กร๊อบ !”
เฝิงจื้อหย่วนเผลอออกแรง เสียงกระดูกหักดังลั่น ลูกสมุนเสียชีวิตในทันที
“ไอ้สารเลว กล้ามาทำลายห้องฝึกวิชาของข้า พวกมันสมควรตาย !”
เสียงของเฝิงจื้อหย่วนเบาลง จากนั้นร่างของเขาก็หายตัวไป
ยี่สิบนาทีต่อมา เขาก็มาถึงภายในห้องลับภายในบ้านพักอี๋เหอ
หลังจากทดลองเดินลมปราณแล้ว ปรากฏว่าไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นเลย
ก่อนหน้านี้ เพียงแค่เขาเริ่มฝึกวิชายุทธ์เท่านั้น ก็สามารถเข้าสู่สภาวะเดินลมปราณได้แล้ว หากเปรียบเทียบการฝึกจนสำเร็จลมปราณวิถีบู๊เป็นการดื่มน้ำบริสุทธิ์ลงไปล่ะก็ การฝึกฝนโดยปกติแล้วก็คือการใช้ร่างกายเปลี่ยนสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นให้กลายเป็นน้ำบริสุทธิ์ ซึ่งลมปราณอันรุนแรงภายในห้องลับนั้นมันก็คือน้ำบริสุทธิ์ที่สามารถดื่มได้โดยตรง
แต่ทว่า จากที่ร่างกายเคยสามารถดูดซับพลังปราณวิถีบู๊ได้โดยตรงก็หายไป ตอนนี้ความโกรธของเฝิงจื้อหย่วนมากจนแทบจะจินตนาการไม่ได้แล้ว
ตอนแรกที่เขาค้นพบห้องลับแห่งนี้ ความเร็วในการฝึกฝนของเขาเป็นไปอย่างก้าวกระโดด จากผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านบูโดในระดับปานกลาง สามารถมาจนถึงระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นหกได้
เฝิงจื้อหย่วนเชื่อว่าหากฝึกฝนในห้องลับแห่งนี้ ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องสามารถก้าวข้ามแดนของเฝิงจื้อเอ้าได้แน่ เหลืออีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นก็จะตามทันแล้ว แต่ไม่นึกว่าห้องแห่งนี้จะไร้ประโยชน์ไปซะก่อน
“ไอ้หยางเฉิน !”
เฝิงจื้อหย่วนตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ดวงตาทั้งสองฉายแววแห่งการเข่นฆ่า
เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดที่แห่งนี้ถึงไร้ประโยชน์ไปได้ แต่มันต้องเกี่ยวข้องกับหยางเฉินแน่นอน
เฝิงจื้อหย่วนกัดฟันแน่นและพูดว่า “มันต้องเอาของมีค่าอะไรบางอย่างออกไปจากที่นี่แน่ ที่นี่ถึงได้เป็นแบบนี้”
เช้าวันรุ่งขึ้น หยางเฉินหลังจากผ่านการฝึกฝนมาทั้งคืน ก็ค่อย ๆ หายใจออกอย่างช้า ๆ
แม้จะผ่านการฝึกฝนมาทั้งคืน แต่หยางเฉินก็ไม่ได้รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากด้วยซ้ำ
เขายกข้อมือขึ้นมาดูเวลา จ้องมองไปทางราชวงศ์เฝิง “ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมงก่อนงานราชพิธีจะเริ่ม”
เมื่อมองไปยังด้านล่าง สองข้างทางก็ประดับประดาไปด้วยโฟมไฟ ประตูร้านค้าก็เต็มไปด้วยริบบิ้น
ทั่วทั้วเมืองเฝิงหวงเปลี่ยนไปราวกับเป็นเมืองใหม่
เห็นได้ชัดเลยว่า ภายในเมืองเฝิงหวงผู้คนต่างให้ความสำคัญกับรัชทายาทที่หายตัวไปนานถึงยี่สิบหกปี ไม่อย่างนั้นคงไม่จัดงานยิ่งใหญ่ขนาดนี้
หยางเฉินขมวดคิ้วขึ้น การประโคมข่าวของราชวงศ์เฝิงขนาดนี้ ก็เพื่อไม่ให้หม่าชาวหนีไปไหนได้
สุดท้ายแล้วราชวงศ์เฝิงก็ต้องการมีหน้ามีตาบ้าง การกระจายข่าวของหม่าชาวให้แพร่กระจายไปมากขนาดนี้ จู่ ๆ หม่าชาวหนีไปอย่างกะทันหัน จะไม่เป็นเรื่องอัปยศแก่ราชวงศ์เฝิงหรอกหรือ ?
“ก๊อก ๆ ๆ !”
ทันใดนั้น ประตูห้องก็มีเสียงคนเคาะขึ้น และเป็นเสียงของเฝิงจื้อเอ้าที่พูดขึ้นว่า “คุณหยาง ท่านต้องมาคุยกับข้าก่อน !”
หยางเฉินขมวดคิ้ว เฝิงจื้อเอ้ายังไม่ยอมแพ้อีกหรือ ?
เมื่อประตูเปิดออก เฝิงจื้อเอ้าก็เดินเข้ามาหาหยางเฉินทันที
หยางเฉินนั่งบนโซฟา มองไปยังสองพ่อลูกด้วยสีหน้าเรียบเฉย “องค์ชายใหญ่ ท่านมีเรื่องอะไรจะพูดงั้นหรือ ?”
เมื่อวานที่พบกับหยางเฉิน เขายังเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง แต่ตอนนี้แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเจียอี้เล่าให้ข้าฟังทั้งหมดแล้ว หากข้าคาดเดาไม่ผิด การที่พวกท่านได้เข้าไปในถ้ำภายในห้องลับ เฝิงจื้อหย่วนเองก็คงไม่รู้”
เฝิงจื้อเอ้าพูดด้วยหน้าสงบนิ่ง “หลังจากที่พวกท่านเข้าไปยังในห้องลับก็ถูกคนปิดทางออกเอาไว้ คงมีเพียงคนของเฝิงจื้อหย่วนเท่านั้นที่ทำได้ ถ้าพวกเจ้าสามารถออกมาทางถ้ำด้านล่างห้องลับได้ เฝิงจื้อหย่วนคงต้องโกรธแค้นมากแน่ ๆ”
หยางเฉินพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วจะอย่างไรล่ะ ?”
จริง ๆ แล้วตัวเขาเองก็รู้สึกกังวลเหมือนกัน หลังจากที่เขาหยิบลูกปัดออกมาจากปากซากศพแล้ว ผลจากการฝึกในห้องลับก็หายไป
หากเฝิงจื้อหย่วนรู้เรื่องเข้าล่ะก็ ต้องรู้แน่ว่าเขาได้นำบางสิ่งออกมาด้วย
เฝิงจื้อเอ้าพูด “เจ้ายังไม่เคยเจอกับเฝิงจื้อหย่วนมาก่อน คงไม่รู้ว่าเขาอันตรายแค่ไหน ขนาดข้าเองยังรับรู้ได้ถึงความอันตรายจากเขา”
“ห้องลับแห่งนั้นเป็นสถานที่ฝึกของเขา แต่หลังจากที่เจ้าเข้าไป ผลจากการฝึกฝนก็หายไป เจ้าคิดว่าเฝิงจื้อหย่วนจะทำอะไรกับเจ้าบ้าง ?”
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่ เขาต้องพยายามหาทางจัดการกับเจ้า เพื่อรู้ให้ได้ว่าเจ้าเอาอะไรออกมากันแน่ !”
พูดจบ เฝิงจื้อเอ้าก็จ้องเขม่นไปยังหยางเฉิน
แววตามองหยางเฉินสั่นไหว ในวินาทีนั้นเฝิงจื้อเอ้าก็รับรู้ได้ทันที
เฝิงจื้อเอ้าพูดขึ้น “เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ !”
ดวงตาทั้งสองของหยางเฉินหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าไม่คาดคิดเลยว่า คนของราชวงศ์จะไม่ได้มาคุยขอความร่วมมือ แต่กลับมาจับผิดข้า ?”
เฝิงจื้อเอ้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าต้องการอำนาจของราชวงศ์เฝิง ส่วนเจ้าก็ต้องการให้เพื่อน ๆ และสหายเจ้าออกไปได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าเป้าหมายของพวกเราจะไม่เหมือนกัน แต่ก็สามารถยืนอยู่ฝั่งเดียวกันได้ แน่นอนว่าข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาขอความร่วมมือจากท่าน”
“ที่ข้าพูดแบบนั้นไป ก็เพียงแค่จะมาเตือนท่าน หากข้าเดาถูกว่าท่านนำบางสิ่งออกมาจากถ้ำในห้องลับล่ะก็ เฝิงจื้อหย่วนก็ย่อมเดาได้เช่นกัน”
“หรือจะให้พูดก็คือ เขาไม่ได้ทางปล่อยท่านไว้แน่ ยังไงซะพวกท่านก็ต้องอยู่ฝั่งตรงข้ามกันสักวัน ในกรณีนี้ พวกเรายังเหลือโอกาสให้ร่วมมือกันได้อีกมาก”
“อย่าลืมซะล่ะ ที่นี่คือเมืองเฝิงหวง เหลือเพียงแค่ท่านร่วมมือกับข้าเท่านั้น จึงจะสามารถต่อกรกับเฝิงจื้อหย่วนได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ท่านคงไม่สามารถต่อกรกับเฝิงจื้อหย่วนและช่วยคนของท่านออกไปได้แน่”
“ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมง ก่อนจะถึงเวลางานราชพิธีของสหายท่าน ท่านต้องการร่วมมือกับข้าหรือไม่ ยังไงก็ลองคิดดูก่อนเถอะ”