The king of War - บทที่ 1605 การต้อนรับของเมืองเหมียว
บทที่ 1605 การต้อนรับของเมืองเหมียว
เฝิงเสียวหว่านส่ายหน้าแล้ว พูดแบบท่าทางกังวล “แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยพบเจอคนไข้ที่สูญเสียจิตสำนึก เพราะสิ่งของจากภายนอกตัวมาก่อน แต่ว่าฉันจะพยายามค้นหาวิธีรักษาพี่หม่าให้หายดี”
แม้แต่เฝิงเสียวหว่าน ยังไม่มีวิธีเหรอ?
หยางเฉินบอกว่า “ช่วงเวลานี้ พวกเราคิดวิธีตามหาต้นหญ้าคืนจิต ไม่ว่าอย่างไร จำเป็นต้องทำให้อาการป่วยของหม่าชาวคงที่ลงมาก่อน”
เฝิงเสียวหว่านพยักหน้า เอ่ยปากบอก “แต่ว่าด้วยประสิทธิผลของต้นหญ้าคืนจิต เป็นไปได้จริงว่าพี่หม่าจะฟื้นฟูจิตสำนึกกลับมาได้ ช่วงเวลานี้ ฉันจะแก้ไขปัญหาของทางด้านนี้โดยเฉพาะสักหน่อย ต่อให้ฟื้นจิตสำนึกของพี่หม่ากลับมาในทันทีไม่ได้ อย่างน้อยต้องรักษาจิตสำนึกที่เหลือของเขาไม่ให้โดนกลืนกิน”
พูดจบ หล่อนมองทางอ้ายหลินพูดว่า “พี่อ้าย พี่อย่ากังวลเกินไปเลย มีพี่หยางอยู่ทั้งคน จะไม่ทำให้พี่หม่าเกิดอะไรขึ้นแน่”
หยางเฉินรีบพูดขึ้นเช่นกัน “เสียวหว่านพูดถูก ฉันจะไม่ให้หม่าชาวเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน อีกอย่าง ท่านผู้อาวุโสตี้เทียนลงมือควบคุมลูกแก้วดูดเลือดในร่างกายของหม่าชาวไว้แล้ว ภายในช่วงสั้นๆ หม่าชาวจะต้องไม่มีอันตรายถึงชีวิตหรอก”
อ้ายหลินฝืนยิ้ม “พวกนายวางใจได้เลย ฉันไม่เป็นไร”
คนรักของตนเองสูญเสียจิตสำนึกไป เธอยังไม่ได้อยู่ข้างกายอีก เธอจะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร?
ในเวลานี้เอง เหมียวหงคนนั้นที่พาหยางเฉินมากก่อนหน้านี้ เดินเข้ามาแล้ว เอ่ยปากพูดว่า “คุณหยาง เจ้าเมืองขอเชิญครับ!”
หลังจากหยางเฉินเจอกับอ้ายหลินและเฝิงเสียวหว่าน สนใจแต่พูดคุยเรื่องเก่ากันอยู่ ลืมแม้กระทั่งสาเหตุที่มาที่นี่ไปเลย
เขามองทางอ้ายหลินและเฝิงเสียวหว่านบอกว่า “พวกเธอรออยู่ก่อน ฉันจะไปเจอเจ้าเมืองสักหน่อย”
ภายใต้การนำทางของเหมียวหง ไม่นาน หยางเฉินมาถึงด้านข้างลำธารสายหนึ่ง ภาพด้านหลังของคนคนหนึ่งที่สวมชุดสามัญชนโบราณ และใส่งอบบนศีรษะ กำลังนั่งอยู่ข้างลำธาร ในมือยังถือเบ็ดตกปลาไว้
ภาพลักษณ์นี้ ทำให้หยางเฉินนึกถึงบุคคลในตำนานโบราณคนหนึ่งขึ้นกะทันหัน เจียงไท่กง(นักยุทธศาสตร์ทางทหาร)
เจียงไท่กงตกปลา ให้ผู้สมัครใจมาติดเบ็ด
“เจ้าเมืองครับ คุณหยางมาแล้วครับ!”
เหมียวหงยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโส พูดจาแบบเคารพนับถือ
เป็นเจ้าเมืองของเมืองเหมียวตามคาด ในใจหยางเฉินแอบตกใจอยู่บ้าง
เดิมคิดว่า เจ้าเมืองของเมืองเหมียว จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่เผด็จการอย่างยิ่งคนหนึ่ง กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้อาวุโสที่สวมชุดสามัญชนโบราณ และแค่ใส่งอบ
“มาแล้ว!”
ผู้อาวุโสวางเบ็ดลง หัวเราะแล้วลุกขึ้น มองทางหยางเฉินด้วยรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน
จากบนตัวของอีกฝ่าย หยางเฉินสัมผัสกลิ่นอายวิถีบู๊ไม่ได้สักนิดเดียว ราวกับว่าคนที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่คือผู้อาวุโสอายุหกสิบเจ็ดสิบปีคนหนึ่ง และไม่ใช่เจ้าเมืองของเมืองเหมียวที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้นำของตระกูลบู๊โบราณ
หยางเฉินรีบแสดงความเคารพทันที พูดว่า “สวัสดีครับเจ้าเมืองเหมียว!”
ไม่ว่าอย่างไร เจ้าเมืองเหมียวก็เป็นบุคคลรุ่นใหญ่กว่า ไม่ว่าเป็นศัตรูหรือมิตร จะเสียมารยาทไม่ได้
เจ้าเมืองเหมียวพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้น เหมือนกำลังมองลูกหลานของตนเอง
ท่าทางรักและเมตตา หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่เลวเลย
อายุน้อยกว่าสามสิบปี ก็ฝึกฝนจนมาถึงระดับของแดนเหนือมนุษย์ขั้นหกได้ แม้เป็นบูโดอัจฉริยะพวกนั้นของตระกูลบู๊โบราณ ก็ไม่เป็นเช่นนี้”
หยางเฉินรีบพูดทันที “เจ้าเมืองเหมียวชมเกินไปแล้วครับ!”
“นั่งสิ!”
เจ้าเมืองเหมียวชี้ไปยังก้อนหินด้านข้าง หัวเราะอยู่บอกว่า
อย่าได้ถือสา”
“ฉันเรียบง่ายจนเคยชินแล้ว ต้อนรับนายตรงนี้แล้วกัน
หยางเฉินหัวเราะแล้ว “เจ้าเมืองเหมียวเชื้อเชิญ เป็นเกียรติของผมครับ ผมจะถือสาได้อย่างไร?”
พูดจบ เขานั่งลงบนก้อนหินด้านข้างอย่างไม่สนใจสักนิดเดียว
เจ้าเมืองเหมียวก็นั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่งเช่นกัน หยิบขวดน้ำเต้าอันหนึ่งออกมา ยังหยิบแก้วเหล้าสองใบมาด้วย
เทด้วยตนเองสองแก้วเลย จากนั้นนำแก้วหนึ่งในนั้นยื่นให้หยางเฉิน ยิ้มแล้วพูดว่า “มีจะมีสุขใดเท่ากับมีเพื่อนมาเยือนจากแดนไกล?
มา ดื่มเหล้า!”
หยางเฉินรีบใช้สองมือรีบแก้วเหล้าเข้ามา
หัวเราะบอกไปว่า “ผมดื่มให้ท่านแก้วหนึ่งครับ! ขอขอบคุณในช่วงระยะเวลานี้
ที่ท่านดูแลเพื่อนผมครับ”
เจ้าเมืองเหมียวหัวเราะแล้ว “ไม่เป็นไร!”
พูดจบ เขายกแก้วเหล้าขึ้น
หัวเราะแล้วบอกว่า “คนที่อยากดื่มเหล้าของฉันมีมากมาย แต่ว่าดื่มได้จริงๆ มีจำนวนไม่มากหรอก”
ดื่มหมดในทีเดียว ยังทำท่าทางว่ายังพูดไม่จบหมด
พอได้ยิน ในใจหยางเฉินแอบตื่นตกใจ
เจ้าเมืองเหมียวหัวเราะพูดว่า “นายลองดูสิ เหล้านี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
หยางเฉินรีบยกแก้วเหล้าขึ้นทันที ดื่มทีเดียวหมด
เหล้าลงลำคอ
ลักษณะพลังอันคลุ้มคลั่งส่วนหนึ่ง ระเบิดออกมาจากภายในร่างกาย
กลายเป็นความอบอุ่น เข้าสู่ท้องโดยตรง ชั่วพริบตาเดียว
หยางเฉินรีบใช้ตำราเทพสงครามทันใด ถึงหยุดกลิ่นอายอันคลุ้มคลั่งส่วนนั้นลงไปได้
หลังจากเขาใช้ตำราเทพสงครามต่อ เหล้าราวเป็นชี่ทิพย์อันบริสุทธิ์ที่สุด
ถูกร่างกายของหยางเฉินดูดซึมกลั่นกรองแล้ว
แต่ทว่า นี่เป็นเพียงการฝึกฝนครู่เดี๋ยวเอง และไม่ได้ดูดซึมกลั่นเหล้าทั้งหมดจนบริสุทธิ์
เจ้าเมืองเหมียวยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่ต้องสนใจฉัน ถือโอกาสตอนที่ประสิทธิผลของเหล้ายังอยู่ รีบฝึกฝนดูดซึมเร็วเข้า”
เจ้าเมืองเหมียวพูดมาขนาดนี้แล้ว
หยางเฉินก็ไม่โต้เถียงเช่นกัน นั่งขัดสมาธิโดยตรง ใช้ตำราเทพสงครามขึ้นมา เลือดลมในร่างกายเดือดพล่าน ชี่ทิพย์ในเหล้า
ถูกร่างกายดูดซึมกลั่นจนบริสุทธิ์
หยางเฉินไม่รู้ว่าตนเองฝึกฝนไปนานเท่าไร รอหลังจากเขาหยุดการฝึกฝน ท้องฟ้าก็มืดลงพอสมควร
ส่วนเจ้าเมืองเหมียวไม่อยู่แล้ว
ห่างไปไม่ไกลนัก เหมียวหงกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนว่ากำลังรอคอยหยางเฉิน
“เจ้าเมืองเหมียวล่ะ?”
หยางเฉินลุกขึ้น เดินไปข้างกายเหมียวหง เอ่ยปากถามขึ้น
เหมียวหงตอบว่า “ทุกวันเจ้าเมืองจะมาตกปลาที่นี่เพียงสองชั่วโมงครับ เขาออกไปแล้ว ให้ผมส่งคุณหยางกลับไปครับ”
ในใจหยางเฉินสงสัยอยู่บ้างเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่า สรุปเจ้าเมืองเหมียวเป็นคนแบบไหนกันแน่ มักจะรู้สึกแปลกมากๆ
โดยเฉพาะบนตัวของเจ้าเมืองเหมียว เขาสัมผัสความเป็นศัตรูต่อตนเองไม่ได้สักนิด ในทางกลับกัน มีความรู้สึกใกล้ชิดอย่างมาก
ถ้าไม่ใช่รู้ว่าตนเองครอบครองสายเลือดคลั่ง เขาคงสงสัยว่าเจ้าเมืองเหมียวเป็นปู่ของตนเองหรือเปล่าไปแล้ว
ก่อนหน้าที่จะดื่มเหล้าแก้วนั้น คาดไม่ถึงทำให้แดนวิถีบู๊ของหยางเฉินซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงมานานมาก มีการพัฒนาขึ้นไม่น้อย นี่ทำให้เขาตื่นตกใจมากๆ เพียงแค่เหล้าแก้วเดียว คาดไม่ถึงเทียบเท่ากับผลการฝึกฝนของเขาในหนึ่งเดือน ค่อนข้างเหนือจริงอยู่บ้างแล้วหรือเปล่า?
ไม่นาน เหมียวหงพาหยางเฉินกลับมาส่งยังที่พักของอ้ายหลินกับเฝิงเสียวหว่านแล้ว
เห็นหยางเฉินกลับมา สองสาวต่างทำท่าทางกังวล
เฝิงเสียวหว่านเข้ามา ถามด้วยหน้าตาเป็นห่วง “พี่หยาง พี่ไม่เป็นอะไรนะ?”
หยางเฉินส่ายหน้าเล็กน้อย หัวเราะบอกว่า “ฉันไม่เป็นไร”
เฝิงเสียวหว่านพูดว่า “ไม่เป็นไรก็ดี พี่ออกไปนานขนาดนั้น ฉันกับพี่อ้ายยังคิดว่าพี่เจอเรื่องเดือดร้อนที่นั่นเสียอีก”
หยางเฉินถามว่า “พวกเธอรู้หรือเปล่าว่าเจ้าเมืองเหมียวเป็นคนแบบไหนกัน?”
ถึงแม้เขาจะมีความรู้สึกใกล้ชิดอย่างแรงกล้าต่อเจ้าเมืองเหมียว แต่ว่าโดยเฉพาะทั้งสองคนเพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก นอกจากเขาถูกเจ้าเมืองเหมียวส่งคนไปรับตัวเข้ามาแล้ว เจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว เขาก็ไม่รู้ชัดว่าเจ้าเมืองเหมียวเป็นคนอย่างไร
เฝิงเสียวหว่านและอ้ายหลินต่างตะลึง อ้ายหลินตอบว่า “แต่แต่เริ่มแรกที่ฉันกับเสียวหว่านมาที่นี่ ก็ไม่เคยออกไปไหน รู้แค่ว่าที่นี่คือคฤหาสน์เมืองเหมียว สำหรับเจ้าเมืองเหมียวที่นายพูดถึง พวกเราไม่เคยเจอ”
เฝิงเสียวหว่านก็บอกว่า “ฉันกับพี่อ้ายอยู่แต่ที่นี่ทั้งวัน ไม่รู้จักคนอื่นเลยด้วย”
ชั่วขณะนั้นหยางเฉินครุ่นคิดขึ้นมาแล้ว เฝิงเสียวหว่านกับอ้ายหลินล้วนมาคฤหาสน์เมืองเหมียวนานขนาดนี้ แม้แต่เจ้าเมืองเหมียวยังไม่เคยเจอหน้า เขาเพิ่งมาถึงเมืองเหมียว ดันถูกเจ้าเมืองเหมียวเชื้อเชิญไปพบหน้า
และเจ้าเมืองเหมียวเพียงแค่ชวนเขาดื่มเหล้าแก้วหนึ่ง จากนั้นไม่เจอตัวแล้ว เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าเมืองเหมียวเชิญเขามาที่คฤหาสน์เมืองเหมียวมีเป้าหมายอะไร