The king of War - บทที่ 1689 ช่วยตระกูลติง
บทที่ 1689 ช่วยตระกูลติง
ดวงตาของเจ้าเมืองมู่หรี่ลงเล็กน้อย จ้องหวยเจิ่นอยู่สักพัก
แล้วก็ยิ้มเยาะออกมา “ทำไม? จวนเมืองหวยเฉิงของพวกนายคิดว่า
คนที่พวกนายกำลังไล่ฆ่า อยู่ในจวนมู่ของฉันงั้นหรอ?”
หวยเจิ่นเอ่ยปากพูดว่า “รถของหยางเฉินพวกมัน
คนที่สามารถทำให้พวกหยางเฉินหายตัวไปได้ คงจะมีแค่จวนมู่มั้งครับ?”
หายไปในเขตพื้นที่ของจวนมู่ มองดูทั่วเมืองซ่านเฉิงแล้ว
เจ้าเมืองมู่จ้องหวยเจิ่นแล้วพูดว่า “นายกำลังสงสัยฉัน?”
ทันใดนั้น พลังที่รุนแรงอย่างหนึ่ง ได้แผ่กระจายออกมาจากตัวของเจ้าเมืองมู่ แล้วขยายเข้าไปกดดันหวยเจิ่น
วินาทีนี้ หวยเจิ่นรู้สึกว่าบนบ่าทั้งสองข้างของเขา มีภูเขาลูกใหญ่มหาศาลทับไว้ เหมือนกับว่าต้องการจะกดทับเขาให้ล้มลงกับพื้น
หวยเจิ่นไม่กล้าประมาท พลังบูโดในร่างกายกระจายออกมาในทันที เพื่อลองต่อต้านการกดดันพลังบูโดของเจ้าเมืองมู่
เพียงแต่ เมื่อเขาได้ใช้พลังบูโดมากถึงขีดสุดแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความกดดันที่มาจากเจ้าเมืองมู่ สีหน้าของหวยเจิ่นก็ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างตกใจ
จนกระทั่งวินาทีนี้ เขาเพิ่งคิดได้ว่า ตาแก่ที่นั่งอยู่บนรถเข็นตรงหน้าคนนี้ ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น
แค่เพียงพลังบูโดที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเจ้าเมืองมู่ ก็พอคาดเดาได้แล้วว่า
พลังของเจ้าเมืองมู่เองก็น่าจะอยู่ในระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้า ส่วนอยู่ในระดับไหนของแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้า
ก็ไม่สามารถคาดเดาได้แล้ว
จู่ๆหวยเจิ่นก็คิดขึ้นได้ว่า ถ้าหากสองขาของเจ้าเมืองมู่ฟื้นฟูดีขึ้นแล้ว อย่างนั้นพลังก็จะมากขึ้นอีกไม่ใช่หรือไง?
ในตอนนี้ ถึงแม้พลังของจวนมู่จะเทียบไม่ได้กับจวนเมืองหวยเฉิง แต่จวนเมืองหวยเฉิง ก็ไม่กล้าที่จะทำสงครามกับจวนมู่
“เจ้าเมืองมู่
ท่านเข้าใจผิดแล้วครับ กระผมก็แค่คลาดสายตาจากหยางเฉินในเขตอำนาจปกครองของจวนมู่ ดังนั้นจึงอยากจะมาสอบถามก็เท่านั้น
จะกล้าสงสัยท่านได้ยังไงกันละครับ?”
หวยเจิ่นรีบเอ่ยปากพูด และเมื่อหันไปมองเจ้าเมืองมู่อีกครั้ง ความหยิ่งทะนงในสายตาได้หายไป กลายเป็นความหวาดกลัวแทนที่
เขารู้ดี ว่าถ้าหากเจ้าเมืองมู่อยากจะเก็บตัวเขาไว้ ใครก็ไม่สามารถมาช่วยเขาได้
เจ้าเมืองมู่พูดด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “ถ้าหากไม่มีธุระอะไรอย่างอื่น ก็เชิญกลับไปซะเถอะ!”
หวยเจิ่นโค้งคำนับทำความเคารพ แล้วเอ่ยปากพูดว่า “อย่างนั้นกระผมขอลาครับ!”
พูดจบ เขาก็หันหลังจากไป
มองดูแผ่นหลังของเขาที่จากไป เบื้องลึกในแววตาของเจ้าเมืองมู่มีความคมเข้มแวบเข้ามา
เจ้าเมืองมู่ออกคำสั่งว่า
“ออกคำสั่งลงไป ว่าให้ผู้แข็งแกร่งของทีมพิทักษ์เงาเพชฌฆาต จับตามองผู้แข็งแกร่งของจวนเมืองหวยเฉิงที่เข้ามาในเมืองซ่านเฉิงไว้
ถ้าหากพวกมันมีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ให้มารายงานฉันทันที”
ผู้แข็งแกร่งเพ้าดำที่ซ่อนอยู่ในมุมลับ
ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าเมืองมู่ แล้วโค้งคำนับพูดว่า
“ครับ ท่านเจ้าเมือง!”
หลังจากที่หวยเจิ่นออกมาจากจวนมู่แล้ว สีหน้าก็มืดมนอย่างที่สุด เขาเหลือบมองไปทางจวนมู่
หรี่ตาพูดว่า “หยางเฉินต้องอยู่ในจวนมู่แน่นอน จวนมู่ช่างไม่กลัวตายจริงๆ
ถึงได้กล้าเป็นศัตรูกับจวนเมืองหวยเฉิงของเรา”
ผู้แข็งแกร่งของจวนเมืองหวยเฉิงคนหนึ่ง เอ่ยปากพูดว่า “เจ้านายครับ
พวกเราพาผู้แข็งแกร่งระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นแปดชั้นยอดมาถึงห้าคนเพื่อไล่ฆ่าหยางเฉิน เพียงแค่คุณมั่นใจว่าหยางเฉินอยู่ในจวนมู่
พวกเราก็บุกเข้าไปเลยครับ ผมไม่เชื่อหรอกว่าจวนมู่จะสามารถขวางพวกเราไว้ได้”
หวยเจิ่นขมวดคิ้ว มองไปที่อีกฝ่าย
เพียงแค่แรงกดดันพลังบูโดที่เจ้าเมืองมู่แผ่กระจายออกมาเมื่อกี้ ก็เทียบเท่ากับระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าแล้ว”
พูดเสียงเย็นชาว่า “นายคิดว่าจวนมู่ธรรมดาขนาดนั้นจริงหรอ?
“นายรู้ไหมว่าพลังของผู้แข็งแกร่งระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้ามันน่ากลัวมากขนาดไหน?
พูดได้ว่า สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าแล้ว พวกที่อยู่ใต้ล่างระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้า
ก็เหมือนกับพวกมด”
“หากพวกเรากล้าบุกเข้าไปในจวนมู่ ถึงแม้จะมีผู้แข็งแกร่งระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นแปดชั้นยอดมากแค่ไหน ก็คงถูกเจ้าเมืองมู่เพียงคนเดียวฆ่าทิ้งจนหมด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้แข็งแกร่งคนนั้นสะดุ้ง พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า
“แล้วพวกเราจะปล่อยไปอย่างนี้งั้นหรือครับ?
ท่านผู้นำได้ออกคำสั่งตายไว้แล้วนะครับ ว่าให้พวกเราต้องพาตัวหยางเฉินกลับไปให้ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นศพก็ได้ทั้งนั้นครับ”
“ตอนนี้ หยางเฉินอยู่ในจวนมู่ แล้วเจ้าเมืองมู่ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ยอมส่งตัวให้กับเรา พวกเราควรจะทำยังไงดีครับ?”
หวยเจิ่นเงียบไปสักพัก แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ไปบ้านตระกูลติงเมืองซ่านเฉิง!”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง หวยเจิ่นก็มาถึงบ้านตระกูลติงเมืองซ่านเฉิง
ตระกูลติง ผู้นำติงอู่ ต้อนรับหวยเจิ่นด้วยตัวเอง
ติงอู่หันไปมองหวยเจิ่นด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ที่แท้ก็นายน้อยเมืองหวยเฉิงนี่เอง ไม่ทราบว่านายน้อยมีเวลาว่างมาที่บ้านตระกูลติงของผมได้ยังไงกันครับ?”
หวยเจิ่นยิ้มเล็กน้อย หันไปมองติงอู่แล้วพูดว่า
อยากจะมาหาผู้อาวุโสติงชางเพื่อแก้ปัญหาครับ”
“ผู้นำติง ผมมาบ้านตระกูลติง เพราะมีเรื่องอย่างหนึ่ง
“ฮืม?”
ติงอู่เอ่ยปากพูดว่า “ไม่ทราบว่าน้องชายคนนั้นของผม มีอะไรที่จะสามารถช่วยนายน้อยเมืองหวยเฉิงแก้ปัญหาได้หรือครับ?“
หวยเจิ่นยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบหนึ่งคำ เมื่อวางแก้วน้ำชาลงแล้ว
ผมคนนี้ไม่ชอบอ้อมค้อม อย่างนั้นก็ขอพูดกับผู้นำติงตรงๆเลยแล้วกันนะครับ”
ก็หันไปมองติงอู่ และพูดว่า “ผู้นำติง
ติงอู่พูดยิ้มๆว่า “เชิญพูดครับ!”
หวยเจิ่นพูดว่า
พากลุ่มผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งไล่ฆ่าหยางเฉิน แต่ปรากฏว่าจู่ๆมู่ฮว๋าก็ยอมแพ้ที่จะไล่ฆ่าหยางเฉิน เหลือเพียงผู้อาวุโสติงชางที่ต่อสู้กับพวกหยางเฉินครับ”
“ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน ผู้อาวุโสติงชางและมู่ฮว๋าของจวนมู่
“ผู้อาวุโสติงชางเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นแปดชั้นยอด และเดิมก็ได้ฝึกฝนเคล็ดลับครอบระฆังทองของตระกูลติงด้วย ถึงแม้ผู้แข็งแกร่งระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นต้น บางทีก็อาจจะสู้อะไรเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ส่วนทางด้านหยางเฉิน หยางเฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสติงชาง
มีเพียงแค่เหมียวจิ่วคนเดียวที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นแปดชั้นยอด แต่ก่อนหน้านั้น เขาได้ถูกพ่อของผมทำร้ายบาดเจ็บสาหัสมาก่อน
ดังนั้น พวกเขาไม่มีทางทำให้ผู้อาวุโสติงชางยอมแพ้ต่อการไล่ฆ่าได้”
“วันนี้ที่ผมมา ก็เพื่ออยากจะมาสอบถามกับผู้อาวุโสติงชาง ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมจู่ๆถึงได้ยกเลิกการไล่ฆ่าหยางเฉินครับ”
เมื่อฟังคำพูดของหวยเจิ่นแล้ว ติงอู่ก็นิ่งเงียบทันที เขาไม่พูดอะไรสักคำ แต่ในใจกลับกำลังคาดเดาความหมายประโยคนี้ของหวยเจิ่นอยู่
ผ่านไปนานสักพัก ติงอู่ถึงได้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อยเมืองหวยเฉิงกำลังสงสัยว่าคนที่จวนเมืองหวยเฉิงของคุณกำลังไล่ฆ่า อยู่ในบ้านของผม?”
หวยเจิ่นส่ายหัว
“พวกเขาไม่ได้อยู่บ้านตระกูลติงครับ!ผมก็แค่อยากรู้ว่าจากพลังของผู้อาวุโสติงชางแล้ว ถ้าหากคิดอยากจะรั้งตัวหยางเฉินพวกมันไว้นั้นไม่ยากเลย แต่ผมกลับได้ยินมาว่า
ผู้อาวุโสติงชางพ่ายแพ้กลับมายังตระกูลติง”
ติงอู่จ้องหวยเจิ่นด้วยรอยยิ้ม และพูดว่า
หลังจากที่ติงชางออกจากบ้านไปก็ไม่เคยกลับมาอีก ถ้าหากไม่ใช่ว่านายน้อยเมืองหวยเฉิงมาบอกเรื่องนี้กับผม ผมก็คงไม่รู้เรื่องพวกนี้ที่คุณเล่ามา”
“เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ครับ
หวยเจิ่นไม่พูดอะไร ติงอู่ไม่ให้ติงชางออกมา เขาก็คงไม่สามารถจะนำคนมาค้นบ้านตระกูลติงได้หรอกนะ?
ผ่านไปสักพัก
จู่ๆหวยเจิ่นก็ลุกขึ้น พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสติงชางยังไม่กลับมา อย่างนั้นผมก็ขอตัวกลับก่อนละครับ ถ้าหากว่าผู้อาวุโสติงชางกลับมาแล้ว
รบกวนผู้นำติงแจ้งผมให้ทราบสักหน่อยนะครับ ถึงตอนนั้นผมค่อยมาเยี่ยมอีกครั้ง”
พูดจบ เขาก็หันหลังจากไป
ติงอู่ลุกขึ้นไปส่งด้วยตัวเอง จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลติง จู่ๆหวยเจิ่นก็หยุดเดิน
หันไปมองติงอู่ แล้วพูดยิ้มๆว่า “ตามกำลังของตระกูลติงแล้ว ตระกูลติงอยู่ในพื้นที่เพียงหนึ่งส่วนสามเอเคอร์แบบนี้
ผมรู้สึกว่าช่างไม่เป็นธรรมต่อตระกูลติงจริงๆเลยครับ”
ติงอู่อึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็พูดยิ้มๆว่า “นายน้อยเมืองหวยเฉิงพูดเกินไปแล้วครับ
เมืองซ่านเฉิงเป็นพื้นที่ของเจ้าเมืองมู่
พวกเรามีชีวิตรอดอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของเจ้าเมืองมู่ รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว ไม่ได้ไม่เป็นธรรมหรือน่าน้อยใจอะไรครับ”
หวยเจิ่นยิ้มแย้มจ้องมองติงอู่ แล้วพูดว่า “ผมคิดว่า
ก็ยังไม่เป็นธรรมต่อตระกูลติงอยู่ดี ถ้าหากว่าตระกูลติงมีเรื่องอะไรให้จวนเมืองหวยเฉิงช่วย
สามารถบอกได้เลยครับ บางทีอาจจะมีอะไรที่จวนเมืองหวยเฉิงพอจะช่วยตระกูลติงได้บ้าง”