The king of War - บทที่ 1704 ทำลายจวนมู่ก่อน
หยางเฉินยิ้มขมขื่น “ตามกำลังของผมในตอนนี้แล้ว ไม่สามารถข่มขู่อะไรเขาได้”
เจ้าเมืองมู่พยักหน้า “เพียงแค่ในมือของนายไม่มีของอาถรรพ์ก็โอเคแล้ว เพราะตามกำลังของนายในตอนนี้ ถ้าหากข่าวเรื่องมีของอาถรรพ์แพร่ออกไปสถานการณ์ของนายจะอันตรายอย่างมาก”
“ฉันเองก็รู้ดี ว่าตอนนี้นายยังไม่สามารถเชื่อใจฉันได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นหลายเรื่องจึงไม่เต็มใจที่จะบอกความจริงกับฉัน แต่ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจได้”
“ฉันเรียกนายมา นายว่านายมีมีดพกอาถรรพ์หรือไม่ ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวนายเอง และอยากจะช่วยนายจัดการปัญหา ไม่ได้คิดจะโลภต่อสิ่งของของนายแน่นอน”
“เอาละ สิ่งที่ควรรู้ฉันก็ได้รู้แล้ว นายกลับไปก่อนเถอะ!“
หยางเฉินก้มหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็จากไป
จนกระทั่งออกมาจากที่พักของเจ้าเมืองมู่แล้ว หยางเฉินถึงได้โล่งใจ ไม่ว่าเจ้าเมืองมู่จะพูดจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยตอนนี้ เจ้าเมืองมู่ไม่มีความคิดชั่วร้ายต่อเขา
หยางเฉินเพิ่งจากไป ผู้แข็งแกร่งเพ้าดำลึกลับคนหนึ่งก็เดินออกมา หันไปมองเจ้าเมืองมู่แล้วพูดว่า “ท่านเชื่อคำพูดของเจ้านั่นจริงๆหรือครับ?”
เจ้าเมืองมู่ส่ายหน้า “ในมือเขา มีมีดพกอาถรรพ์เล่มหนึ่งอยู่จริงๆ!”
ผู้แข็งแกร่งเพ้าดำลึกลับถามว่า “ในเมื่อคุณรู้แล้ว ยังปล่อยเขาไปอีก? หรือว่าคุณไม่หวั่นไหวงั้นหรือครับ?”
เจ้าเมืองมู่ยิ้ม มองไปที่อีกฝ่าย “บอกว่าไม่หวั่นไหว นั่นมันก็ปลอม!เพียงแต่ ถึงฉันจะหวั่นไหว แล้วยังไง? หรือว่า ยังต้องไปแย่งสิ่งของของรุ่นหลังอีกงั้นหรอ?”
“อีกอย่าง ตามพรสวรรค์ด้านบูโดที่เจ้าหนุ่มคนนี้แสดงออกมาให้เห็น ถ้าบอกว่าเบื้องหลังของเขาไม่มีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งอย่างมาก นายเชื่อมั้ย?”
“ฉันรับประกันได้ว่า ถ้าหากฉันแย่งของอาถรรพ์ของเขามาแล้ว เขาจะต้องสู้กับฉันจนตาย และเมื่อล่อผู้พิทักษ์เบื้องหลังของเขาออกมาแล้ว เพียงแค่จวนมู่ ไม่ามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้หรอก”
ผู้แข็งแกร่งเพ้าดำลึกลับพยักหน้าเล็กน้อย “เพียงระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นเจ็ดก็สามารถบรรลุพลังแห่งธาตุน้ำ พรสวรรค์ด้านบูโดช่างโดดเด่นมากจริงๆครับ”
“มีของอาถรรพ์ในครอบครอง แล้วยังบรรลุพลังแห่งธาตุน้ำ ช่างทำให้คนอิจฉาริษยาจริงๆ!”
เจ้าเมืองมู่หัวเราะ “ยังมีรุ่นหลังที่ทำให้นายรู้สึกอิจฉาริษยาได้ด้วยงั้นหรอ?”
พูดจบ เขาก็หุบยิ้ม พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ถึงแม้เจ้าหนุ่มนี้จะปิดบังเรื่องมีดพกอาถรรพ์ แต่เรื่องที่เขาเล่าเมื่อกี้ น่าจะไม่ได้โกหกฉัน”
“ก็หมายความว่า ที่เจ้าเมืองหวยเฉิงส่งคนไล่ฆ่าเขา ก็เพราะหวาดกลัวพรสวรรค์ด้านบูโดของเขา เพียงแค่ฆ่าหยางเฉินทิ้ง เจ้าเมืองหวยเฉิงถึงจะสบายใจ”
“อีกอย่าง ถ้าหากเจ้าเมืองหวยเฉิงรู้ว่าในมือหยางเฉินมีมีดพกอาถรรพ์ คงจะมาไล่ฆ่าด้วยตัวเองตั้งนานแล้ว”
ผู้แข็งแกร่งเพ้าดำพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ครับ ของอาถรรพ์ชิ้นหนึ่งมีแรงดึงดูดมากจริงๆ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดยังโลภ”
“ในเมื่อเจ้าเมืองหวยเฉิงไม่รู้ นั่นก็หมายความว่า คนที่รู้เรื่องนี้ มีแค่ตระกูลติง ตอนนี้ติงชางได้ถูกผมฆ่าทิ้งแล้ว อย่างนั้นคนที่รู้เรื่องนี้ ก็น่าจะมีแค่ติงอู่แล้วครับ”
ผู้แข็งแกร่งเพ้าดำไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือนักดาบเงาเพชฌฆาตที่ปรากฏตัวที่บ้านตระกูลติง และฆ่าติงชาง
เจ้าเมืองมู่พยักหน้า หรี่ตาพูดว่า “ดูแล้ว คงต้องคิดหาวิธีจัดการติงอู่คนนี้ทิ้ง ไม่อย่างนั้นหากเรื่องที่หยางเฉินมีของอาถรรพ์แพร่ออกไป จวนมู่ก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีในทันทีแน่นอน!”
“ถ้าถึงตอนนี้จริงๆ ถึงฉันจะอยากปกป้องหยางเฉินไว้ ก็คงจะปกป้องไม่ไหวแล้วละ”
นักดาบเงาเพชฌฆาตหรี่ตาพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมไปบ้านตระกูลติงอีกครั้ง ฆ่าติงอู่ทิ้งซะ ข่าวนี้ ก็จะไม่มีคนเผยแพร่ออกไปแล้วครับ”
เจ้าเมืองมู่ส่ายหัว “ติงอู่เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นกลาง บวกกับเคล็ดลับครอบระฆังทองของตระกูลติง แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นปลายก็ฆ่าเขาได้ยากมาก”
นักดาบเงาเพชฌฆาตพูดว่า “ตอนนี้ติงชางได้ถูกผมฆ่าแล้ว ถ้าหากว่าติงอู่จงใจเผยแพร่เรื่องที่หยางเฉินมีของอาถรรพ์ เพื่อต้องการจัดการกับจวนมู่ละครับ?”
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเจ้าเมืองมู่เองก็กังวลขึ้นมา
เจ้าเมืองมู่เงียบอยู่นาน แล้วทันใดนั้นก็เอ่ยปากพูดว่า “ดูแล้ว ฉันต้องไปบ้านตระกูลติงด้วยตัวเองแล้วละ!”
นักดาบเงาเพชฌฆาตรีบพูดว่า “ห้ามเด็ดขาดเลยครับ!ท่านเป็นผู้นำจวนมู่ เมื่อไปบ้านตระกูลติงด้วยตัวเอง หากสามารถฆ่าติงอู่ทิ้งก็ยังดี แต่เมื่อเขามีชีวิตรอดจากไป แล้วหมดหนทาง เขาต้องเผยแพร่เรื่องที่หยางเฉินมีของอาถรรพ์แน่นอนครับ”
“ตอนนี้ เพียงแค่ตระกูลติงยังมีความหวัง ติงอู่น่าจะไม่เผยแพร่ออกไป ยังไงซะมีดพกอาถรรพ์เล่มหนึ่ง ติงอู่จะยอมปล่อยทิ้งไปง่ายๆได้ยังไงกันละครับ?”
เจ้าเมืองมู่หรี่ตาพูดว่า “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นแล้วกัน!”
เวลานี้ หยางเฉินได้กลับถึงที่พักที่จวนมู่จัดเตรียมไว้ให้แล้ว
“พี่หยาง ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ?”
เมื่อเห็นหยางเฉินกลับมา เฝิงเสียวหว่านและหวยหลันก็รีบเข้าไปหา สีหน้าเป็นกังวล
เหล่าจิ่วเองก็มองหยางเฉินด้วยความกังวล
หยางเฉินส่ายหน้า พูดว่า “วางใจได้ ฉันไม่เป็นไร!”
เหล่าจิ่วถามอย่างสงสัย “ใช่เพราะเรื่องมีดพกอาถรรพ์หรือเปล่า?”
หยางเฉินไม่ได้ปิดบัง พยักหน้า แล้วเล่าเรื่องที่คุยกับเจ้าเมืองมู่เมื่อกี้ให้ฟังอีกรอบ
ฟังเขาพูดจบ แต่ละคนสีหน้าเคร่งเครียด
หวยหลันพูดว่า “พี่หยาง คาดว่าเจ้าเมืองมู่น่าจะรู้แล้ว ว่าพี่มีมีดพกอาถรรพ์”
หยางเฉินขมวดคิ้ว “ไม่หรอกมั้ง? ฉันคิดว่าฉันปิดบังได้ดีมาก ถึงไม่ยอมเปิดเผยเรื่องพลังธาตุ แล้วเขาจะคิดว่าฉันมีของอาถรรพ์อีกได้ยังไงกัน?”
หวยหลันพูดว่า “เจ้าเมืองมู่ถามพี่ด้วยตัวเองแล้ว จะต้องมีความสงสัยในตัวพี่แน่นอน แล้วตอนที่พี่เอาเรื่องพลังธาตุมาปิดบังความจริง ให้ความรู้สึกเหมือนจงใจปกปิด”
“พี่อธิบายเยอะเกินไป บุคคลอย่างเจ้าเมืองมู่ เพียงประโยคเดียวของพี่ ก็อาจจะทำให้เขาได้รู้หลายอย่างในสิ่งที่เขาอยากรู้ได้แล้ว”
เมื่อฟังคำพูดของหวยหลันแล้ว หยางเฉินก็ยิ้มขมขื่น “ดูแล้ว ฉันยังอ่อนหัดเกินไป แม้แต่คิดอยากจะปิดบังเรื่องที่ตัวเองมีมีดพกอาถรรพ์ ก็ยังปิดบังไม่ได้”
เหล่าจิ่วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่โทษนาย เพียงแค่อยากจะหลอกคนอย่างเจ้าเมืองมู่ให้ได้ มันยากเกินไป!”
หวยหลันพยักหน้า พูดว่า “แต่ก็ไม่เป็นไร เจ้าเมืองมู่ยังไม่ทำอะไรกับพวกเราแน่นอน หากจะลงมือจริงๆ เมื่อกี้เขาก็แข็งข้อใส่นายแล้ว ตอนนี้ เขายังต้องการให้เสียวหว่านรักษาขาของเขา”
หยางเฉินพูดด้วยสีหน้ากังวลว่า “ตอนนี้ ดูว่าจวนมู่ จะสามารถแบกรับแรงกดดันจากจวนเมืองหวยเฉิงได้มั้ยก็เท่านั้นแล้วละ”
เวลานี้ จวนเมืองหวยเฉิง
หวยเจิ่นพบกับเจ้าเมืองหวยเฉิง แล้วบอกเล่าเรื่องสิ่งที่ตัวเองได้พบเจอมาให้ฟัง
เขาฑุดอย่างเคียดแค้นว่า “ท่านพ่อครับ เจ้าเมืองมู่คนนี้ เหิมเกริมมากเกินไปแล้วจริงๆครับ เป็นแค่คนพิการคนหนึ่ง แต่กล้าพูดจาโอหัง คิดว่าตัวเองยังอยู่ในสถานะตอนที่เป็นชั้นยอดอยู่หรือไงกัน?”
เจ้าเมืองหวยเฉิงขมวดคิ้ว “ไม่คิดเลยว่าตอนนั้นที่เขาบาดเจ็บสาหัส ไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้เขาสูญเสียพลัง แต่กลับทำให้บูโดของเขามีช่องทางก้าวหน้าดีขึ้น ถ้าหากว่าขาของเขาหายดี พลังของเขา คงจะแข็งแกร่งมากขึ้น”
ได้ยินเช่นนั้น หวยเจิ่นรีบพูดว่า “ท่านพ่อครับ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเราจะรอให้ขาของเขาหายนะครับ ใช้โอกาสตอนที่ขาของเขายังไม่หาย ทำลายจวนมู่ก่อนเลยครับ!”