The king of War - บทที่ 190 เธอทำเกินไปแล้ว
ได้ยินคำพูดของเฉาเจี้ยน สายตาของหยางเฉินจึงค่อยๆ คมกริบขึ้นมา
ฉินซีกังวลว่าเรื่องราวจะบานปลาย รีบดึงมือของหยางเฉินเอาไว้ทันที ในสายตามีการอ้อนวอนระดับหนึ่ง “ที่รัก อย่าให้คนที่ไม่มีความสำคัญเหล่านี้ มากระทบช่วงเวลาของพวกเราสองคนเลย”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินซีเอ่ยปากเรียกหยางเฉินว่าที่รัก ในใจหยางเฉินสั่นไหว มองสายตาที่มีการขอร้องอยู่บ้างของเธอ ชั่วขณะนั้นความโกรธของเขาหายลับเข้ากลีบเมฆ
เขาเพียงแค่มองเฉาเจี้ยนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นพูดกับฉินซีว่า “พวกเราไปเลือกเสื้อผ้ากัน”
เฝิงเจียเห็นฉินซีกับหยางเฉินไปด้านข้างแล้ว ในสายตามีเลศนัยเพิ่มมาหลายระดับ
“สวัสดีค่ะ ทั้งสองท่านต้องการให้ช่วยอะไรหรือเปล่าคะ?”
หยางเฉินและฉินซีเพิ่งเดินมาถึงข้างตู้โชว์กระจก พนักงานขายที่สวมชุดทำงานคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้ว ยิ้มแย้มท่าทางเป็นมืออาชีพ
ฉินซีชี้ไปยังด้านในตู้กระจก ที่เสื้อโค้ตกันลมบนหุ่นนายแบบ เอ่ยปากบอก “เสื้อโค้ตตัวนี้ รบกวนคุณเอาลงมา ให้สามีฉันลองดูหน่อยสิคะ!”
พนักงานขายพูดด้วยหน้าตาขอโทษ “คุณผู้หญิงคะ ขอโทษด้วยนะคะ นี่คือเสื้อโค้ตรุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ Versaceของพวกเรา ชุดนี้ลองไม่ได้ค่ะ”
เสื้อโค้ตกันลมในตู้โชว์ ดูขึ้นมาแล้วสวยมากจริงๆ โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนตัวหุ่นนายแบบนั้น สวมคู่กับกางเกงเข้ารูปสีดำและเข็มขัดหนังสไตล์อังกฤษ หล่อเหลาอย่างยิ่ง
ฉินซียิ่งมองยิ่งชอบ มองดูเสื้อโค้ตกันลม และมองดูหยางเฉิน มองอย่างไรก็เหมาะสมมาก
“ในเมื่อลองไม่ได้ งั้นซื้อไปเลยแล้วกัน!”
ฉินซีพูดอย่างสบายใจมาก หยิบบัตรธนาคารออกมาเตรียมที่จะจ่ายเงิน
“ได้ค่ะ!”
ในใจพนักงานขายรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้างนิดหน่อย
เสื้อโค้ตกันลมตัวนี้อยู่ในตู้โชว์มาหลายวันแล้ว แต่เพราะแพงเกินไป คนที่มาดูมีมากมาย หลังได้รู้ราคา กลับไม่มีใครยอมซื้อสักคนเดียว
“ที่รักคะ ฉันคิดว่าเสื้อโค้ตตัวนั้นไม่เลวเลยนะ เหมาะกับรูปร่างของคุณมาก ซื้อตัวนั้นเถอะนะ?”
ในเวลานี้เอง เสียงของเฝิงเจียดังขึ้นฉับพลัน หล่อนกอดแขนของเฉาเจี้ยนอยู่ เบียดเข้ามาด้านหน้าของฉินซีและหยางเฉินทันที
พนักงานขายได้ยินเข้า หน้าตาลำบากใจ เอ่ยปากบอก “ขอโทษด้วยนะคะ เสื้อโค้ตตัวนี้เป็นรุ่นลิมิเต็ด มีเพียงตัวเดียวค่ะ คุณผู้หญิงท่านนั้นซื้อไปแล้วค่ะ”
“นี่ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้จ่ายเงินเหรอ?”
เฝิงเจียพูดแบบอารมณ์เสีย
เมื่อสักครู่ที่ด้านนอก เพียงแวบเดียวฉินซีก็ถูกใจเสื้อโค้ตกันลมตัวนี้แล้ว เฝิงเจียมาแทรกตัดหน้าไปกะทันหันแบบนี้ ทำให้เธอโกรธเคืองมาก
เฉาเจี้ยนสูงประมาณ170เซนติเมตร เดิมทีไม่เหมาะกับเสื้อโค้ตกันลมตัวนี้ การที่เฝิงเจียปรากฏตัวในเวลานี้ ต้องเพื่อมาแย่งตนเองแน่นอน
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยตอนนั้น เฝิงเจียอิจฉาหน้าตางดงามของฉินซี จึงตามแย่งฉินซีไปทุกที่ ปัจจุบันนี้เรียนจบมาแล้วห้าปี กลับยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“เฝิงเจีย เธอทำเกินไปแล้วนะ!”
ฉินซีทนไม่ไหว พูดแบบหน้าตาโกรธเคือง
เฝิงเจียหัวเราะเยาะ “ฉันทำเกินไปยังไงกัน? ร้านนี้เป็นที่บ้านเธอเปิดเหรอ? จะว่าไปเดิมทีก็เป็นพวกฉันที่เข้ามาร้านนี้ก่อน เมื่อกี้พวกฉันสนใจเสื้อโค้ตตัวนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เดินเล่นไปทั่ว ตอนนี้จะจ่ายเงินแล้ว เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?”
“เป็นแบบนี้งั้นเหรอ?”
ทันใดนั้นฉินซีมองทางพนักงานขายที่ด้านข้าง
ไม่รอให้พนักงานขายตอบกลับ เฝิงเจียพูดว่า “เมื่อกี้ไม่ใช่หล่อน แต่เป็นพนักงานขายคนอื่น”
“คุณผู้หญิงคะ ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าเป็นพนักงานขายคนไหน? ถ้ารับปากเอาไว้จริงว่าจะนำเสื้อโค้ตตัวนี้ให้คุณ งั้นเสื้อโค้ตตัวนี้ก็เป็นของคุณค่ะ”
พนักงานขายยิ้มพูดด้วยท่าทางมืออาชีพ มองทางเฝิงเจียแล้วถามขึ้น
“ฉันตกลงกับพนักงานขายคนไหน เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย? เธอยุ่งได้เหรอ?”
เฝิงเจียถลึงตาใส่พนักงานขายด้วยท่าทางดุร้ายพลันพูดไป
พนักงานขายสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย แต่ยังฝืนใจยิ้มออกมา พูดอย่างมีมารยาท “คุณผู้หญิงคะ ร้านของพวกเรามีกฎว่าถ้าไม่มีใครยืนยันกับพนักงานขายไว้ว่าจะซื้อชุดตัวไหน ไม่ว่าใครล้วนมีสิทธิ์ซื้อทั้งนั้นค่ะ”
ได้ยินพนักงานขายพูดแบบนี้ เฝิงเจียกลับเปลี่ยนเป็น‘แรงระเบิด’แล้ว หล่อนส่งเสียงหัวเราะเยาะ “ฉินซี ฉันเตือนเธอว่าอย่ามาแย่งกับฉันจะดีกว่า เธอรู้ไหมว่านี่คือร้านอะไร? คือแบรนด์ Versace เธอลองดูเอานะ เสื้อผ้าชุดไหนไม่ใช่หลายหมื่นบ้าง?”
“เธอเป็นผู้หญิงตระกูลเล็กๆ ที่ใกล้จะล้มละลายคนหนึ่ง ซื้อได้งั้นเหรอ? สามีฉันเป็นผู้จัดการฝ่ายโครงการของกวนเจิ้งกรุ๊ปนะ เงินเดือนรวมห้าแสน เธอมีอะไร? อ่อ ใช่แล้ว ฉันเกือบลืมไปเลย เธอมีลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนหนึ่ง แถมยังเป็นยามกระจอกที่ทำให้เธอด่างพร้อย”
เฝิงเจียก็เหมือนกับหญิงปากร้ายคนหนึ่ง จงใจเพิ่มเสียงดัง
จุดนี้ถึงแม้จะไม่ใช่ช่วงคนพลุกพล่าน แต่ยังมีคนมากมายกำลังเดินช็อปปิ้งอยู่ พอได้ยินคำพูดของเฝิงเจีย ผู้คนมากมายก็ล้อมเข้ามาแล้ว
“พวกคุณน่าจะอยากรู้กันมากใช่ไหมว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?”
เฝิงเจียสังเกตเห็นผู้คนที่มุงดูอยู่รอบด้านเช่นกัน จึงพูดด้วยท่าทางเย้ยหยัน “ผู้หญิงคนนี้ชื่อฉินซี ชื่อของหล่อนบางทีพวกคุณอาจไม่เคยได้ยิน แต่พวกคุณน่าจะรู้เรื่องหนึ่งกัน ห้าปีก่อน ผู้หญิงคนนั้นที่เรียกกันว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองเจียงโจวก็คือหล่อน มีความสัมพันธ์กับยามกระจอกของบริษัทในชั่วข้ามคืน”
“ส่วนพวกยาจกที่อยู่ด้านข้างหล่อน ก็คือยามที่นอนกับผู้หญิงคนนี้เมื่อห้าปีก่อน พวกเขาแต่งกันงานกันแล้ว ว่ากันว่ายังมีลูกคนหนึ่งด้วย”
ฉินซีโกรธจนสั่นเทาไปทั้งตัว ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาคลออยู่ในเบ้าตา ทั้งอับอายทั้งโมโห
“ฉันรู้แล้ว มิน่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงสวยขนาดนี้ ที่แท้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองเจียงโจวนี่เอง!”
“ในที่สุดก็เจอตัวจริงจนได้ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าหล่อนจะแต่งงานกับยามกระจอกคนนั้นจริงๆ”
“ใช่ ช่างน่าเสียดาย แต่ว่าสามีของหล่อนดูฉลาดมากนะ ยืนคู่กันกับหล่อนแล้วเหมาะกันมากเลย”
……
ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นเสียงถกเถียงกัน ติชมไปต่างๆ นานา
เสียงพวกนี้ลอยเข้าหูของฉินซีมาแล้ว ทำให้หน้าเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม
มองภรรยาของตนเอง ในใจหยางเฉินรู้สึกลำบากใจ บางทีช่วงห้าปีในอดีต ฉินซีเคยได้ยินคำพูดไร้สาระแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนเลยเหรอ?
“ที่รัก พวกเราไปกันเถอะ!”
ทันใดนั้นฉินซีมองหยางเฉินแล้วพูดขึ้น เธอไม่อยากโดนคนมากขนาดนี้มุงดูเหมือนเป็นลิง
หยางเฉินจับมือของฉินซีไว้แน่น ส่ายหน้าเล็กน้อย พูดแบบหน้าตาเคร่งขรึม “ผมเคยบอกแล้วว่าจะไม่ยอมให้คนมารังแกคุณโดยเด็ดขาด!”
“ที่รัก…….”
ในใจฉินซีเต็มไปด้วยความรู้สึกประทับใจ
เธอเรียกว่าที่รัก หัวใจของหยางเฉินก็ใกล้ละลายเช่นกัน แต่เวลานี้กลับไม่ใช่เวลามารู้สึกปลื้มใจ สายตาของเขาตกอยู่บนตัวเฝิงเจียในชั่วขณะหนึ่ง
ถูกหยางเฉินจ้องขึ้นมากะทันหัน เฝิงเจียอดสั่นไปทั้งตัวไม่ได้ มีความรู้สึกว่ากำลังถูกสัตว์ป่ายุคดึกดำบรรพ์จ้องอยู่ หัวใจเต้นแรงตุบๆ หลบอยู่ด้านหลังเฉาเจี้ยนโดยจิตใต้สำนึก
“ที่รัก พวกเราอย่าไปสนใจเขาเลย คิดเงินแล้วไปดีกว่า!”
เฝิงเจียพูดแบบหวาดผวา
เฉาเจี้ยนมองหยางเฉินด้วยสายตาเย็นชา หยิบบัตรธนาคารใบหนึ่งออกมาแบบองอาจมาก “เอาเสื้อโค้ตตัวนี้ใส่ถุงให้ฉัน!”
หยางเฉินไม่ได้ขัดขวาง ดูอยู่ด้านข้างอย่างเฉยชา เขาอยากดูสักหน่อยว่าฝ่ายตรงข้ามจะสามารถซื้อได้หรือไม่
เพราะเมื่อสักครู่ เขามองเห็นป้ายราคาที่ติดบนเสื้อโค้ตกันลมตัวนี้แล้ว ราคาสามแสนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อย
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฝิงเจียแกล้งแสดง เคยพูดว่าเงินเดือนรวมของเฉาเจี้ยนห้าแสน แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คำพูดพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือ แค่ผู้จัดการฝ่ายโครงการของกวนเจิ้งกรุ๊ปเท่านั้นเอง อย่างมากเงินเดือนรวมสองแสนต้นๆ
เขาไม่เชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะสามารถซื้อเสื้อโค้ตกันลมที่ราคาสามแสนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยตัวหนึ่งได้ ถึงแม้จะสามารถซื้อไหว เขาก็ไม่เชื่อว่าเพื่อเสื้อผ้าตัวเดียว อีกฝ่ายจะใช้จ่ายแพงขนาดนี้
แน่นอนว่าถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะซื้อได้จริง เขาก็มีวิธีทำให้อีกฝ่ายชดใช้ให้อย่างสาสม
“ซื้อไม่ได้ยังมาเสแสร้งต่อหน้าพวกฉันอีก!”
เห็นหยางเฉินไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เฝิงเจียจึงพูดเยาะเย้ย