The king of War - บทที่ 2010 ลอบสังหารสุดสยอง
The king of War บทที่ 2010 ลอบสังหารสุดสยอง
คำพูดของไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านทำให้หยางเฉินยืนเหม่ออยู่กับที่ไปโดยสิ้นเชิง
หากตัวเองทำลายม่านพลังจริง ๆ จะถูกผู้คนในโลกมนุษย์ตราหน้าว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายชีวิตอันสงบสุขของพวกเขาจริง ๆ หรือ?
ลี่เฉินพูดอย่างโกรธเคือง: “พวกเจ้าอย่าได้กล่าววาจาเท็จสะกดฝูงเชียว! ต่อให้ม่านพลังนี้แตกสลายไปแล้ว มันก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับหยางเฉิน หากจะโทษ ก็ต้องโทษผู้คนในโลกบู๊โบราณอย่างพวกเจ้าที่ไม่สนกฎเกณฑ์ของพันธมิตรพิทักษ์ เข้ามาในโลกมนุษย์ตามอำเภอใจ”
“ที่นี่คือโลกมนุษย์ มิใช่โลกบู๊โบราณ อ้างอิงตามกฎเกณฑ์ของพันธมิตรพิทักษ์คือ ไม่อนุญาตให้นักบูโดในโลกบู๊โบราณย่างกรายเข้ามาในโลกมนุษย์ หากพวกเจ้าไม่อยากทำให้ม่านพลังแตกสลาย ก็รีบไสหัวออกไปจากโลกมนุษย์ซะ!”
หลังจากตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวใส่ไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านเสร็จ ลี่เฉินก็หันไปมองหยางเฉินอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความตึงเครียด: “หยางเฉิน เจ้าอย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของพวกมัน ทุกการกระทำในปัจจุบันของเจ้าล้วนเป็นการปกป้องโลกมนุษย์ วันนี้หากเจ้าประนีประนอมต่อพวกมัน ต่อไปพวกมันมีเพียงจะกําเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น ผู้แข็งแกร่งในโลกบู๊โบราณก็จะเข้ามาในโลกมนุษย์มากยิ่งขึ้น”
“พวกมันคงจะคิดว่าในโลกมนุษย์ไม่มีผู้ใดที่สามารถต้านทานพวกมันได้ หากพันธมิตรพิทักษ์เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ มันก็ยังเป็นภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่สำหรับโลกมนุษย์อยู่เช่นเคย”
“เพราะฉะนั้น วันนี้จะประนีประนอมต่อพวกมันไม่ได้เด็ดขาด!”
คำพูดของลี่เฉินทำให้หยางเฉินเหมือนตื่นมาจากฝัน
หากตัวเองประนีประนอมจริง ๆ ก็เท่ากับต้องปล่อยให้พวกเขานำตัวเฝิงเสียวหว่านไปยังโลกบู๊โบราณมิใช่หรือ?
หากไปโลกบู๊โบราณจริง ๆ เฝิงเสียวหว่านยังจะถูกปล่อยออกมาได้อีกหรือ?
หากครั้งนี้พวกเขานำตัวเฝิงเสียวหว่านไป เช่นนั้นครั้งต่อไปผู้แข็งแกร่งในโลกบู๊โบราณก็จะย่างกรายเข้ามาในโลกมนุษย์อีกหรือไม่ และใช้อำนาจนำตัวผู้คนในโลกมนุษย์ที่พวกเขาต้องการไป?
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ จิตจะฆ่าที่อยู่บนตัวหยางเฉินก็เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
ลี่เฉินแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วพูดต่อ: “จะว่าไปมีเพียงเนื้อหนังของเจ้าเท่านั้นที่ฝ่าฟันภัยพิบัติสวรรค์ไปแล้ว ส่วนแดนบูโดยังไม่บรรลุถึงแดนนภา อิงจากกฎเกณฑ์ของพันธมิตรพิทักษ์ มีเพียงผู้ที่แดนบูโดบรรลุถึงแดนนภาแล้ว ถึงจะถูกนำตัวไปยังโลกบู๊โบราณ”
“ถึงแม้เจ้าจะมีศักยภาพที่สามารถเทียบเคียงกับผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นได้ แต่ในขณะต่อสู้กับศัตรู เจ้าไม่จำเป็นต้องสูญเสียชี่ทิพย์จำนวนมากเหมือนดั่งผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้น ดังนั้นด้วยเหตุนี้ม่านพลังจะไม่ถูกทำลาย”
เมื่อได้ยินคำพูดของลี่เฉิน สีหน้าของไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านต่างดูย่ำแย่มาก
พวกเขาปฏิบัติต่อหยางเฉินเหมือนเป็นผู้แข็งแกร่งแดนนภาคนหนึ่งมาโดยตลอด แต่ทว่าบัดนี้พวกเขาถึงจะตระหนักได้ว่า หยางเฉินไม่ถือเป็นผู้แข็งแกร่งแดนนภาที่แท้จริงแต่อย่างใด ในเมื่อไม่ใช่ การต่อสู้ระหว่างพวกเขาก็จะไม่ทำให้ม่านพลังแตกร้าว
ในเมื่อม่านพลังไม่แตก หยางเฉินก็ไม่มีเรื่องที่ต้องเป็นห่วงอีก หากต้องต่อสู้กันจริง ๆ โอกาสที่พวกเขาจะพ่ายแพ้นั้นสูงมาก ๆ
“ไสหัวไป!”
หยางเฉินคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
ออร่าบู๊ที่น่าเกรงขามและสยดสยองพุ่งตรงไปทางพวกเขาทั้งสอง
วินาทีนี้ ไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านต่างสัมผัสได้ถึงจิตจะฆ่าที่ทิ่มแทงไปถึงกระดูก ร่างกายของทั้งสองต่างสะดุ้งอย่างควบคุมไม่ได้
“หยางเฉิน เจ้าอย่าทำตัวไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเลยนะ การที่พวกเราให้เจ้าเข้าร่วมตระกูลของเรานั้น มันเป็นเกียรติและโชคของเจ้า!”
ไป๋หลี่เย่พูดด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเคือง: “หากเจ้าประเมินสถานการณ์ออกว่าต้องทำอย่างไร ก็เข้าร่วมราชวงศ์ไป๋หลี่ซะ นี่เป็นที่พักพิงที่ดีที่สุดของเจ้าต่างหาก!”
เจียงจ้านก็พูดเช่นกันว่า: “หากเจ้าไม่อยากเข้าร่วมตระกูลของพวกเรานั้น ก็ได้อยู่ แต่ทว่าเฝิงเสียวหว่านจำเป็นต้องไปโลกบู๊โบราณพร้อมกับพวกเข้า!”
“รนหาที่ตาย!”
หยางเฉินตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนที่เขาจะขยับเท้าแล้วพุ่งตรงเข้าไปทางเจียงจ้าน
สีหน้าของเจียงจ้านเปลี่ยนไปในทันที ไม่นึกเลยว่าหยางเฉินจะกล้าลงมือโจมตีจริง ๆ
สีหน้าของไป๋หลี่เย่ก็ดูหนักอึ้งเช่นกัน เขารู้อยู่ว่าบัดนี้ตนจำเป็นต้องยืนอยู่บนแนวรบเดียวกันกับเจียงจ้าน มิเช่นนั้นหากพวกเขาทั้งสองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียกำลังรบ อีกฝ่ายก็ต้องสูญเสียกำลังรบไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ออร่าบู๊ที่แผ่กระจายออกมาจากตัวหยางเฉินแข็งแกร่งมากเกินไป พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะต้านทานมันได้เลยด้วยซ้ำ
“เจ้าและข้าร่วมมือกัน! แม้จะฆ่ามันไม่ได้ แต่ก็ต้องทำให้มันบาดเจ็บสาหัส!”
ไป๋หลี่เย่เอ่ยปากพูดกับเจียงจ้าน
เจียงจ้านหยักหน้า ยังไม่ทันได้ตอบกลับ การโจมตีของหยางเฉินก็มาถึงแล้ว
ทั้งสองคนพุ่งตรงเข้าไปทางหยางเฉิน โดยที่คนหนึ่งพุ่งไปทางซ้ายคนหนึ่งพุ่งไปทางขวา
“ปัง!”
กำปั้นของหยางเฉินร่วงลงอย่างดุดัน โจมตีลงกลางหน้าอกเจียงจ้านอย่างเต็มแรง เสียงกระแทกดังทุ้มขึ้น ก่อนที่ร่างกายของเจียงจ้านจะถอยหลังกลับไปเจ็ดแปดก้าว
ในขณะเดียวกัน การโจมตีของไป๋หลี่เย่ก็ร่วงลงไปทางหยางเฉินเช่นกัน
“ปัง!”
เท้าของไป๋หลี่เย่ถีบลงบนแผ่นหลังของหยางเฉิน อย่างไรก็ตามเขากลับรู้สึกเหมือนถีบลงบนแผ่นเหล็กอย่างไงอย่างนั้น หยางเฉินไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลยแม้แต่น้อย เขาค่อย ๆ หันหน้ากลับมา ดวงตาทั้งสองข้างที่เย็นยะเยือกร่วงลงบนตัวไป๋หลี่เย่
สีหน้าของไป๋หลี่เย่จึงเปลี่ยนไปในทันที
เนื่องจากเขาเข้าใจความแข็งแกร่งของหยางเฉินดีมาก ๆ เพราะฉะนั้นการโจมตีในเมื่อครู่นี้ เขาจึงใช้กำลังแรงทั้งหมดของตนแล้ว กลับไม่นึกเลยว่าจะไม่สามารถทำอะไรหยางเฉินได้เลยแม้แต่น้อย แล้วยังจะสู้ต่อไปเพื่อให้ได้อะไร?
“ปัง!”
ไป๋หลี่เย่ยังไม่ทันดึงสติกลับมาจากความช็อกได้ เท้าของหยางเฉินก็ร่วงลงหน้าท้องเขาก่อน เสียงดังลั่น ร่างกายของไป๋หลี่เย่บินออกไปโดยตรง กระอักเลือดคาที่ เลือดกระฉูดเต็มแผ่นฟ้า
หนึ่งหมัด!
หนึ่งเท้า!
ภายใต้สองกระบวนท่า ไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ล้มลงไปกองอยู่บนพื้น
บนใบหน้าของลี่เฉินเปี่ยมล้นไปด้วยรังสีแห่งความช็อก
เขาทราบอยู่ว่าหยางเฉินแปรเปลี่ยนไปแล้ว ศักยภาพแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าศักยภาพของหยางเฉินจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้
เขาที่มีศักยภาพกึ่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้น ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านทั้งสองคนเลย แต่หยางเฉินกลับลงมือเพียงสองครั้ง เพียงการโจมตีเดียวก็ทำให้คนหนึ่งกระเด็นออกไปแล้ว
ต้องท้าวความก่อนว่าไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านต่างเป็นผู้ที่มาจากตระกูลบู๊โบราณในโลกบู๊โบราณเชียวนะ ต่างเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่อยู่ต่ำกว่าแดนนภา หลังจากใช้วิชาลับแล้ว ทั้งสองยิ่งสามารถเทียบทัดกับผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นอย่างแท้จริงได้
แต่ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหยางเฉินแล้ว ทั้งสองกลับมีเพียงจะพ่ายแพ้ภายในวินาทีเดียว
แค่คิดก็พอจะทราบแล้วว่าหยางเฉินในปัจจุบัน มีศักยภาพแข็งแกร่งถึงระดับใดแล้ว
ไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านนอนคลานอยู่บนพื้น มุมปากของทั้งสองต่างมีเลือดไหลออกมา บนใบหน้าของทั้งสองล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีแห่งความหวาดผวา
จนกระทั่งถึงวินาทีนี้ พวกเขาถึงจะตระหนักได้ว่าหยางเฉินมีศักยภาพที่จะสังหารพวกเขาได้
เห็นเพียงหยางเฉินกำลังเดินตรงเข้ามาทางทั้งสอง จิตที่จะสู้พรั่งพรูออกมาจากร่างกาย ในแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยจิตที่จะฆ่าอันเข้มข้น
ทั่วทั้งยอดเมฆาล้วนอยู่ในเขตแดนของเขา
พลังอำนาจที่น่าเกรงขามทำให้ไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านทั้งสองคน ต่างรู้สึกเหมือนถูกกดทับอยู่ใต้หุบเขาห้านิ้ว
“คุณหยาง พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้เลย ได้โปรดคุณหยางช่วยปล่อยพวกเราไปด้วย!”
ในเวลานี้ จู่ ๆ เจียงจ้านก็ตะโกนขอร้องอ้อนวอนออกมาในทันที
เมื่อไป๋หลี่เย่เห็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีเวลาไปสนใจอะไรมากมายแล้ว จะยังมีเวลาไปสนใจได้อย่างไรว่าตนมีสายเลือดที่บริสุทธิ์ของราชวงศ์ไป๋หลี่ รีบกราบขอร้องอ้อนวอน: “คุณหยาง ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลย! ได้โปรดคุณหยางช่วยเห็นแก่หน้าเพื่อนสนิทหม่าชาว ปล่อยข้าไปเถิดนะขอรับ ข้ารับประกันต่อท่านได้เลยว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปราชวงศ์ไป๋หลี่จะไม่ทำให้ท่านต้องรู้สึกลำบากใจอีก”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังอ้อนวอนอยู่นั้น หยางเฉินก็ไปถึงตรงหน้าทั้งสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะพูดด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นเยือก: “ตอนข้าปล่อยพวกเจ้า พวกเจ้าไม่เห็นคุณค่า อยากกลับไปบัดนี้น่ะหรือ สายไปแล้ว!”
ทันทีที่สิ้นเสียง พลังออร่าที่แข็งแกร่งพลังหนึ่งก็ปะทุออกมาจากร่างกายเขา
มีรังสีแห่งความหวาดผวาปรากฏบนใบหน้า ของไป๋หลี่เย่และเจียงจ้าน พวกเขาสัมผัสได้ถึงจิตจะฆ่าอันรุนแรง หยางเฉินกำลังจะฆ่าพวกเขาจริง ๆ
“จำไว้ชาติหน้าอย่าทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนี้อีก!”
เสียงอันเย็นเยือกของหยางเฉินดังขึ้น
จากการที่เสียงเขาจบลง ร่างกายเขาก็ขยับแล้วเช่นกัน พุ่งตรงเข้าไปทางทั้งสองคนโดยตรง กระบวนท่าสังหารร่วงลงไปทางทั้งสองคนในทันที
เขาถีบเท้าลงไปอย่างดุดัน ในเสี้ยววินาทีที่เท้าของเขากำลังจะร่วงลงบนร่างฝ่ายตรงข้ามอยู่นั้น ก็มีจิตจะฆ่าที่น่าตะลึงเกิดขึ้นตรงแผ่นหลังเขา
“ระวัง!”
ในขณะเดียวกัน เสียงตะโกนอย่างตะลึงของลี่เฉินก็ดังขึ้น
สีหน้าของหยางเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบยกเลิกกระบวนท่าสังหารที่กำลังโจมตีไปทางไป๋หลี่เย่และเจียงจ้าน มีมีดโลหิตปรากฏบนมือเขาในเสี้ยววินาทีเดียว เห็นเพียงร่างกายเขาหลบหลีกไปทางขวาอย่างกะทันหัน
“ฟึ่บ!”
เสี้ยววินาทีต่อไป กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็ทิ่มแทงลงตำแหน่งของหยางเฉินเมื่อครู่นี้อย่างดุดัน กระบี่ยาวทิ่มแทงลงไปในพื้นสามส่วน ตัวกระบี่ยังคงสั่นคลอนอย่างไม่หยุดหย่อน
พลังออร่าที่รวดเร็วและดุดันแผ่กระจายออกมาจากตัวกระบี่ยาว
เมื่อครู่นี้ขอเพียงเขาตอบสนองช้าเพียงเสี้ยววินาทีเดียว เกรงว่ากระบี่ยาวคงทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายเขาแล้ว