The king of War - บทที่ 206 ใบชากล่องหนึ่ง
เห็นท่าทางของหยางเฉินไม่เห็นตระกูลอวี๋เหวินอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ภายในใจลั่วปิงเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
นั่นเป็นตระกูลอวี๋เหวิน หนึ่งในแปดตระกูลแห่งเย็นตู ตระกูลที่ยืนอยู่ยอดสุดของจิ่วโจว
ตระกูลที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเช่นนี้ คาดไม่ถึงหยางเฉินจะไม่สนใจสักนิด
ถ้าไม่ใช่ว่าเขารู้จักท่าทีการปฏิบัติตัวของหยางเฉินดี จะต้องคิดว่าหยางเฉินกำลังคุยโวโอ้อวดอยู่แน่
“ท่านประธานครับ ผมเลือกทางที่สอง ไปรับตำแหน่งที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาใหญ่! เพื่อกวาดล้างสิ่งกีดขวางให้ท่านครับ!”
ลั่วปิงพูดด้วยท่าทางแน่วแน่
มีคำพูดประโยคนั้นของหยางเฉิน ต่อให้เขาตายที่เย็นตู ก็ถือว่าคุ้มค่า
สำหรับเขานั้น นี่เป็นการพนันกล้าได้กล้าเสียครั้งหนึ่ง เอาชีวิตมาพนัน ถ้าเกิดชนะแล้ว สิ่งที่เขาได้รับไม่เพียงแค่ความมั่งคงร่ำรวย ยังมีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ไร้ที่เปรียบอีกด้วย
“ดี!”
หยางเฉินตัดสินใจท้ายสุดทันที “ฉันให้เวลานายครึ่งเดือน มอบหมายต้าเหอกรุ๊ปให้คนที่นายสามารถเชื่อถือได้ อีกครึ่งเดือน นายค่อยไปรับตำแหน่งที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาใหญ่!”
“อีกอย่าง ถึงตอนนั้นฉันจะส่งเฉียนเปียวไปเย็นตูด้วยกันกับนาย คอยคุ้มกันความปลอดภัยประจำตัวของนาย” หยางเฉินพูดขึ้นอีกโดยฉับพลัน
“ขอบคุณครับสำหรับความไว้ใจที่ท่านประธานมีให้ผมครับ และขอให้ท่านวางใจได้เลย ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเด็ดขาด!”
ท่าทีที่ลั่วปิงมีต่อหยางเฉิน ยิ่งเพิ่มความเคารพนับถือมากกว่าเดิม
ในใจของเขาดีใจแทบบ้า ก่อนหน้านี้เฉียนเปียวตามอยู่ข้างกายเขา ช่วยเขาทำอะไรมากมาย ไม่อย่างนั้นต้าเหอกรุ๊ปไม่อาจมั่งคงมาได้ไวขนาดนี้
มีเฉียนเปียวอยู่ ต่อให้ที่เย็นตูสถานที่ซึ่งมีอันตรายอยู่ทั่วทุกหนแห่งแบบนั้น ชีวิตของเขาก็มีหลักประกันขึ้นมากเลย
“ก่อนอื่น ฉันจำเป็นต้องพูดเตือนไว้ก่อน ถ้าเกิดให้ฉันรู้ว่านายกล้าทรยศ ฉันจะทำให้นายเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้แน่”
ชั่วพริบตาเดียวลักษณะท่าทางบนตัวของหยางเฉินปลดปล่อยออกมา อุณหภูมิทั้งในห้องทำงานเหมือนว่าลดลงหลายองศาอย่างรวดเร็ว
ลั่วปิงตกใจจนตัวสั่นเทา ยืนตัวตรงดิ่ง “ไม่ว่าตอนนี้ผมจะพูดอย่างไร ล้วนเป็นคำไร้สาระ ผมจะใช้ความเป็นจริงมาบอกท่านเองครับ ชาตินี้ ผมขอติดตามเพียงแค่ท่านครับ!”
หยางเฉินยกข้อมือดูเวลาแล้ว จากนั้นลุกขึ้นบอกว่า “ฉันควรไปแล้ว ภายในครึ่งเดือน จัดการเรื่องของต้าเหอกรุ๊ปให้เรียบร้อย”
หยางเฉินเพิ่งเตรียมตัวออกไป ทันใดนั้นนึกขึ้นได้ว่าโฟล์คเภาตันคันนั้นของตนเองยังไม่ได้ซ่อม
“นายหาคน เอาโฟล์คเภาตันคันนั้นของฉันไปซ่อมที แล้วหารถที่พอใช้ได้มาให้ฉันคันหนึ่ง”
หยางเฉินทิ้งกุญแจรถของโฟล์คเภาตันให้ลั่วปิงไป
ลั่วปิงรีบหยิบกุญแจรถของอาวดี้a8ออกมาให้ทันที ยื่นด้วยสองมือไปให้หยางเฉิน “นี่คือรถของผมครับ ท่านขับไปก่อนได้เลย!”
หยางเฉินถือกุญแจรถไว้ หมุนตัวออกไป
ในขณะเดียวกัน ตระกูลโจว
หลังหยางเฉินและฉินต้าหย่งออกไป นายท่านตระกูลโจวก็ตักเตือนตำหนิโจวยู่ชุ่ยอย่างแรงไปสักยกหนึ่ง ความหมายดูเข้าข้างโจวอวี้เจี๋ยกับโจวอวี้หรง
มีนายท่านตระกูลโจวเป็นคนตัดสินใจอยู่ เงินที่โจวอวี้เจี๋ยและโจวอวี้หรงยืมไปจากโจวยู่ชุ่ยนั้นหมดเกลี้ยงไปแล้ว แม้กระทั่งคฤหาสน์สองหลังที่โจวยู่ชุ่ยเสียเงินสร้าง ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโจวยู่ชุ่ยสักนิดเดียว
ถึงแม้โจวยู่ชุ่ยจะไม่ยินยอม แต่นายท่านตระกูลโจวเพิ่งโรคหืดกำเริบเมื่อสักครู่ จึงไม่กล้าไปกระตุ้นอารมณ์ของท่าน ทำได้เพียงอดกลั้นเรื่องนี้เอาไว้ในใจไปก่อนชั่วคราว
“คุณตาคะ คุณปู่หนูพาเจ้าบ้านเหมียวมาแล้วค่ะ!”
ในเวลานี้ เจิ้งเหม่ยหลิงวิ่งเข้าบ้านมาบอกทันใด
พอได้ยินดังนั้น คนตระกูลโจวล้วนตกใจกันหมด นายท่านตระกูลโจวรีบลุกขึ้นมา “ทุกคนไปต้อนรับที่ข้างนอกให้หมดเดี๋ยวนี้!”
คุณปู่ของเจิ้งเหม่ยหลิงชื่อเจิ้งเต๋อหัว เป็นผู้ก่อตั้งเต๋อหัวกรุ๊ป เพียงแต่ตอนนี้ปล่อยบริษัทให้บิดาของเจิ้งเหม่ยหลิงดูแล
ส่วนเจ้าบ้านเหมียวมีชื่อว่าเหมียวเจิ้งอวี่ เป็นผู้นำตระกูลชั้นสองของเมืองโจวเฉิง
สองคนนี้ตอนหนุ่มเคยเป็นทหาร ยังเป็นเพื่อนร่วมรบกันมา ในศึกสงครามครั้งหนึ่ง เจิ้งเต๋อหัวเคยช่วยชีวิตของเหมียวเจิ้งอวี่ไว้ หลายปีมาขนาดนี้แล้ว ความสัมพันธ์ของสองคนยังดีมากมาโดยตลอด
“ท่าน ยินดีด้วยๆ!”
“ท่านโจว ยินดีด้วยครับ!”
ไม่นานผู้อาวุโสผมดอกเลาสองคนก็เข้ามายังลานกว้างตระกูลโจว คือเหมียวเจิ้งอวี่และเจิ้งเต๋อหัว ทั้งสองคนกล่าวแสดงความยินดีต่อนายท่านตระกูลโจวตามๆ กันไป
ชั่วขณะนั้นนายท่านตระกูลโจวมีความรู้สึกตื่นตะลึง เนื่องจากได้รับความเมตตาแบบคาดไม่ถึง รีบพูดทันที “พี่ทั้งสองคนจะมากัน ทำไมถึงไม่บอกให้ทราบก่อนล่วงหน้าครับ ผมจะได้ให้คนเตรียมพร้อมไว้”
เจิ้งเต๋อหัวหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน “เป็นครอบครัวเดียวกัน เกรงใจขนาดนั้นทำไมกัน?”
“ใช่ ท่านโจวเกรงใจไปแล้วเจิ้งเต๋อหัวกับผมก็เหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ ญาติของเขา นั่นก็คือญาติของผม”
เหมียวเจิ้งอวี่พูดอย่างกระตือรือร้นมาก โบกมือพลางพูดกำชับกับคนขับรถด้านหลัง “เอาของขวัญออกมาที!”
ไม่นานคนขับรถส่งของขวัญของเหมียวเจิ้งอวี่และเจิ้งเต๋อหัวเข้ามาให้
“เดิมทีผมคิดจะตรงไปที่งานแต่งเลย แต่พรุ่งนี้มีเพื่อนเก่าที่มีบุญคุณเคยช่วยชีวิตผมไว้จะมาที่เมืองโจวเฉิง จำเป็นต้องไปต้อนรับ ดังนั้นเลยมาเอาของขวัญให้ก่อน ขอให้ท่านโจวอย่าถือสา!”
เหมียวเจิ้งอวี่หัวเราะบอกไป
เจิ้งเต๋อหัวก็ยิ้มพูดอีก “พรุ่งนี้ผมก็ต้องไปด้วย เลยพาเหมียวเจิ้งอวี่มากล่าวอวยพรก่อนล่วงหน้า”
“ไม่เป็นไรๆ รีบเข้าไปข้างในกัน!”
คนสถานะแบบเหมียวเจิ้งอวี่นี้สามารถมาที่ตระกูลโจวด้วยตนเองได้ คือโชคดีของตระกูลโจวแล้ว นายท่านตระกูลโจวจะกล้ามีปัญหาได้ที่ไหนกัน?
“เอ๋! ชาต้าหงเผาจากต้นแม่ของภูเขาอู๋จี๋?”
เหมียวเจิ้งอวี่เพิ่งเข้ามานั่ง ทันใดนั้นได้กลิ่นชาหอมกรุ่นที่คุ้นเคยเข้าแล้ว พอหันหน้า มองเห็นในถังขยะด้านข้าง มีใบชากล่องหนึ่งวางอยู่
“ปู่เหมียวคะ นี่คือใบชาปลอมที่ไอ้สวะจนๆ คนหนึ่งซื้อมาค่ะ เอามาหลอกคุณตา แต่ว่าถูกคุณตาหนูรู้ทันเข้าแล้ว”
เจิ้งเหม่ยหลิงหัวเราะคิกคักพูดขึ้น
“ของปลอม?”
ทันใดนั้นเหมียวเจิ้งอวี่รู้สึกน่าตลกอยู่บ้าง เขาดื่มชามาหลายปีขนาดนี้ ชาอะไรจะไม่รู้จักเชียวหรือ?
กล่องบรรจุที่งดงามประณีตนั้น แค่มองก็รู้ว่าเป็นหีบห่อที่ราคาแพงหูฉี่
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชาต้าหงเผาจากต้นแม่ที่บรรจุด้านในเลย
ภายใต้ความตกใจของทุกคน คาดไม่ถึงเหมียวเจิ้งอวี่จะหยิบใบชากล่องนั้นขึ้นมาจากในถังขยะ
ดีที่ในถังขยะไม่มีเศษขยะอื่นอยู่ โดยเฉพาะเป็นถุงขยะที่เปลี่ยนใหม่ ใบชาจึงไม่ได้แปดเปื้อนสกปรกเลยสักนิด
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เหมียวเจิ้งอวี่บุคคลใหญ่โตมีสถานะแบบนี้ เก็บของจากในถังขยะ ยังทำเอาผู้คนตกใจค้าง
“เหมียวเจิ้งอวี่ นี่นายกำลังทำอะไร?”
เจิ้งเต๋อหัวถามด้วยท่าทางแปลกใจ “เหม่ยหลิงไม่ได้บอกแล้วเหรอว่าคือของปลอมที่เจ้าหนุ่มคนหนึ่งเอามาให้เท่านั้น นายไม่ใช่เป็นโรครักสะอาดเหรอ?”
นายท่านตระกูลโจวรีบบอกทันที “ใช่ครับ เจ้าบ้านเหมียว ก็คือใบชาปลอมกล่องหนึ่งเท่านั้นเอง ตอนนี้เจ้าหนุ่มนั้นนับวันยิ่งใจกล้าจริงๆ เห็นคนแก่อย่างพวกเรานี้เป็นตาแก่เลอะเลือนกันหมดแล้ว คนจนที่แต่งเข้าบ้านมาคนหนึ่ง คาดไม่ถึงมาบอกว่าใบชากล่องนี้ คือชาต้าหงเผาจากต้นแม่ของภูเขาอู๋จี๋!”
เจิ้งเหม่ยหลิงก็หัวเราะเช่นกันแล้วพูดว่า “ปู่เหมียวคะ คุณปู่อย่าไปดูเลยค่ะ อย่าทำมือสกปรกไปเปล่าๆ”
หล่อนพูดอยู่ อยากจะไปหยิบใบชาจากในมือของเหมียวเจิ้งอวี่มา
“เดี๋ยวก่อน!”
เหมียวเจิ้งอวี่ตะโกนขึ้นฉับพลัน เปิดกล่องชาออกด้วยความระมัดระวัง เห็นเพียงด้านในบรรจุห่อเล็กๆ ที่แยกกันหลายห่อ
เขาหยิบขึ้นมาถุงหนึ่ง จากนั้นนำมาดมที่จมูก หลับตาลง สูดดมลึกๆ ทีหนึ่ง หน้าตาเคลิบเคลิ้มเต็มที่ เหมือนดมกลิ่นอะไรที่หอมมากที่สุดบนโลกใบนี้
คนตระกูลโจวตกตะลึงกันหมดแล้ว เหมียวเจิ้งอวี่คนนี้คงไม่ได้โง่หรอกมั้ง?
เก็บใบชาปลอมกล่องหนึ่งขึ้นมาจากถังขยะ คาดไม่ถึงยังเอามาดมตรงจมูกอีก
“คือกลิ่นนี้แหละ!”
ภายใต้อาการตกตะลึงของผู้คน เหมียวเจิ้งอวี่วางห่อเล็กถุงหนึ่งนั้นลงในกล่องด้วยความระมัดระวัง
ถึงแม้ปิดผนึกเรียบร้อย ยังสามารถได้กลิ่นหอมของชา แค่คิดก็รู้ว่าชาประเภทนี้เป็นของชั้นดีมากขนาดไหน
“ท่านโจว ใบชากล่องหนึ่งนี้ ผมให้คุณยี่สิบล้าน ขายให้ผม!”
เหมียวเจิ้งอวี่จับแขนของนายท่านตระกูลโจวเอาไว้ทันใด พูดจาด้วยอารมณ์ที่ฮึกเหิม