The king of War - บทที่ 22 เรื่องใหญ่สามเรื่อง
บทที่ 22 เรื่องใหญ่สามเรื่อง
บ้านใหญ่ตระกูลฉิน
โรลส์-รอยซ์สีดำคันหนึ่งจอดที่ประตูอย่างช้า ๆ
“ขอโทษค่ะ คุณมาหาใครคะ?”
โจวยู่ชุ่ยเปิดประตู มองเห็นชายหนุ่มสวมชุดสูทรองเท้าหนังคนหนึ่ง เธอจึงพูดจาเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ “สวัสดีครับคุณหญิง ท่านประธานซูส่งผมมารับคุณหนูฉินไปร่วมงานเลี้ยงกลางคืนที่โรงแรมสตาร์ไลท์ครับ”
“โรงแรมสตาร์ไลท์? ท่านประธานซู? ตระกูลซูที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่ง?” โจวยู่ชุ่ยตกตะลึง หลังจากที่เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเธอก็ดีใจมาก ๆ ขึ้นมาในทันที
หลายวันมานี้เรื่องที่ทางโรงแรมสตาร์ไลท์จะจัดงานเลี้ยงถูกเล่าลือกันไปทั้งเจียงโจวตั้งนานแล้ว คนที่ได้รับเชิญล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของเจียงโจว แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลซูจะมารับลูกสาวของตนด้วยตนเอง
โจวยู่ชุ่ยเชิญชายหนุ่มเข้ามาในบ้านด้วยความกระตือรือร้น ส่งคนให้ฉินต้าหย่งรับรอง ส่วนเธอก็รีบร้อนวิ่งไปที่ห้องของลูกสาว
“ตระกูลซูส่งคนมารับพวกเราไปเข้าร่วมงานเลี้ยงกลางคืนที่โรงแรมสตาร์ไลท์ จะต้องจัดงานเลี้ยงหมั้นหมายของเธอกับคุณชายใหญ่ตระกูลซูแน่ ๆ” โจวยู่ชุ่ยพูดอย่างตื่นเต้น
ฉินยีที่กำลังม้วนตัวเข้าไปในผ้าห่มได้ยินก็ตกใจจนหน้าซีด “เร็วขนาดนี้เชียว?”
“คนก็รออยู่ข้างล่างแล้ว เธอยังจะมัวคิดอะไรอยู่อีก?” โจวยู่ชุ่ยพูดเร่ง
“อ่า…”
ฉินยีตื่นเต้นจนกรีดร้องเสียงแหลม ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากผ้าห่มอย่างช้า ๆ เริ่มแต่งหน้าแต่งตัวทันที
“คุณแม่ขา คุณพ่อจะกลับบ้านเมื่อไหร่คะ? หนูคิดถึงเขาแล้ว”
ในห้องอีกห้องหนึ่ง เสี้ยวเสี้ยวเล่นจี้เล็ก ๆ บนลำคอ จากนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างน่าเวทนาในทันที
ตั้งแต่สามวันก่อน หลังจากที่หยางเฉินส่งเธอกลับบ้านเสร็จแล้วเขาก็ไม่กลับมาอีก หลายวันมานี้ในใจของเธอว้าวุ่นมาก จนกระทั่งเสี้ยวเสี้ยวถามถึงพ่อ เธอถึงจะสำนึกขึ้นได้ในทันที นึกไม่ถึงว่าเหตุผลที่หัวใจว้าวุ่นนั่นเป็นเพราะผู้ชายคนนั้น
เธอกลัวมากว่าเหตุการณ์จะเป็นเหมือนกับเมื่อห้าปีก่อน เขาจากไปโดยไม่ลา จากไปครั้งหนึ่งนานถึงห้าปี
“คุณพ่อยุ่งอยู่ค่ะ รอคุณพ่อจัดการเรื่องราวเสร็จแล้วก็จะกลับบ้านแล้วล่ะ” ฉินซีกอดเสี้ยวเสี้ยวแน่น
ในสมองของเธอปรากฏภาพเงาร่างร่างหนึ่งขึ้นมากะทันหัน ผู้ชายที่อุ้มเธอออกมาจากตระกูลฉินท่ามกลางสายฝน บางทีเธออาจจะลืมความอบอุ่นของอ้อมอกของเขาไม่ได้ไปตลอดกาล
“เสี่ยวซี ตระกูลซูส่งคนมารับพวกเราไปร่วมงานเลี้ยงหมั้นหมายของยียีกับคุณชายใหญ่ตระกูลซูแล้ว เธอรีบจัดการเร็วเข้า พวกเราเป็นครอบครัวฝ่ายเจ้าสาว จะพลาดไม่ได้”
สองแม่ลูกกำลังคิดถึงหยางเฉิน โจวยู่ชุ่ยก็พรวดพราดเข้ามา
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป สามคนแม่ลูกและยังมีเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ เพิ่มมาด้วยอีกหนึ่ง
มองเห็นเงาร่างหลายร่างที่บรรจงแต่งตัวกันจนสวยงามเพริศพริ้ง คนขับรถหนุ่มที่ถูกส่งมารับก็มองเหม่อ แต่แค่เพียงชั่วพริบตาเดียวก็รีบร้อนเคลื่อนย้ายสายตาทันที นี่เป็นแขกผู้มีเกียรติที่แม้แต่ท่านประธานซูก็ยังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เขาไม่กล้ามองสุ่มสี่สุ่มห้า
วันนี้โรงแรมสตาร์ไลท์คึกคักไม่ธรรมดา บุคคลชั้นสูงที่มีชื่อเสียงของทั้งเจียงโจวล้วนได้รับเชิญมา
ที่จอดรถมีรถหรูราคาหลักสิบล้านหลากหลายจอดอยู่จนเต็ม
นายท่านฉินเดินลงมาจากรถออดี้ราคาล้านกว่า ๆ ข้างหนึ่งของรถออดี้มีรถโรลส์-รอยซ์จอดอยู่ อีกข้างมีเบนท์ลีย์จอดอยู่
“พวกเรารีบไป!”
นายท่านฉินพูดเร่งรัด กลัวว่าคนอื่นจะเห็นยานพาหนะของตน
“ท่านปู่ รถของซูเฉิงอู่มาถึงแล้วครับ!”
คนตระกูลฉินเพิ่งจะมาถึงลานจอดรถ ก็มองเห็นโรลส์-รอยซ์ทะเบียน A88888 จอดอยู่ที่ประตูโรงแรม
นายท่านฉินพูดขึ้นทันทีว่า “เสี่ยวเฟย ไปทักทายท่านประธานซูกับฉัน”
มาถึงด้านหน้ารถ ทั้งสองคนร่างกายโค้งน้อย ๆ รอซูเฉิงอู่ลงจากรถเหมือนกับสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง
วินาทีต่อมารอยยิ้มบนใบหน้าของนายท่านฉินกับฉินเฟยพลันชะงักค้าง
ครอบครัวของฉินซีเดินลงมาจากรถแล้วก็เห็นพวกเขา เพราะโดนขับไล่ออกมาจากตระกูล โจวยู่ชุ่ยที่เดิมมีโกรธอยู่เต็มท้อง แต่พอเธอเห็นท่าทีของสองปู่หลาน ในใจจึงมีความสุขมาก
นายท่านฉิน ขอบคุณมากที่ท่านออกคำสั่งการของผู้นำไล่พวกเราออกจากตระกูล ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้พวกเราก็คงมีญาติที่ไร้ประโยชน์มากมาย ท่านก็รู้ว่าหลังจากแต่งเข้าตระกูลร่ำรวยแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการมีญาติจน ๆ มาก่อความวุ่นวาย” โจวยู่ชุ่ยพูดอย่างจงใจ ในคำพูดเต็มไปด้วยถ้อยคำถากถาง
“หมายความว่ายังไง?” นายท่านฉินถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“ที่แท้ท่านยังไม่รู้หรอกเหรอ?”
โจวยู่ชุ่ยพูดด้วยสีหน้าลำพองใจว่า “เมื่อครึ่งเดือนก่อน ตระกูลซูมาส่งสินสอดมูลค่ามหาศาลมาถึงบ้าน จริงสิ ยังมีคฤหาสน์มูนไลท์อีกหนึ่งหลัง ช่วงนี้พวกเรากำลังเตรียมจะย้ายเข้าไปอยู่แหนะ! ส่วนบ้านเก่า ๆ ของตระกูลฉินนั่นน่ะ ทั้งเก่าทั้งชำรุด จะมาคู่ควรกับฐานะลูกสะใภ้ของตระกูลร่ำรวยอันดับหนึ่งอย่างลูกสาวฉันได้อย่างไร?”
“เธอ แค่ก ๆ”
“ท่านปู่!”
ปากที่อำมหิตของโจวยู่ชุ่ยพูดออกมาไม่กี่ประโยคนี้ นายท่านฉินก็โกรธจนเกือบจะเป็นลมเป็นแล้งไป คนตระกูลฉินรุมล้อมเขาไว้ทันที
โจวยู่ชุ่ยนับว่าได้พ่นเรื่องเหม็นเน่าออกมาแล้ว ก็รู้สึกเบาสบายไปทั้งตัวในทันที
นึกไม่ถึงว่าภายใต้การนำทางของแผนกต้อนรับของโรงแรม ทั้งครอบครัวของเธอจะได้นั่งอยู่ที่นั่งหน้าสุด
ฉากนี้ทำให้ตระกูลร่ำรวยมากมายของเจียงโจวตกตะลึงเป็นอย่างมาก ล้วนพากันสอบถามกันถึงฐานะของครอบครัวนี้
สามารถนั่งด้านหน้าสุดในงานเลี้ยงระดับนี้ได้ ถ้าไม่รวยมากก็ฐานะสูงส่งมาก
“ขอโทษครับ ที่นั่งของพวกเราอยู่ตรงไหนครับ?”
พอเห็นว่าไม่มีใครมารับรอง ฉินเฟยก็ดึงตัวพนักงานต้อนรับคนหนึ่งมาถาม
พนักงานต้อนรับสาวสวยรับจดหมายเชิญมาดูครั้งหนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงเย็น “บนจดหมายเชิญเขียนหมายเลขโต๊ะไว้อยู่ พวกคุณไม่รู้จักตัวเลขเหรอ?”
โรงแรมสตาร์ไลท์เป็นทรัพย์สินของตระกูลซู แม้จะเป็นพนักงานต้อนรับ แต่ตระกูลฉินก็ไม่กล้าล่วงเกิน ทำได้เพียงโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกไป
คนตระกูลฉินหาที่นั่งได้ง่ายมาก เพราะว่าอยู่ที่ประตูห้องโถงใหญ่ เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกับโต๊ะอาหารโต๊ะอื่น ทั้งเล็กกว่ามาก และที่นั่งก็เป็นแบบที่ทำมาจากไม้ เรียบง่ายที่สุด
แต่คนตระกูลฉินกลับไม่มีความรู้สึกอะไรแม้แต่น้อย กลับทะนงตัวว่าสามารถเข้ามาในโรงแรมได้ คนมากมายมองดูคนตระกูลฉินราวกับมองคนโง่อย่างไรอย่างนั้น
สองทุ่มตรง งานเลี้ยงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ทันทีที่เสียงดนตรีรื่นหูดังขึ้น พิธีกรก็เดินขึ้นมาบนเวที
หลังจากกล่าวต้อนรับเสร็จ พิธีกรก็พูดยิ้ม ๆ ว่า “วันนี้ที่เชิญทุกท่านมาที่นี่เพราะมีเรื่องใหญ่สามเรื่องต้องการจะประกาศ”
เนื่องจากจดหมายเชิญถูกส่งออกไปแบบไม่ได้ลงนาม จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่จัดงานเป็นใคร
ทุกคนได้ยินคำพูดของพิธีกรก็หูผึ่ง
“เรื่องที่หนึ่ง เยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาเจียงโจวเปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการวันนี้ และได้ตกลงร่วมงานระยะยาวกับซานเหอกรุ๊ปแล้ว หวังว่าต่อจากนี้ไปจะได้รับการชี้แนะจากทุกท่านครับ!”
เมื่อข่าวแรกเปิดเผยออกไป คนทั้งห้องก็ส่งเสียงกันเซ็งแซ่
สำหรับซานเหอกรุ๊ปนั้น ไม่มีใครในที่นี้ไม่รู้จัก เพราะว่าหญิงงามอันดับหนึ่งในเจียงโจวก็เคยเป็นประธานของบริษัทนี้
เพียงแต่ตอนนี้บริษัทนี้อยู่ในการควบคุมของตระกูลฉิน ตระกูลฉินเล็ก ๆ มีคุณสมบัติมาร่วมงานกับเยี่ยนเฉินกรุ๊ปเหรอ?
ถ้าหากพูดว่าเยี่ยนเฉินกรุ๊ปมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฉิน แต่ทำไมตระกูลฉินถึงถูกจัดที่นั่งไว้ที่ด้านหลังสุดล่ะ?
ในตอนที่ทุกคนกำลังสับสนงงงวยกันอยู่ สีหน้าของคนตระกูลฉินก็ไม่น่ามองขึ้นในชั่วพริบตา
จนกระทั่งถึงตอนนี้พวกเขาถึงจะรู้ตัวว่า สาเหตุที่พวกเขาได้รับเชิญมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะผู้มีอำนาจใดให้ความสำคัญกับศักยภาพของตระกูลฉิน แต่เป็นเพราะจงใจให้พวกเขามาขายหน้าโดยเฉพาะ
“ท่านปู่ พวกเขาดูถูกพวกเราเกินไปแล้ว!” ฉินเฟยพูดด้วยความโมโห ดวงตาแดงก่ำ
“หุบปาก!”
สีหน้าของนายท่านฉินอึมครึมอย่างถึงที่สุด “ต่อให้เป็นการเหยียดหยามตระกูลฉิน แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็จำเป็นต้องยอมรับมัน ถ้าแกกล้าก่อเรื่องต่อหน้าทุกคน หลังจากคืนนี้ไป เจียงโจวคงจะไม่มีตระกูลฉินอีกต่อไป”
“พวกเราตระกูลซูหวังว่าจะได้ร่วมงานกับซานเหอกรุ๊ปครับ”
ในตอนที่ทุกคนยังเรียกสติคืนกลับมาไม่ได้ เสียงของซูเฉิงอู่ก็ดังขึ้นทันที
“ตระกูลหวังของผมก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกับซานเหอกรุ๊ปครับ!”
“ตระกูลจางของผมยินดีจะร่วมงานกับซานเหอกรุ๊ปครับ!”
“ตระกูลหลี่ของผมเองก็ยินดีจะร่วมงานกับซานเหอกรุ๊ปเช่นกันครับ!”
……
เสียงของซูเฉิงอู่เพิ่งจะสิ้นสุด เงาของหลายร่างก็ลุกขึ้นต่อเนื่องกัน ทุก ๆ คนล้วนเป็นผู้นำของทุกตระกูลที่ร่ำรวย
สีหน้าของคนของตระกูลฉินล้วนแต่ไม่น่ามองจนถึงที่สุด สามวันก่อน ซานเหอกรุ๊ปเพิ่งจะเป็นของชดเชย เพียงชั่วพริบตาตระกูลร่ำรวยมากมายก็รุกจะขอร่วมงานด้วย หลัง จากผ่านคืนนี้ไป เกรงว่ามูลค่าทางการตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
“ทุกท่านคะ เรื่องการร่วมมือกัน รอหลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกท่านสามารถไปคุยกับซานเหอกรุ๊ปได้นะคะ ต่อจากนี้ไปพวกเรามาพูดเรื่องที่สองกันต่อเลยดีกว่านะคะ” เสียงของพิธีกรสาวสวยดังขึ้นในฉับพลัน จึงทำให้กระแสคลื่นการร่วมงานกันสงบลงได้
“วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ในปีนั้น ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาจึงจำเป็นต้องแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แต่คุณสามีคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคุณภรรยา ก็เลยจากไปโดยไม่ได้ร่ำลา จากไปครานั้นก็เป็นเวลาห้าปี”
“สามวันก่อน ที่สมาคมการประมูลเนเวอร์ไนต์คลับ ชายลึกลับคนหนึ่งใช้วิธีการร้ายกาจประมูลเครื่องประดับสะสมหายากด้วยราคาแพงติดต่อกัน หนึ่งในนั้นรวมถึงแหวนเพชรดวงดาวชมพูหนึ่งวงที่มีมูลค่าห้าร้อยล้าน และเขาก็คือคุณสามีคนนั้นค่ะ!”
“ฟึ่บ!”
ในตอนนี้เอง ฉากม่านด้านหลังของพิธีกรก็แยกออกเป็นสองฝั่งโดยอัตโนมัติในทันที ตู้โชว์กระจกสิบกว่าตู้ปรากฏขึ้นภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน
ตรงกลางของตู้โชว์กระจกทุกตู้จัดวางเครื่องประดับฝีมือประณีตงดงามไว้หนึ่งชิ้น
“เป็นเครื่องประดับที่ถูกประมูลไปเมื่อสามวันก่อน!” มีคนตะโกนออกมาด้วยความตื่นตกใจเสียงหนึ่ง
“สร้อยคอน้ำตาแห่งดวงดาว แหวนดวงดาวชมพู…”
เครื่องประดับทั้งหมดที่ถูกประมูลไปที่เนเวอร์ไนต์คลับในคืนนั้น ในตอนนี้ถูกจัดแสดงออกมาทั้งหมด ทุก ๆ ชิ้นล้วนมีมูลค่าไม่ธรรมดา
เจียงโจวไม่ขาดแคลนมหาเศรษฐีตระกูลร่ำรวยร้อยล้าน แต่กลับไม่มีใครยินดีจะจ่ายเงินเป็นพันล้านเพื่อซื้อของพวกนี้
หญิงชั้นสูงที่มีชื่อเสียงหลายคนในเจียงโจวมองดูเครื่องประดับที่ประณีตงดงามทุก ๆ ชิ้น ล้วนแต่มีสีหน้าอิจฉา อย่าว่าแต่เยอะขนาดนี้เลย แค่สามารถครอบครองชิ้นใดชิ้นหนึ่งในนี้ได้ ก็เพียงพอให้พวกเธอคุยโม้ไปทั้งชาติแล้ว
ฉินซีที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดก็ปรากฏแววอิจฉาในดวงตาขึ้นหลายส่วน เธอพึมพำเบา ๆ “ภรรยาคนนี้คงจะมีความสุขมาก!”
“วันนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นวันครบรอบแต่งงานของพี่กับเขาใช่ไหมคะ?”
ฉินยีถามขึ้นทันที จากนั้นก็ยิ้ม “พี่สาว คุณสามีที่พิธีกรพูดถึงคนนั้น คงจะไม่ใช่หยางเฉินหรอกมั้ง? ของพวกนี้เตรียมมาเพื่อพี่เลย?”
ฉินซีมีสีหน้าปวดใจส่ายหน้า ไม่พูดอะไร
“เด็กอย่างเธอนี่พูดมั่วอะไรกัน? ถ้าหากหยางเฉินสามารถซื้อเครื่องประดับพวกนี้ได้ ฉันจะเอาสมองของฉันบีบออกมาให้เขาทำเป็นม้านั่ง” โจวยู่ชุ่ยถลึงตาใส่ฉินยีครั้งหนึ่งอย่างไม่มีท่าทีที่ดี
“แม่คะ นี่แม่พูดเองนะ! ถึงเวลาอย่ามาเปลี่ยนใจล่ะ” ฉินยีพูดขึ้น
“เธอยังจะตื่นเต้น!” โจวยู่ชุ่ยหัวเราะไปด่าไป
ตอนนี้เสียงตื่นเต้นเร้าใจของพิธีกรก็ดังขึ้นอีกระดับหนึ่ง
“ห้าปีก่อน เป็นเพราะความยากจน คุณสามีคนนี้เลยไม่เคยมอบของขวัญให้คุณภรรยาแม้แต่ชิ้นเดียว เพื่อเป็นการชดเชยความเสียใจในปีนั้น เขาจะมอบของทั้งหมดพวกนี้ให้กับภรรยาของเขา ตอนนี้ขอเชิญพวกเราเป็นประจักษ์พยานนาทีแห่งความสุขนี้!”
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ลำแสงหลายลำยิงลงมาพร้อม ๆ กัน
แสงไฟไปบรรจบรวมอยู่ที่จุดหนึ่ง เป็นจุดหน้าสุดพอดี ผู้หญิงที่สวยงามที่สุดคนนั้น