The king of War - บทที่ 220 คุณตกลงไหม
ฉินซีนึกว่าหยางเฉินจะเอาตะกร้าดอกไม้ให้เธอ จนกระทั่งตอนนี้ เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดเยอะไป
จู่ๆ เธอก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นคุณปู่เอาดอกไม้ให้คุณย่า ใบหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เธอก็รู้สึกว่ามันมีความหมายมาก
“ไปกันเถอะ!”
หลังจากที่หยางเฉินให้ดอกไม้ไปหมด เขายิ้มและจูงมือฉินซีเดินต่อไป
“นายจะพาฉันไปไหน”
เมื่อเห็นว่าหยางเฉินไม่ได้พาเธอไปลานจอดรถ เธอจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง!” หยางเฉินยิ้มและเอ่ยขึ้น
ฉินซีกลอกตามองบน ก่อนหน้านี้เขาก็พูดแบบนี้ ตอนที่พาเธอไปโดดบันจี้จัมพ์ นี่ก็พูดอีกแล้ว
จนกระทั่งหยางเฉินพาเธอเข้ามาในวานด้าพลาซ่า ฉินซียิ่งสงสัยเข้าไปอีก หยางเฉินไม่พูดอะไร เธอก็ไม่ถามอะไรเช่นกัน
วานด้าพลาซ่าอยู่ตรงข้ามสวนสนุกเมืองโจวเฉิง เดินประมาณสองร้อยเมตรก็ถึง
ตอนนี้ไฟสว่างไปทั่ววานด้าพลาซ่า คนเยอะแยะไปหมด คนจำนวนมากหยิบมือถือขึ้นมา ถ่ายรูปข้างบนตรงกลางโถงกว้าง
ข้างบนโถงกว้าง มีลูกโป่งสีชมพูจำนวนมาก ลูกโป่งถูกจัดเป็นรูปหัวใจ
“สวยมากเลย!”
ฉินซีเงยหน้าขึ้นมองหัวใจขนาดใหญ่ เธอมองอย่างอิจฉาว่า “นี่ไม่ใช่สถานที่สารภาพรักใช่ไหม”
“อาจจะใช่มั้ง!”
หยางเฉินยกยิ้มมุมปาก
พูดจบ หยางเฉินก็จูงมือฉินซี เดินเข้าไปกลางโถงใหญ่
“นายจะทำอะไรน่ะ”
ฉินซีตกใจและรีบเอ่ยถาม
เพราะกลางโถงกว้าง ไม่มีใครสักคน ทุกคนพากันมองอยู่รอบๆ
แต่น่าแปลกใจที่พนักงานดูแลสถานที่ ไม่มาห้ามหยางเฉินเลยสักคน
ถึงฉินซีจะตกใจ แต่ไม่นาน เหมือนเธอคิดอะไรบางอย่างได้ หัวใจของเธอเต้นตึกตัก
ทั้งสองเดินมากลางโถงกว้าง ขณะเดียวกันเสียงบรรเลงเปียโนก็ดังขึ้นช้าๆ เป็นเพลง Für Elise ของเบโทเฟน
สายตาของคนจำนวนมาก มองมายังสองคนที่โดดเด่นกลางโถงกว้าง
จู่ๆ พนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอเปิดกล่องออกอย่างระมัดระวัง ข้างในมีแหวนสีชมพูระยิบระยับ
นี่เป็นแหวนเพชรรูปดาวสีชมพู ที่หยางเฉินเคยเอามาสารภาพรักกับฉินซีในครั้งแรก เขาประมูลแหวนนี้ มาในราคาห้าร้อยล้าน
“เสี่ยวซี ครั้งก่อนคุณปฏิเสธผม”
หยางเฉินยิ้มอย่างเอ็นดู
“ตุ้บ!”
พูดจบ เขาก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น พร้อมกับแหวนเพชรรูปดาวสีชมพู เขามองฉินซีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึก “คุณภรรยา ครั้งนี้คุณยอมแต่งงานกับผมไหม”
หยางเฉินพูดจบ ฉินซีช็อกไป เธอเอามือทั้งสองข้างปิดปาก น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด
ครั้งก่อนตอนสารภาพรักที่โรงแรมสตาร์ไลท์ในเจียงโจว เธอปฏิเสธหยางเฉิน
อันที่จริง เธอประทับใจกับความรักของหยางเฉินตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว
แต่ทว่าตอนนั้น เธอรู้ดีว่าตัวเองแค่ประทับใจ ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับหยางเฉิน
ต่อมา ทั้งคู่ได้ผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย หยางเฉินช่วยเธอหลายต่อหลายครั้ง ในใจของเธอมีเขาตั้งนานแล้ว
เธอแน่ใจว่าทั้งชีวิตนี้ เธอรักได้แค่หยางเฉินเพียงคนเดียว
“แต่งเลย!”
“แต่งเลย!”
“แต่งเลย!”
……
จู่ๆ คนในโถงวานด้าพลาซ่านับพันคน ต่างส่งเสียงเชียร์ออกมา
เสียงเชียร์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนก้องกังวานไปทั้งโถงกว้าง
ขนาดคนที่อยู่ข้างนอกวานด้าพลาซ่า ก็ยังได้ยินเสียงเชียร์
“ฉันตกลง!”
จู่ๆ ฉินซีก็ตะโกนออกมา และรีบเดินไปข้างหน้า
ถึงแม้ตอนนี้ใบหน้าของเธอจะเต็มไปด้วยน้ำตา แต่รอยยิ้มแห่งความสุขกลับอยู่บนใบหน้าของเธอ เธอยืนตรงหน้าหยางเฉิน และยื่นมือขวาออกมา
ตอนที่ฉินซีตอบตกลงออกมา หยางเฉินดีใจมาก ห้าปีเต็มๆ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
ขณะที่ทุกคนกำลังส่งเสียงเชียร์ แหวนเพชรรูปดาวสีชมพู มูลค่าห้าร้อยล้าน ถูกสวมลงไปบนนิ้วนางข้างขวาของฉินซี
เมื่อห้าปีก่อน ตอนที่ทั้งสองแต่งงานกัน แม้แต่แหวน ฉินซีก็เป็นคนเตรียม
แต่ทว่าวันนี้ ในที่สุดหยางเฉินก็ได้สมใจหวัง เขาเอาแหวนเพชรที่ตัวเองเตรียมไว้ สวมลงบนนิ้วมือของฉินซีด้วยตัวเอง
“ตุ้บ!”
ขณะนั้น ลูกโป่งที่ถูกจัดเป็นรูปหัวใจกลางโถง ลอยกระจายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
คนที่โถงส่งเสียงโห่ร้องอย่างประทับใจ บรรยากาศถึงจุดพีค
เมื่อทุกคนตามหาหญิงชายที่โดดเด่นในวันนี้ หยางเฉินกับฉินซีก็ออกมาแล้ว
ภายในรถออดี้ A6 ฉินซีนั่งอยู่ข้างคนขับด้วยสีหน้ามีความสุข เธอกอดกุหลาบช่อใหญ่เอาไว้ กุหลาบช่อนี้มีจำนวน 99 ดอก
ก่อนหน้านี้ ตอนที่หยางเฉินเอาดอกกุหลาบ 99 ดอกนั่นให้คุณปู่ ฉินซีรู้สึกผิดหวังมาก
หลังจากที่หยางเฉินสวมแหวนให้เธอ พนักงานก็เอาดอกกุหลาบช่อใหญ่มาให้ คืนนี้เป็นคืนที่งดงามที่สุดสำหรับฉินซี
ฉินซีมองหยางเฉินที่กำลังขับรถเป็นพักๆ แถมยังมีเสียงหัวเราะออกมาเป็นระยะ
“คุณภรรยา!”
หยางเฉินมองไปข้างหน้า จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา
“ทำไมเหรอ”
ฉินซีเอ่ยถาม
“คืนนี้ ไม่ต้องกลับไปดีไหม”
หยางเฉินเก็บประโยคนี้อยู่นาน ใกล้ถึงโรงแรมที่เขาพักแล้ว เขาจึงพูดออกมา
แต่เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา หน้าของเขาร้อนผ่าวและแดงเหมือนตูดลิง
ฉินซีอึ้งไป ไม่นาน เธอก็ตั้งสติได้ หน้าของเธอแดงก่ำ เพราะรู้ความหมายที่หยางเฉินต้องการจะสื่อ
นอกจากตอนที่สลบเมื่อห้าปีก่อน ทั้งสองยังไม่เคยทำอะไรจนถึงขั้นนั้น
วันนี้ฉินซีเปิดใจให้หยางเฉิน เป็นเวลาที่ต้องฝ่าฟันความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
“ญาติฉันมาน่ะ!”
ฉินซีกำลังจะตอบตกลง แต่ก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ และพูดเสียงเบาออกมา
“หา? ญาติมาเหรอ ญาติคนไหน”
หยางเฉินตั้งสติและถามอย่างงุนงง
ฉินซีมีสีหน้าเขินอาย เธอกัดฟันพูดว่า “ฉันมีประจำเดือนน่ะ!”
ครั้งนี้ หยางเฉินเข้าใจแล้ว ใบหน้าที่แดงเป็นตูดลิง ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่
“คุณอยากทานอะไร เดี๋ยวผมเลี้ยง!”
หยางเฉินรีบพูดออกมา เพราะอยากทำลายบรรยากาศที่กระอักกระอ่วน
ตอนที่ทั้งสองคนออกมาจากสวนสนุกเมืองโจวเฉิง เพิ่งจะห้าโมงเย็น จากนั้นจึงไปต่อที่วานด้าพลาซ่า
ตอนนี้ยังไม่ค่ำมาก ท้องฟ้าเพิ่งมืดลงเท่านั้น นี่เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี
ฉินซียังไม่ทันตอบอะไร เสียงมือถือดังขึ้นเสียก่อน
หลังจากที่รับสาย เสียงที่คุ้นเคยดังออกมา “พี่ ฉันนัดคนในตระกูลใหญ่ของเจียงโจวแล้ว หนึ่งทุ่มตรงที่ร้านอาหารเป่ยหยวนชุน ต้องมาให้ได้นะ!”
ฉินซีเพิ่งนึกขึ้นได้ ตอนอยู่ที่พิพิธภัณฑ์โจวเฉิง หยางเฉินตอบตกลงเรื่องมื้ออาหารของเจิ้งเหม่ยหลิงแทนเธอ
เธอยกนาฬิกาขึ้นมาดู “นี่หกโมงครึ่งแล้ว! ฉันกับพี่เขยของเธอจะไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสายลง ฉินซีมองหยางเฉินด้วยแววตาตำหนิ เธอบ่นว่า “โทษนายเลย ตอบตกลงเรื่องทานอาหารกับเจิ้งเหม่ยหลิงแทนฉัน ฝั่งนั้นจองโต๊ะเรียบร้อยแล้ว จะปฏิเสธก็ไม่ได้แล้ว”
ตอนนี้ยังมีเวลา ฉินซีอยากอยู่กับหยางเฉินในโลกของเราทั้งสองคนอีกสักหน่อย
หยางเฉินก็เหมือนกัน เขารู้สึกเสียใจ จากนั้นจึงพูดว่า “หรือเราจะไม่ไป!”
“ได้ไงกันล่ะ ในเมื่อรับปากแล้ว ก็ต้องไปสิ!”
ฉินซีเป็นคนรักษาสัญญา เธอไม่กลับคำอย่างแน่นอน
อีกอย่าง คนที่เจิ้งเหม่ยหลิงนัดมา ล้วนเป็นคนในตระกูลใหญ่ของเจียงโจว ไม่แน่อาจใช้การทานอาหารมื้อนี้ เปิดตลาดซานเหอกรุ๊ปในเจียงโจวก็ได้