The king of War - บทที่ 225 ห้องอาหารข้างๆ
แน่นอนว่าเช็คห้าล้านที่หยางเฉินได้มา คือเช็คที่ให้เขาออกไปจากชีวิตฉินซี เขาพูดประโยคนี้ออกมาไม่ได้
ฉินซีที่ให้ความร่วมมือกับหยางเฉิน รู้สึกกังวลขึ้นมา เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าเงินห้าล้านนั่น ไม่ใช่เงินสินสอด แต่เธอก็แสร้งทำเป็นเชื่อ
เพราะเฉินอิงเหาเป็นผู้สืบทอดตระกูลไฮโซในเมืองโจวเฉิง เรียกได้ว่าเมืองโจวเฉิง เป็นโลกของเฉินอิงเหาได้เลย
“คุณสามี คืนเงินให้เขาเถอะ!”
ฉินซีดึงปลายเสื้อของหยางเฉิน และเอ่ยขึ้นเสียงเบา
ถึงเธอจะพูดเบา แต่ในห้องอาหารที่เงียบขนาดนี้ กลับได้ยินอย่างชัดเจน
หยางเฉินไม่ได้พูดอะไร เขาหรี่ตามองเฉินอิงเหา “นายกำลังข่มขู่ฉันเหรอ”
“จะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้!”
เฉินอิงเหาพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
เขานั่งลงไปและใช้มือขวาวางบนโต๊ะ นิ้วชี้เคาะลงบนโต๊ะไม่หยุดจนเกิดเสียงชัดเจน เหมือนกำลังเร่งให้หยางเฉิน คืนเช็คนั่นกลับมา
ขณะที่ทุกคนกำลังรอให้หยางเฉินคืนเช็ค จู่ๆ หยางเฉินก็เก็บเช็คห้าล้านลงในกระเป๋า
เมื่อเห็นการกระทำของเขา สายตาของเฉินอิงเหาฉายแววเย็นยะเยือก
“ฉันเป็นคนนิสัยเสีย ก็คือไม่กลัวอะไร ถ้าคนอื่นยอมอ่อนข้อให้ฉัน บางทีฉันอาจจะไว้หน้าเขาก็ได้ แต่ถ้าคนอื่นบีบบังคับให้ฉันทำ ก็ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ทำแบบนั้นอย่างแน่นอน
หยางเฉินจับมือฉินซี และนั่งลง”
“คุณสามี!”
ฉินซีเป็นกังวลมาก เธอร้องเรียกขึ้นมาเบาๆ
หยางเฉินจับมือฉินซีแน่น เขายิ้มอย่างอบอุ่น “คุณภรรยาวางใจได้เลย ผมไม่ทำให้คุณเป็นอันตรายแน่นอน!”
ประโยคนี้เป็นการบอกฉินซีว่า เขาไม่มีทางทำเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้
อีกอย่างตอนนี้ฉินซีอยู่ข้างเขา ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉินซีอาจจะตกอยู่ในอันตราย
เฉินอิงเหาเป็นคนฉลาด เขาจะไม่รู้สิ่งที่หยางเฉินต้องการจะสื่อได้อย่างไร
ต้องเชื่อมั่นในตนเอง ถึงจะแสดงท่าทีแบบนี้ออกมาได้
จู่ๆ เฉินอิงเหาก็สงสัยขึ้นมา หรือว่าเรื่องที่เจิ้งเหม่ยหลิงบอกเขา มีอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า
เห็นท่าทีที่หยางเฉินแสดงออกมา แถมอำนาจบนตัวของเขา ไม่เหมือนกับลูกเขยที่แต่งเข้ามาในบ้านผู้หญิงสักนิด
ท่าทีที่หยางเฉินแสดงออกมา มีโอกาสเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตระกูลเฉินมีหน้ามีตาในเมืองโจวเฉิง สองคือ เขาเป็นคนโง่
เมื่อนำมาเทียบกันแล้ว เขาเชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างแรก
“นายรู้ไหม ตระกูลเฉินหมายถึงอะไร ในเมืองโจวเฉิง” เฉินอิงเหาพูดออกมา
หยางเฉินตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ก็แค่ตระกูลเล็กๆ ไม่ใช่เหรอ มีอะไรดีเหรอ”
สำหรับเขาแล้ว ตระกูลเฉินก็แค่ตระกูลเล็กๆ ในจิ่วโจว
ดูเหมือนเฉินอิงเหาจะแน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ หยางเฉินไม่รู้ว่าตระกูลเฉินมีอำนาจแค่ไหนในเมืองโจวเฉิง
เมื่อมุมมองไม่เหมือนกัน ก็มองเรื่องราวคนละแบบ
“เหม่ยหลิง พี่เขยจนๆ ของเธอ ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจว่าตระกูลเฉินอยู่ในจุดไหน เธอบอกเขาไปสิ”
จู่ๆ เฉินอิงเหาก็แสยะยิ้ม และพูดกับเจิ้งเหม่ยหลิง
“พี่เหา เขาไม่รู้แน่นอน ไม่งั้นจะกล้าพูดแบบนี้กับพี่เหรอ แต่ก็พอเข้าใจได้ เพราะเขาก็แค่กากเดนชั้นต่ำในสังคม จะไปรู้ความยิ่งใหญ่ของตระกูลได้อย่างไร”
เจิ้งเหม่ยหลิงพูดเสียดสี เธอมองหยางเฉินแล้วพูดว่า “ในเมืองโจวเฉิง มีสองตระกูลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ตระกูลแรกคือตระกูลหยวน อีกตระกูลคือตระกูลเฉินของพี่เหา และพี่เหากำลังจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลในอนาคต เขาจะเป็นผู้ควบคุมตระกูลเฉิน”
“พี่เหาเปรียบดั่งดาวดวงที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า ส่วนนายก็แค่ฝุ่นบนพื้น พูดแบบนี้ นายคงจะรู้ว่าพี่เหาเป็นใคร”
เจิ้งเหม่ยหลิงพูดเสียดสีออกมา โดยยกย่องเฉินอิงเหา และกดหยางเฉินจนจมดิน
หยางเฉินแสยะยิ้ม “ไม่รู้จักแล้วจะกลัวทำไม!”
เขาพูดเพียงประโยคเดียว เพราะขี้เกียจเปลืองน้ำลายกับเจิ้งเหม่ยหลิง
“ปัง!”
ขณะที่กำลังจะพาฉินซีออกไป จู่ๆ ก็มีคนเปิดประตูห้องอาหารอย่างแรง
เห็นเพียงวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปี เดินโซซัดโซเซเข้ามา
“พวกนายเป็นใคร ทำไมถึงเข้ามาในห้องอาหารของเรา”
วัยรุ่นคนนั้นกำลังจะหาที่นั่ง แต่พบว่าไม่มีที่นั่งแล้ว เขาจึงเอ่ยถามขึ้น
“ไอ้ฉิบหาย! ไอ้ขี้เมานี่มาจากไหน รีบไล่มันออกไป!”
ขณะนั้น สุนัขรับใช้ของเฉินอิงเหา ที่ชื่อว่าหวังฉีรีบหันไปตวาดวัยรุ่นคนนั้น เขาลุกขึ้นไปไล่
“โอ๊ะ! คนสวย! ฮิฮิ ฉันชอบ!”
หวังฉียังไม่ทันได้เดินเข้าไป วัยรุ่นขี้เมาเห็นเจิ้งเหม่ยหลิงพอดี เขายิ้มและยื่นมือไปตรงหน้าอกของเธอ
“กรี๊ด! ทุเรศ!”
เจิ้งเหม่ยหลิงกรี๊ดออกมา เธอรีบหลบมือปลาหมึกของอีกฝ่าย
“ไอ้ฉิบหาย! กล้าดียังไงถึงหลบฉัน รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
วัยรุ่นคนนั้นเห็นเจิ้งเหม่ยหลิงหลบ เขาจึงตวาดออกมาอย่างโมโห และยกมือขึ้นมาหวังจะตบ
“ไอ้ฉิบหาย! กล้ามาอวดเก่งต่อหน้าพี่เหา สงสัยไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ฉันจะฆ่าแกเอง!”
หวังฉีเข้าไปถีบวัยรุ่นขี้เมา จนวัยรุ่นคนนั้นล้มลงกับพื้น
คนอื่นกลัวว่า หวังฉีจะได้ความดีความชอบเพียงคนเดียว จึงพากันกรูเข้ามากระทืบวัยรุ่นขี้เมา
ไม่นาน ใบหน้าของวัยรุ่นขี้เมาก็บวมเป่งและฟกช้ำดำเขียว เลือดเต็มหน้าไปหมด
“พวกแกรอก่อนเถอะ!”
เขาถ่มน้ำลายที่มีเลือดปนลงพื้น จากนั้นจึงกัดฟันตวาดออกมาและหันหลังวิ่งออกไป
“ให้ตายเถอะ นี่มันวันอะไรกัน ทำไมถึงมีแต่คนโง่”
หวังฉีเดินบ่นและกลับไปนั่งที่เดิม ขณะที่พูดก็หันไปมองหยางเฉินอย่างข่มขู่
เฉินอิงเหายังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขายิ้มบางๆ และเอ่ยว่า “สมัยนี้คนอวดดีมันเยอะ ถ้ามีแต่เจ้าพ่อ แล้วใครจะมาเป็นลูกกะจ๊อกล่ะ ฉันพูดถูกไหม คุณหยาง”
หยางเฉินยิ้ม “ฉันเห็นด้วยกับประโยคนี้ บางคนก็แค่ขยะ แต่กลับโม้ว่าตัวเองเป็นเจ้าพ่อ ถึงขนาดที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองไปล่วงเกินใครเข้า แถมยังน่ารำคาญอีก ฉันพูดถูกไหม พี่เหา”
เฉินอิงเหาหรี่ตาลง หยางเฉินพูดคำที่ตัวเองพูดอีกแล้ว
ขณะเดียวกันที่ห้องอาหารข้างๆ
“ลูกเป็นอะไรไป”
คนวัยกลางคนที่นั่งตรงหัวโต๊ะ เห็นมู่เจิ้นเดินเข้ามาด้วยใบหน้าฟกช้ำดำเขียว เขาตกใจและรีบเดินเข้าไปทันที
มู่เจิ้นคือวัยรุ่นขี้เมา ที่เดินเข้าไปผิดห้องนั่นเอง
ถ้าเฉินอิงเหาอยู่ที่นี่ เขาต้องเห็นว่าในห้องอาหารนี้ มีแต่คนใหญ่คนโตในเมืองโจวเฉิง
และพ่อของมู่เจิ้นนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งของเขาสูงแค่ไหน
“ไอ้ฉิบหาย พวกเลวในห้องอาหารข้างๆ มันกล้าทำร้ายผม! ถ้าวันนี้ผมไม่ถลกหนังพวกมันออกมา อย่ามาเรียกชื่อผม!”
มู่เจิ้นกัดฟันพูดออกมา
คนที่อยู่ในห้องอาหาร ต่างพากันหวาดกลัว
เพราะมู่เจิ้นถูกทำร้ายในเมืองโจวเฉิงที่เป็นถิ่นของพวกเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขากลัวแค่ไหน
“ฉิบหาย ใครกันที่กล้าทำร้ายลูกชายของมู่ตงเฟิง สงสัยจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว!”
มู่ตงเฟิงลุกขึ้นยืนและเดินออกไป
มีบอดี้การ์ดร่างกายกำยำ เดินตามหลังไปด้วยสองคน
หลังจากเหล่าเจ้าพ่อในเมืองโจวเฉิงมองหน้ากันไปมา จากนั้นจึงพากันลุกขึ้น ตามสองพ่อลูกออกไปที่ห้องอาหารข้างๆ