The king of War - บทที่ 25 ไม่สละแน่นอน
บทที่ 25 ไม่สละแน่นอน
ได้ยินคำพูดของโจวยู่ชุ่ย ฉินซีก็มีใบหน้าโกรธเคือง “แม่คะ หนูไปบอกตอนไหนว่าจะหย่ากับเขา? ต่อให้เขามีเงินเยอะจริง ๆ นั่นก็ไม่เกี่ยวกับหนูเลยสักนิด”
ทิ้งประโยคนี้ไว้ ฉินซีก็หมุนตัวจากไป
โจวยู่ชุ่ยไร้ความรู้สึกอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็มองไปยังฉินต้าหย่งที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ คำรามอย่างเดือดดาลว่า “รู้จักแต่อ่านหนังสือพิมพ์ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ลูกสาวคุณมีท่าทียังไง? คุณยังไม่ไปดูแลอีกเหรอ?”
“ฟึ่บ!”
ฉินต้าหย่งทิ้งหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างรุนแรง พูดอย่างโมโหว่า “จนป่านนี้แล้วเธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? หยางเฉินไม่ใช่ตัวไร้ประโยชน์เหมือนเมื่อปีนั้นอีกแล้ว เธอคิดว่าเพราะอะไรซูเฉิงอู่ถึงเกรงอกเกรงใจเธอเหรอ? ถ้าหากไม่ใช้เพราะไอ้สวะที่เธอพูด ซูเฉิงอู่จะรู้เหรอว่าเธอเป็นใคร?”
โจวยู่ชุ่ยจ้องเขม็ง เมื่อกี้ฉินซีเพิ่งจะตะคอกใส่เธอ ตอนนี้แม้แต่สามีที่นอบน้อมต่อเธอมาตลอดก็ยังกล้าตวาดใส่เธอแล้ว
“ตกลงเมื่อชาติที่แล้วฉันทำเวรทำกรรมอะไรไว้เหรอ? ถึงทำให้ฉันต้องมาเจอกับผัวกับลูกสาวอย่างพวกแก? ฉันอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว…” โจวยู่ชุ่ยร้องไห้โฮออกมาทันที
ฉินต้าหย่งเพียงรู้สึกรำคาญ หมุนตัวกลับเข้าห้องไป ทันใดนั้นทั้งห้องโถงใหญ่ก็เหลือเพียงโจวยู่ชุ่ยคนเดียว
“ฉันไม่สนว่าแกจะมีความสัมพันธ์อะไรกับซูเฉิงอู่ รู้เพียงว่าแกเป็นไอ้สวะคนหนึ่ง ฉันจะทำให้แกสิ้นเนื้อประดาตัวให้ได้!”
ห้องโถงใหญ่ไม่มีคนแล้ว โจวยู่ชุ่ยก็ไม่เสแสร้งอีก ใบหน้าโหดเหี้ยมขึ้นมา
ยอดเมฆา บ้านหรูหลังใหญ่ที่สุดในเจียงโจว ตั้งอยู่ ณ ยอดภูเขาจิ่วเฉิง จากตีนเขาถึงยอดเขามีเพียงทางหลวงเส้นเดียวที่ล้อมรอบภูเขาอยู่เพียงเพื่อจะนำไปสู่บ้านหรูบนยอดเขาหลังนั้น
ในตอนนี้เอง เงาร่างหนึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลังยืนอยู่หน้าบานหน้าต่างยาวจรดพื้นบานใหญ่
“ได้เวลาสร้างสีสันให้ตระกูลฉินแล้ว” หยางเฉินเอ่ยปากพูดขึ้นมาฉับพลัน
จากนั้นเขาโทรศัพท์ออกไปสายหนึ่ง “สร้างปัญหาให้ตระกูลฉินหน่อย”
“ครับ ท่านประธาน!” ปลายสายรีบตอบรับทันที
เช้าของวันที่สอง นายท่านฉินเพิ่งจะลุกจากที่นอน เงาร่างหนึ่งพรวดพราดเข้ามาโดยไม่ได้เคาะประตู
“ท่านปู่ แย่แล้วครับ!” สีหน้าของฉินเฟยซีดขาวเป็นอย่างยิ่ง
“เอะอะใหญ่โตมีเรื่องอะไร?”
นายท่านฉินตำหนิด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉันอบรมสั่งสอนแกมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ห้ามลุกลี้ลุกลนจนเกินไป ถ้าแกยังไม่เลิกนิสัยใจร้อนอยู่แบบนี้ ฉันจะวางใจมอบตระกูลไว้ในมือแกได้อย่างไร?”
“ท่านปู่ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจริง ๆ ครับ ที่โรงงานมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะอยู่ โดนบังคับให้หยุดผลิตชั่วคราวแล้ว” ฉินเฟยมีสีหน้าลุกลี้ลุกลน
นายท่านฉินที่เพิ่งจะอบรมฉินเฟยว่าให้ทำตัวสงบเยือกเย็นเข้าไว้ ในตอนนี้กลับนั่งไม่ติด ค่อย ๆ ขยับและลุกขึ้นมา พูดด้วยความโมโหว่า “โรงงานหยุดทำงาน? ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ฉินเฟยส่ายศีรษะ “ผมเพิ่งจะได้ยินข่าวก็รีบมาแจ้งกับท่านเลย ไม่ใช่แค่โรงงานโดนสั่งปิดนะ ธนาคารเองก็โทรศัพท์เข้ามา บอกว่าบริษัทของพวกเรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ล้มละลาย จำเป็นจะต้องจ่ายเงินกู้ให้ครบภายในก่อนเวลาเลิกงานวันนี้ ไม่อย่างนั้นจะฟ้องร้องพวกเราครับ”
นายท่านฉินได้ยินข่าวนี้แล้วรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาทันที แม้แต่หายใจยังติดขัดเป็นอย่างมาก
“ท่านปู่! ฉินเฟยตื่นตระหนก รีบประคองนายท่านฉินที่ร่างกายโยกไปมาเบา ๆ
“เรื่องนี้จะต้องมีคนเล่นงานพวกเราอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นโรงงานจะถูกสั่งปิดได้อย่างไร? ธนาคารทวงเงินขึ้นมากะทันหันอีก?” เวลาผ่านไปนานมากนายท่านฉินจึงเรียกสติคืนมาได้ ได้สติขึ้นมาอยู่หลายส่วน
ฉินเฟยกัดฟันพูด “เดิมพวกเราก็ไม่ได้กักตุนสินค้า เงินทุนจำนวนมากก็เอาไปลงกับวัตถุดิบ ตอนนี้โรงงานหยุดทำงานแล้ว สร้างความเสียหายให้พวกเราอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้แล้วฝ่ายที่มีสัญญาพวกนั้นจะต้องมาเอาสินค้ากับพวกเราแน่ พอไม่มีวิธีหาสินค้ามาให้พวกเขาจะไม่ทำแค่ยกเลิกสัญญา อาจจะถึงขั้นให้พวกเราชดใช้เงินค่าผิดสัญญาตามข้อตกลงในสัญญาอีก ท่านปู่ ตระกูลฉินจะจบสิ้นจริง ๆ แล้ว!”
“เพี๊ยะ!”
นายท่านฉินตบหน้าฉินเฟยไปหนึ่งที พูดด้วยความโมโหว่า “ยังไม่ถึงตอนสุดท้ายก็พูดคำพูดบั่นทอนกำลังใจพวกนี้แล้ว ถ้าหากฉันมอบตระกูลฉินให้แกละก็ ตอนนี้แกคงจะสละตระกูลฉินแล้วใช่ไหม?”
“ท่านปู่ ผมผิดไปแล้ว ผมจะไม่สละแน่นอนครับ” โดนตบมาหนึ่งที ฉินเฟยก็สงบลงไม่น้อย
“นี่ถึงจะเหมือนเป็นหลานชายของฉันหน่อย เพียงแต่ว่าต้องใช้สมอง เรื่องใดใดก็ตาม ยังไม่ถึงตอนสุดท้าย จะสละไม่ได้เด็ดขาด” เห็นฉินเฟยสามารถเข้าใจได้ นายท่านฉินจึงจะพอใจ
ฉินเฟยแสร้งทำเป็นคิดเล็กน้อย แล้วก็เอ่ยปากพูดว่า “ท่านปู่ ตอนนี้ผมมีเรื่องสองเรื่องจำเป็นจะต้องทำ เรื่องที่หนึ่งหาหนทางอธิบายกับคู่สัญญา ให้พวกเขายืดเวลาให้พวกเราสักสองสามวัน เรื่องที่สอง พวกเราจำเป็นจะต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องเงินทุน ปิดช่องโหว่เรื่องเงินกู้ก่อน”
“ไม่ผิด นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ยากที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ เรื่องที่หนึ่งยังแก้ไขง่าย แต่เรื่องที่สองนี่สิ ยากมาก แม้แต่ธนาคารก็ยังไม่ยินยอมปล่อยเงินกู้ให้พวกเราต่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถาบันเงินกู้อื่นเลย” นายท่านฉินขมวดคิ้วพูด
“ท่านปู่ ผมนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้กะทันหัน ไม่ใช่ว่าฉินยีถูกตระกูลซูหมายตาแล้วเหรอ? ได้ยินมาว่ายังได้รับเงินสินสอดมากมายมหาศาลไปแล้ว ถ้าหากพวกเราสามารถได้รับของพวกนั้นมา เรื่องของบริษัทจะต้องแก้ไขได้แน่” ฉินเฟยพูดขึ้นมาทันที ในดวงตามีแววลอบยินดีอยู่หลายส่วน
นายท่านฉินเองก็มีความรู้สึกว่ามีแสงสว่างอยู่ข้างหน้า พูดกระตุ้นขึ้นทันที “ตอนนี้เจ้าไปหาฉินต้าหย่ง ให้พวกเขาส่งสินสอดมาชดเชยให้กับบริษัท รอวิกฤตการณ์นี้สิ้นสุดลงแล้ว ค่อยให้พวกเขากลับเข้าตระกูลอีกครั้ง”
ฉินเฟยลังเลอยู่ชั่วครู่ พูดขึ้นว่า “ท่านปู่ ต่อให้ฉินต้าหย่งยินยอม ฉินซีจะเห็นด้วยเหรอครับ?”
นายท่านฉิน ‘เฮอะ’ เสียงเย็นครั้งหนึ่งก่อนจะพูดว่า “เธอเห็นด้วยก็ต้องตกลง ไม่เห็นด้วยก็ต้องตกลงอยู่ดี ฉินต้าหย่งเป็นแค่ลูกนอกสมรสของคุณย่าของเจ้า ถ้าหากไม่เห็นแก่ย่าของเจ้า ปู่ไล่พวกมันทั้งตระกูลออกไปจากตระกูลฉินตั้งนานแล้ว ยังรอมาถึงตอนนี้ได้? ตอนนี้ตระกูลฉินมีเรื่องยากลำบาก นี่คือความรับผิดชอบของพวกเขา”
“แต่ว่า ถ้าหากพวกเขาไม่ยินยอมล่ะครับ?” ฉินเฟยมีสีหน้าลำบาก
สองตาของนายท่านฉินหรี่ลงน้อย ๆ “ถ้าหากไม่ยินยอมละก็ งั้นก็ให้พวกเขาใช้หนี้บุญคุณที่ตระกูลเลี้ยงดูพวกเขามาหลายปีนี้คืน”
“ท่านปู่ ผมเข้าใจแล้วครับ!” ฉินเฟยหมุนตัวจากไป
บ้านใหญ่ตระกูลฉิน ฉินซีเพิ่งจะทานอาหารเช้าเสร็จ ยังไม่ทันจะได้ส่งเสี้ยวเสี้ยวไปโรงเรียนอนุบาล ประตูรั้วก็ถูกคนกระแทกเปิดจากด้านนอกอย่างโหดร้าย
ทั้งครอบครัวล้วนแต่ตื่นตระหนกกันจนหน้าซีด ฉินต้าหย่งกำลังเตรียมจะไปดู ก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏออกมา ด้านหลังยังมีรปภ.หลายคนตามมาด้วย
“แกมาได้ยังไง?” พอมองเห็นฉินเฟย ทั้งครอบครัวก็เดือดดาลขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ฉินเฟยยิ้มทั้งหน้า มองไปทางฉินต้าหย่งแล้วพูดขึ้นว่า “อารอง ตระกูลฉินประสบกับเรื่องยากลำบากขึ้นมาชั่วคราว ท่านปู่ให้ผมมายืมเงินครอบครัวคุณสักหน่อย”
“เฮอะ!”
ฉินต้าหย่งมองฉินเฟยอย่างเยียบเย็นแล้วพูดขึ้นว่า “ตระกูลฉินขับไล่พวกเราออกจากตระกูลไปแล้ว ตอนนี้ประสบความยากลำบาก เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย?”
“อารอง คำพูดของท่านไม่ถูกต้องนะ ตัดบัวยังเหลือใย ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นญาติที่มีสายเลือดเดียวกัน ท่านคงจะไม่มองดูตระกูลฉินทั้งตระกูลพังพินาศเพราะเจอปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้หรอกมั้ง?” ฉินเฟยหัวเราะเหอะ ๆ พูดขึ้น
“ครอบครัวฉันมีเงินหรือไม่ พวกแกยังไม่ได้รู้ชัดเจนอยู่แล้วหรอกเหรอ?” โจวยู่ชุ่ยร้อนรน ลุกขึ้นมาพูดทันที
ฉินเฟยพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “อาสะใภ้รอง ท่านพูดเรื่องตลกแล้ว ผมจำได้ว่าเมื่อคืนท่านเพิ่งจะพูดว่าไม่กี่วันก่อนตระกูลซูส่งสินสอดมาถึงบ้านด้วยตัวเอง ล้วนแต่มีมูลค่าเป็นสิบล้านใช่ไหม?”
ได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของโจวยู่ชุ่ยก็เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โต
“ของพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันสักนิด เป็นของของขวัญขอบคุณที่ตระกูลซูมอบให้หยางเฉิน พวกเราไม่มีสิทธิ์จะไปจัดการของพวกนั้น” ตอนนี้ฉินยีเดินออกมาพูดด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก