The king of War - บทที่ 28 ทำเองรับเอง
บทที่ 28 ทำเองรับเอง
อีกด้าน ฉินยีเพิ่งถึงประตูบริษัท ซุนเถียนก็มาถึงแล้วพอดี
“ยียี ทำไมตาเธอทั้งบวมทั้งแดงล่ะ? หรือว่าใครรังแกเธอหรือเปล่า?” ซุนเถียนถามขึ้นด้วยสีหน้าห่วงใย
ฉินยีส่ายหน้าเบา ๆ “ฉันไม่เป็นไร!”
เธอพูดแล้วก็ไปห้องทำงานของตัวเอง
ซุนเถียนแอบสงสัยในใจ พูดพึมพำเสียงต่ำ “ดูยียีสิ ตาบวมแดงขนาดนั้น เพิ่งร้องไห้มาชัด ๆ เลย แต่นี่มันเพิ่งจะตอนเช้า ใครจะรังแกเธอได้นะ?”
เธอนึกขึ้นได้ทันทีว่าไม่กี่วันก่อนหน้านี้ฉินยีพูดถึงหยางเฉิน ก็นึกรู้ได้ในทันที “จะต้องเป็นเจ้าสวะนั่นแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นยังเช้าขนาดนี้ จะมีใครมาสร้างความยุ่งยากให้กับยียีได้?”
ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว จนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัยก็ยังไปเมืองเดียวกัน รักกันเหมือนพี่สาวน้องสาว วันนี้เห็นฉินยีโดนรังแก ซุนเถียนก็โมโหมาก
“หยางเฉิน!” ในตอนนี้ซุนเถียนก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งเดินออกมาจากลิฟต์
ซุนเถียนรีบไล่ตามไป ขวางอยู่ด้านหน้าหยางเฉินด้วยสีหน้าโกรธเคือง “หยางเฉิน นายยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหม? นายเป็นลูกเขยแต่งเข้าตระกูลฉิน จะเลี้ยงเสียข้าวสุกก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ยังกล้ารังแกยียีอีก”
เห็นซุนเถียนมีท่าทางโกรธแค้นต่อความไม่เป็นธรรม หยางเฉินทั้งฉิวทั้งขัน ถึงแม้การกระทำของผู้หญิงคนนี้จะทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ยอมรับไม่ได้ว่าฉินยีหาเพื่อนสนิทได้ดีจริง ๆ
ตอนนี้เป็นเวลาเข้างาน ห้องโถงใหญ่มีผู้คนมากมายสัญจรไปมา พอเห็นซุนเถียนประนามหยางเฉินด้วยความโกรธ หลายคนก็มุงกันเข้ามาดู
หยางเฉินยกมุมปากขึ้นมาทันที ผุดรอยยิ้มไม่อินังขังขอบออกมา “เธอคงไม่ได้ชอบฉันขึ้นมาหรอกใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นทำไมถึงได้มาหาเรื่องคุยกับฉันหลายครั้งหลายหน?”
“นายพูดอะไรน่ะ?” ซุนเถียนจ้องตาเขม็งในทันที อย่างไรเธอก็นึกไม่ถึงว่าหยางเฉินจะพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้ ทั้งยังจงใจจะพูดเสียงดังอีก นี่มันที่ทำงาน รอบ ๆ ยังมีเพื่อนร่วมงานตั้งมากมาย
“ฉันรู้ว่าเธอแอบรักฉันนะ แต่ก็ต้องดูกาลเทศะบ้าง นี่มันที่ทำงาน เธอไปทำงานดี ๆ เถอะ ชอบฉันก็รอเลิกงานแล้วค่อยมาจีบก็ได้” หยางเฉินพูดแล้วก็เดินจากซุนเถียนไป
จนกระทั่งหยางเฉินออกจากตึกที่ทำงานไปแล้ว ซุนเถียนถึงจะเรียกสติคืนมาได้ กรีดร้องออกไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอายและความโมโห เธอโวยวายใส่เพื่อนร่วมงานที่มามุงดูด้วยความโมโหว่า “มองอะไรกัน? ไม่รู้เหรอว่านี่มันเวลาทำงาน?”
หยางเฉินยิ้มอย่างจองหอง “เจ้าเด็กโง่เอ๊ย จะสู้กับฉัน เธอยังอ่อนเกินไป!
เขาเพิ่งจะเดินออกจากตึกที่ทำงานก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง
“น้องสาวของผมเป็นพนักงานที่บริษัทของพวกคุณ ผมเข้าไปคุยกับเธอไม่กี่ประโยคก็จะออกมา”
ฉินเฟยกำลังถูกรปภ.หลายคนขวางทางไว้ไม่ให้เขาเข้าไป
รปภ.สีหน้าเย็นชา “ในเมื่อน้องสาวของคุณเป็นพนักงานของบริษัท ถ้าอย่างนั้นคุณก็โทรศัพท์บอกเธอให้ออกมารับคุณสิ”
“ถ้าโทรหาได้ผมยังจำเป็นจะต้องมาอธิบายกับคุณไหม?” ฉินเฟยคุณชายใหญ่ตระกูลฉิน ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ตอนนี้ก็เริ่มมีโทสะบ้างแล้ว
เขาโทรศัพท์ไปหลายสายแล้ว แต่ฉินยีไม่รับสายเลยสักนิด จนถึงขั้นบล็อกเขาไปแล้ว
ตอนนี้ฝ่ายที่มีความร่วมมือกับตระกูลฉินทั้งหมดได้บังคับยกเลิกสัญญาเพียงฝ่ายเดียวไปแล้ว เสียเวลาไปแล้วหนึ่งวัน สำหรับตระกูลฉินแล้วมันร้ายแรงมาก เขาร้อนใจจริง ๆ
“ทางที่ดีคุณคิดให้ดีดีกว่า นี่มันที่ไหน ต่อให้เป็นตระกูลชั้นหนึ่งก็ไม่กล้ามาก่อเรื่องที่นี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลฉินเล็ก ๆ อย่างคุณ!” หัวหน้ารปภ.พูดด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
ได้ยินอย่างนั้นฉินเฟยก็แจ่มใสขึ้นมามาก เกิดความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง คว้าข้อมือของหัวหน้ารปภ.เอาไว้ “ถือว่าผมขอร้องล่ะ ให้ผมเข้าไปนะ ผมมีธุระด่วนจะพบน้องสาวจริง ๆ ขอเพียงได้พบเธอ ผมก็จะออกมาทันที”
“ไสหัวไป!” หัวหน้ารปภ.ผลักฉินเฟยออกไป
ฉินเฟยซวนเซ เกือบจะล้มลง
ในตอนนี้เองเขาก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง ใบหน้าเขาก็ไม่น่ามองจนถึงที่สุด “ทำไมถึงเป็นสวะอย่างแกได้?”
เขามองดูแล้วหยางเฉินก็เป็นแค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เขายังเข้าไปไม่ได้ แต่หยางเฉินกลับสามารถเข้านอกออกในได้สะดวกเช่นนี้
“คุณหยาง!” พอรปภ.ทุกคนมองเห็นหยางเฉิน ทุกคนก็ยืนตัวตรง ทักทายด้วยความเคารพ
ประธานลั่วถึงกับเคยมอบหมายกับหัวหน้ารปภ.ด้วยตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้บอกฐานะของหยางเฉินอย่างชัดเจน แต่หัวหน้ารปภ.ก็รู้ว่าหยางเฉินนั้นมีฐานะสูงส่ง
ฉากนี้ยิ่งทำให้ฉินเฟยเบิกตาอ้าปากค้าง เขาขยี้ตาเต็มแรง สงสัยขึ้นมาทันทีว่าตัวเองจำคนผิด แต่ต่อให้เขาขยี้ตาจนตาบอด สิ่งที่เขาเห็นก็ยังคงเป็นคนคนเดียวกัน
หยางเฉินหัวเราะเยือกเย็น “ก็สวะอย่างผมนี่แหละที่สามารถเข้าออกเยี่ยนเฉินกรุ๊ปได้ตามใจ แต่คุณชายใหญ่ตระกูลฉินที่สูงส่งอย่างคุณกลับเข้าไม่ได้แม้แต่ประตูใหญ่ ไม่รู้ว่าคุณไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงกล้ามาว่าผมแบบนี้?”
ฉินเฟยเกือบจะโดนประโยคเมื่อกี้ทำให้โมโหจนเป็นลมไป ตะโกนใส่หัวหน้ารปภ.อย่างใช้อารมณ์ “เขาเป็นไอ้ลูกเขยสวะที่โดนขับไล่ออกจากตระกูลฉิน เขามีดีอย่างไรถึงสามารถเข้าไปได้? พวกคุณตาบอดไปแล้วเหรอ?”
“หุบปาก!”
หัวหน้ารปภ.พูดด้วยความโมโหว่า “ถ้าหากคุณยังกล้าพูดเหลวไหลอีกแม้แต่ประโยคเดียว ก็อย่ามาโทษว่าพวกผมไม่เกรงใจนะครับ”
“แกกล้าเหรอ!”
ฉินเฟยพูดอย่างใช้อารมณ์ว่า “ฉันจะร้องเรียนพวกแก พวกแกจะต้องได้รับผลประโยชน์อะไรจากไอ้หมอนี่แน่ ๆ ถึงได้ให้เขาเข้าไปได้ ฉันจะดูซิว่าถ้าหากหัวหน้าพวกแกรู้เรื่องนี้แล้วจะจัดการกับพวกแกอย่างไร”
ได้ยินคำพูดของฉินเฟยหัวหน้ารปภ.ก็หัวเราะเสียงเย็น “อยากจะร้องเรียนผมก็ได้นะ แต่ต้องเข้าไปให้ได้ก่อน”
ประธานลั่วสั่งการมาด้วยตัวเองว่าต้องเคารพนบนอบหยางเฉิน เจ้าโง่ฉินเฟยยังกล้าคุกคามเขา หัวหน้ารปภ.เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
“หยางเฉิน แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” พอเห็นว่าหยางเฉินจะไปแล้ว ฉินเฟยก็พุ่งพรวดเข้าไปหา
หัวหน้ารปภ.ฉลาดหลักแหลมมาก รีบเข้าไปขัดขวางฉินเฟยทันที พูดกับหยางเฉินว่า “คุณหยางครับ เชิญท่านไปก่อนเถอะครับ ไอ้สวะนี่มอบให้ผมจัดการแทน”
หยางเฉินมองหัวหน้ารปภ.ด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก หันหลังจากไป
“พวกแกปล่อยฉันนะ!” ด้านหลังมีเสียงฉินเฟยตะโกนด้วยความโมโหส่งมา
“เหี้ย นึกไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือจริง ๆ ต่อยมัน!” หัวหน้ารปภ.ตะโกนขึ้นมาทันที ทันใดนั้นรปภ.ห้าหกคนก็รุมต่อยฉินเฟย
ที่จริงแล้วฉินเฟยไม่ได้ลงมือเลยสักนิด ก็โดนข้อหาลงมือที่หน้าประตูเยี่ยนเฉินกรุ๊ปเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งกระทง
หัวหน้ารปภ.หัวเราะเสียงเย็น “กล้าล่วงเกินคุณหยาง ไม่รู้จักที่ตายเลยจริง ๆ”
จนแล้วจนรอดฉินเฟยก็ยังไม่ได้เข้าไปในเยี่ยนเฉินกรุ๊ป เขายืนหน้าตาฟกช้ำอยู่ที่ที่ไกลจากประตูบริษัท
“หยางเฉิน ฉันจะเอาแกให้ตาย!” เขาร้องตะโกน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
หนึ่งวันเต็ม ๆ ที่ฉินเฟยเฝ้าอยู่ในที่ที่ไม่ไกลจากประตูเยี่ยนเฉินกรุ๊ป หัวหน้ารปภ.จ้องเขาตลอดเวลา
จนกระทั่งเลิกงานเขาถึงจะได้พบฉินยี
“เสี่ยวยี!”
ฉินเฟยตะโกนอยู่ไกล ๆ วิ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้น
ฉินยีมองเห็นฉินเฟยก็พูดอย่างเย็นชาว่า “นายมาได้อย่างไร?”
“เสี่ยวยี ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไรฉันก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอได้ดิบได้ดีแล้วลืมพี่ชายหรอกนะ?” ฉินเฟยขมวดคิ้วพูด
เขาโดนจ้องเหมือนเป็นโจรชั่ว ยืนเฝ้าอยู่ในที่ที่ไกลจากบริษัทมาก ๆ มาทั้งวันถึงจะได้เจอกับฉินยี สุดท้ายเพิ่งจะได้เจอกันฉินยีก็มีท่าทีเช่นนี้ ในใจของเขาโมโหอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมให้ฉินยีช่วยเหลือตระกูลฉิน เขาจำเป็นจะต้องอดทนไว้
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนาย พูดมากกว่านี้แค่ประโยคเดียวฉันก็รู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองอากาศจะหายใจ” ฉินยีพูดอย่างไร้เยื่อใย
เทียบกับฉินซีแล้ว เธอไม่มีหวังกับตระกูลฉินอย่างถึงที่สุดมาก่อนหน้านั้นมาก
ฉินเฟยสกัดกั้นความโมโห พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวยี เรื่องเมื่อเช้าเป็นเพราะพี่ผิดเอง แต่ว่าเธอวางใจได้เลยนะ ของทั้งหมดยังอยู่เหมือนเดิม ทั้งหมดคืนกลับสู่บ้านเธอแล้ว พี่ขอโทษเธออย่างจริงใจ ณ ตรงนี้ ขอโทษ!”
เขาพูดจบก็โค้งคำนับเก้าสิบองศา
ในใจของฉินยีตกตะลึงอยู่เล็กน้อย นึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าฉินเฟยจะขอโทษได้
แต่นี่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใจของเธอที่หมดหวังกับตระกูลฉินไปแล้วได้
“เสี่ยวยี พี่ขอร้องเธอเรื่องหนึ่ง เป็นเพราะเรื่องเมื่อตอนเช้า ตระกูลซูเลยมาลงมือกับตระกูลฉิน ตอนนี้ฝ่ายที่มีความร่วมมือกับตระกูลฉินทั้งหมดบังคับยกเลิกสัญญากับเราเพียงฝ่ายเดียว โรงงานก็โดนปิดแล้ว ธนาคารก็กำลังทวงหนี้”
ฉินเฟยพูดไปก็น้ำหูน้ำตาไหล “ตระกูลฉินตอนนี้กำลังจะล่มสลายจริง ๆ แล้ว ขอร้องให้เธอไปช่วยพูดกับตระกูลซูให้เหลือทางรอดไว้ให้ตระกูลฉินสักทาง ได้ไหม?”
ฉินยีตกตะลึงในใจ เธอไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตระกูลฉิน ไม่คิดว่าจะน่าเวทนาขนาดนี้แล้ว
แต่เธอกลับไม่มีความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย กลับจะดีใจ เธอหัวเราะอย่างเย็นชา “ฉินเฟย ตอนเช้าฉันก็พูดไปแล้วนะว่าของพวกนั้นไม่ใช่สินสอดที่ตระกูลซูมอบให้กับฉัน แต่เป็นของขวัญขอบคุณที่มอบให้กับหยางเฉินเพื่อแสดงความขอบคุณ ดังนั้นต่อให้นายจะหาคนขอความเมตตาก็ไม่ควรจะมาหาฉัน”