The king of War - บทที่ 35 พังมันซะ
บทที่ 35 พังมันซะ
โฟล์คเภาตันสีดำค่อยๆ จอดลงที่หน้าประตูใหญ่ของบ้านตระกูลฉิน
ในเวลานี้เอง สาวสวยสองคนที่คนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ ส่วนอีกคนเป็นเด็กน้อย ก็ได้รออยู่นานแล้ว
“คุณพ่อ!”
หยางเฉินเพิ่งจะลงมาจากรถ เสี้ยวเสี้ยวก็ตะโกนเรียกเขาเสียงดังลั่นด้วยความตื่นเต้นดีใจ จากนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
“เสี้ยวเสี้ยว ช้าลงหน่อยลูก”
หยางเฉินกลัวว่าลูกสาวตัวน้อยจะล้มลงไป จึงรีบเข้าไปอุ้มเธอขึ้นมา
เมื่อถูกผู้เป็นพ่ออุ้มไว้ในอ้อมแขน เสี้ยวเสี้ยวก็มีความสุขเป็นอย่างมาก เธอหัวเราะคิกคักไม่หยุด ยื่นแขนอวบอ้วนเล็กๆ โบกไปทางฉินซี “แม่คะ เร็วๆ หน่อยสิ พวกเราจะไปดูกอลิล่ากันนะ!”
ฉินซีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เธอจึงยิ้มแล้วดุว่า “ลูกมันเป็นหมาป่าตาขาวจริงๆ พอได้เจอพ่อแล้วก็ลืมแม่ไปทันทีเลยนะ”
สวนสัตว์เจียงโจวตั้งอยู่บริเวณชานเมือง ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณสี่สิบนาที
“คุณพ่อคะ คุณพ่อควรทำแบบนี้”
จู่ๆ เสี้ยวเสี้ยวก็ใช้มือข้างหนึ่งลากหยางเฉิน และใช้มืออีกข้างหนึ่งดึงฉินซีไว้ จากนั้นก็นำมือของทั้งคู่มาประสานไว้ด้วยกัน
วินาทีที่สองมือสัมผัสกัน ฉินซีก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
ร่างกายเพรียวบางอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเบาๆ
หยางเฉินเองก็ใจสั่นเช่นกัน คนที่ไม่เคยมีความรักอย่างเขา ในเวลานี้จึงไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มไร้เดียงสาคนหนึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจับมือผู้หญิงคนอื่นซึ่งไม่ใช่แม่ของตัวเอง
กระทั่งตอนที่อยู่ในสนามรบ เขาก็ยังไม่เคยประหม่าขนาดนี้มาก่อน
เขาลอบเหลือบสายตามองฉินซี เมื่อเห็นว่าเธอหน้าแดงจนลามไปถึงหู ทั้งยังไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด จึงทำใจกล้ากุมมือของเธอเอาไว้
เมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอันอบอุ่นที่ส่งมาจากฝ่ามือของหยางเฉิน ฉินซีก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ทว่าเธอก็ยังคงไม่ได้ชักมือออก
เธอลอบกล่าวกับตนเองในใจว่า : ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมาย แค่จับมือเท่านั้นเอง
“คุณพ่อคะ อุ้มหนูหน่อย!” เสี้ยวเสี้ยวกางแขนทั้งสองข้างออกอย่างภูมิใจอีกครั้ง
หยางเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา มือข้างหนึ่งของเขากุมมือของฉินซีไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็อุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมา
“คุณพ่อคะ นั่นเสือละ!”
หลังจากเข้ามาในสวนสัตว์แล้ว เสี้ยวเสี้ยวก็ชี้ไปที่ด้านในกระจก แล้วร้องเสียงดังอย่างตื่นเต้นดีใจ
“คุณพ่อคะ นี่สิงโตละ!”
“นี่ก็คือยีราฟ”
“คุณพ่อคะ กอลิล่า! รีบไปดูกอลิล่าเร็วเข้า!”
ตลอดทางเดิน ทุกครั้งที่เด็กหญิงพบเจอสัตว์อะไร เธอก็จะแนะนำให้หยางเฉินฟังอย่างตื่นเต้น
ฉินซีเองก็ถูกหยางเฉินกุมมือไว้ตลอดทางจนฝ่ามือชื้นไปหมด
“ฉันถ่ายรูปให้นะคะ”
ฉินซีดึงมือออกอย่างรวดเร็ว เธอหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาแล้วขยับเดินไกลออกไปอีกนิด
“แชะ!”
รูปคู่ใบแรกของหยางเฉินกับเสี้ยวเสี้ยวก็ปรากฏขึ้น
เสี้ยวเสี้ยวกำลังขี่คอของหยางเฉิน ทั้งยังใช้สองมือจับหูของเขาไว้ ใบหน้าของสองพ่อลูกเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ตลอดทั้งวันนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเสี้ยวเสี้ยว ความสัมพันธ์ของหยางเฉินกับฉินซีเองก็ยังใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของเด็กหญิงตัวน้อย
จนกระทั่งถึงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน หยางเฉินจึงได้ขับรถพาสองแม่ลูกกลับบ้าน
เสี้ยวเสี้ยวที่เล่นสนุกมาทั้งวันเหนื่อยจนหลับอยู่ในอ้อมกอดของฉินซีแล้ว
รถของหยางเฉินจะลงมาจากทางด่วน ตอนที่กำลังผ่านสี่แยก ก็มีรถThe Herdsmanสีดำคันหนึ่งขับพุ่งเข้ามาชนกับโฟล์คเภาตันในแนวขวาง
“กอดเสี้ยวเสี้ยวไว้ให้แน่น!”
ประกายคมปลาบพาดผ่านนัยน์ตาหยางเฉิน เขารีบส่งเสียงเตือนออกมาทันที
“เอี๊ยด!”
หากคิดอยากจะเพิ่มความเร็วนี้ตอนนี้ก็คงไม่ทันการณ์ หยางเฉินจึงเหยียบเบรกอย่างรวดเร็ว ล้อของโฟล์คเภาตันเสียดสีกับพื้นถนนจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่น การทะยานตัวอย่างสวยงามนี้ทำให้สามารถหลบหลีกการพุ่งชนของThe Herdsmanไปได้
โชคดีที่ฉินซีคาดเข็มขัดนิรภัย อีกทั้งลูกสาวก็ยังถูกเธอกอดเอาไว้แน่น จึงมีเพียงรถที่ลอยขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนที่อยู่ด้านในเลยสักนิด กระทั่งเสี้ยวเสี้ยวเองก็ยังคงหลับฝันหวาน
“คุณกับลูกไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม”
หลังจากหลบการพุ่งชนของThe Herdsmanคันนั้นพ้นแล้ว หยางเฉินจึงได้มีเวลาหันมาสอบถาม
ฉินซียังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย เธอส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นอะไรค่ะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว!”
ดวงตาทั้งสองข้างของหยางเฉินหรี่ลง ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อกี้นี้เขามีปฏิกิริยาว่องไวพอละก็ เกรงว่าคงเกิดเรื่องไปแล้ว หากมีเขาอยู่ในรถแค่คนเดียวก็ช่างเถอะ แต่ยังมีผู้หญิงที่เขารักที่สุดสองคนอยู่ด้วยนี่สิ
มังกรทุกตัวมีเกล็ดย้อน และคนที่กล้าสัมผัสมันล้วนต้องตาย!
ถ้าหากเป็นแค่อุบัติเหตุธรรมดาก็ช่างเถอะ แต่บังเอิญว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุน่ะสิ
The Herdsman คันเมื่อกี้นั้นคอยขับตามหลังโฟล์คเภาตันอย่างไม่ช้าไม่เร็ว คล้ายกำลังหาโอกาสที่จะลงมือ
ในตอนนั้นเอง Fordสีดำก็ส่งเสียงร้องคำรามเข้ามา ก่อนจะชนเข้ากับส่วนท้ายของ The Herdsman ดัง “ปัง” ยางรถเสียดสีกับพื้นถนนจนเกิดเป็นเสียงบาดหู The Herdsman หมุนคว้างก่อนจะพุ่งพยานเข้าไปในป่าข้างถนน
ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งลงมาจากรถFord เป็นหม่าชาว
“เหมือนว่าข้างหลังเราจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นนะคะ” ฉินซีถามอย่างประหลาดใจ
หยางเฉินกล่าวเสียงเบา “ก็แค่เหมือนเท่านั้นแหละครับ!”
“พวกเราจอดลงไปดูหน่อยดีไหม ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นก็จะได้ช่วยไว้” ฉินซีพูดออกมาอย่างเป็นกังวล
หยางเฉินตอบกลับเสียงเบา “เสี้ยวเสี้ยวง่วงแล้ว ผมจะรีบไปส่งพวกคุณสองคนกลับบ้าน”
“คุณเป็นคนแบบนี้ได้ยังไง ถ้าหากเพิ่งจะถูกชน คนที่อยู่ในรถต้องได้รับบาดเจ็บแน่ๆ ถ้าพวกเราไปช่วยช้าแล้วตายขึ้นมาจะทำอย่างไร” ฉินซีอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว
ไม่ง่ายเลยกว่าความสัมพันธ์ของเขากับฉินซีจะใกล้กันขึ้นมาอีกนิด เขาไม่อยากให้มันต้องพังทลายลงเพราะสาเหตุนี้ จึงจอดรถแล้วกล่าวว่า “คุณอยู่เป็นเพื่อนลูกในรถ ผมจะลงไปดูเอง”
พูดจบเขาก็ลงจากรถไปทันที กวาดตามองพักหนึ่งแล้วรีบกลับเข้ามา “วางใจเถอะ! ไม่มีใครเป็นอะไร คนขับรถกำลังเจรจากันอยู่”
เมื่อได้ยินหยางเฉินพูดแบบนี้ ฉินซีถึงวางใจได้ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ตรงสถานที่เกิดอุบัติเหตุ หม่าชาวกำลังดึงประตูรถที่ผิดรูปไปแล้วให้เปิดออก จากนั้นก็คว้าคอคนขับที่อยู่ด้านในออกมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “บอกมาสิว่าทำไมถึงได้จงใจพุ่งชนโฟล์คเภาตัน”
คนขับรถรีบร้อนพูดออกมาทันที “พี่ชายท่านนี้ นี่มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“ในเมื่อไม่พูด งั้นก็ตายไปซะ”
ทันทีที่หม่าชาวพูดจบ เขาก็เพิ่มแรงมือ สีหน้าของคนขับ The Herdsman ซีดขาวอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็ถูกปิดกั้นไว้เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าคนขับกำลังจะขาดอากาศ อยู่ๆ หม่าชาวก็ปล่อยมือ ร่างกายของคนขับรถร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา
“พูดสิว่าใครเป็นคนส่งแกมา!”
หม่าชาวใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนหน้าอกของคนขับรถ พริบตาเดียวก็มีซี่โครงที่หักไปสองท่อน
“อ้าก…เป็นสงเหว่ย!”
คนขับThe Herdsman กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
โฟล์คเภาตันแล่นไปตามเส้นทางบนถนน ตอนที่ส่งสองแม่ลูกกลับถึงบ้านตระกูลฉิน ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
ฉินซีอุ้มลูกสาวไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะหันไปมองหยางเฉินด้วยสีหน้าซับซ้อนที่แฝงไปด้วยความลังเลเล็กน้อย
“หยางเฉิน เรื่องทั้งหมดที่ตระกูลฉินกำลังเผชิญอยู่นี้ คุณเป็นคนทำใช่ไหม” จู่ๆ ฉินซีก็ถามขึ้นมา
หยางเฉินไม่คิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย เขาพยักหน้าเบาๆ “ล้วนเป็นผลกรรมที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ”
“คุณ คุณพอจะเหลือทางรอดให้ตระกูลฉินสักครั้งได้ไหมคะ” ท้ายที่สุดแล้วฉินซีก็ยังเป็นคนใจอ่อน
ในใจของเธอนั้น ถึงแม้ว่านายท่านฉินจะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อย่างไรตระกูลฉินก็เป็นบ้านที่เธอเติบโตมา เธอไม่อยากให้ทั้งตระกูลต้องพังพินาศเพียงเพราะตัวเอง
หยางเฉินไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด เขามองฉินซีแล้วพยักหน้า “ได้สิ!”
หลังจากพูดจบก็สตาร์ทรถขับออกไป
รอจนกระทั่งรถหายไปจากระยะสายตา เธอจึงได้ถอนหายใจออกมา “ขอบคุณค่ะ”
หลังหยางเฉินออกมาจากบ้านตระกูลฉิน เขาก็โทรศัพท์ไปหาคนคนหนึ่งทันที “ใคร”
“ตระกูลสง สงเหว่ยครับ!”
หม่าชาวตอบกลับอย่างรู้กัน
หลังจากหยางเฉินวางสายโทรศัพท์ ก็ตรงไปยังแมนชั่นอีเห้าทันที
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าวันนี้มีฉินซีกับเสี้ยวเสี้ยวอยู่ในรถด้วย ต่อให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น เขาก็คงทำเป็นไม่ใส่ใจ ทว่าหากThe Herdsman คันนั้นชนเข้ากับโฟล์คเภาตันของเขาจริงๆ ชีวิตของฉินซีกับเสี้ยวเสี้ยวก็ไม่อาจรับประกันได้
เมื่อกี้คิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อกี้นี้แล้ว ใจของหยางเฉินก็มีความรู้สึกหวาดกลัวที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ในตอนนี้เองทั่วทั้งร่างของเขาจึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารที่รุนแรง
ณ ห้องส่วนตัวที่ชั้นบนสุดของแมนชั่นอีเห้า
สงเหว่ยกำลังนั่งอยู่บนโซฟาหรู ในอ้อมแขนยังโอบสาวสวยคนหนึ่งเอาไว้
“เฮียสง เดาว่าป่านนี้ไอ้ลูกหมานั่นคงเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว บางทีอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
ตรงข้ามเขามีชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งยิ้มอยู่
สงเหว่ยหัวเราะเสียงดัง “กล้าล่วงเกินฉัน ฉันจะทำให้มันเสียใจที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ถ้าหากตายไปแล้วก็ช่างเถอะ แต่ถ้ายังไม่ตาย นี่ก็เป็นแค่การเริ่มต้นหนึ่งเท่านั้น ฉันจะทำให้มันได้ลิ้มรสความสิ้นหวัง”
“เฮียสงสุดยอดมาก!”
บรรดาน้องชายต่างมีสีหน้าประจบสอพลอ
ในขณะเดียวกัน โฟล์คเภาตันสีดำก็ค่อยๆ จอดลงที่หน้าประตูแมนชั่นอีเห้า
หยางเฉินลงมาจากรถ หม่าชาวรอเขาอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นว่าเป็นหยางเฉินก็รีบกล่าวทักทายทันที “พี่เฉิน!”
“แก แก พวกแกมาได้ยังไง”
ตอนที่หยางเฉินกับหม่าชาวปรากฏตัว ก็ดึงดูดความหวาดผวาให้เกิดขึ้นในทันที
พวกเขาชัดเจนแจ่มแจ้งดีว่าเมื่อคืนวานหยางเฉินกับหม่าชาวก่อเรื่องอะไรในแมนชั่นอีเห้าบ้าง ไม่เพียงแต่จะลงมือกับสงเหว่ย ยังสร้างข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั้งเจียงโจวอีกด้วย
หยางเฉินเงยหน้ามองสีทองเปล่งประกายบนตัวอักษร ‘แมนชั่นอี้เห้า’ สี่ตัวนี้ จากนั้นก็หันไปออกคำสั่งกับหม่าชาว “พังมันซะ”