The king of War - บทที่ 350 คุณชายตระกูลหนิง
ในฝูงชน หยางเฉินมองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยสองสามคนเข้าแล้ว เหมือนเป็นเว่ยหมิงเยว่ของตระกูลเว่ย ยังมีรุ่นหลานอายุน้อยคนหนึ่งของตระกูลจวงด้วย
โดยเฉพาะเว่ยหมิงเยว่เคยเห็นความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของหยางเฉินมากับตาตนเอง เวลานี้ซ่อนอยู่ส่วนที่ห่างจากหยางเฉินไกลมาก กลัวว่าหยางเฉินจะจำหล่อนได้
หล่อนจะรู้ได้อย่างไรกันว่าในสายตาของหยางเฉิน หล่อนยังเป็นแค่คนต่ำต้อยคนหนึ่ง
ลองถามในสายตาของช้างตัวหนึ่ง จะมองเห็นมดตัวน้อยนิดได้อย่างไรกัน?
ในเวลานี้เอง หนุ่มสาวอายุน้อยหลายคนเดินเข้ามาทันใด
“ซานซาน ไม่แนะนำให้พวกเรารู้จักหน่อยเหรอ?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นคนนำ สวมชุดสูทสีฟ้า บุคลิกองอาจห้าวหาญ ลักษณะผึ่งผาย เดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน สะดุดตาอย่างมาก เวลานี้หน้าตายิ้มแย้ม
แต่ตอนที่มองมาทางหยางเฉิน ในสายตากลับมีการหยอกล้อและความเย็นชาเพิ่มมาระดับหนึ่ง
มองเห็นคนที่มาแล้ว ซูซานสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พูดอย่างเรียบเฉย “เขาคือเพื่อนของฉัน!”
ซูซานแนะนำไปแบบธรรมดามาก
“หึๆ ซานซาน ท่าทีเป็นศัตรูกับฉัน เหมือนจะเยอะมากเลยนะ”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มพูดขึ้น
หยางเฉินมองชายหนุ่มแวบหนึ่งแบบประหลาดอยู่บ้าง เจ้าหมอนี่ เมื่อสักครู่ด้านนอกคฤหาสน์ตระกูลหาน เขาพึ่งเจอมา
คือหนิงเฉินหยู่ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังของเบนท์ลีย์คนนั้น
ที่ด้านนอกเมื่อก่อนหน้านี้ ยังก้าวร้าวอย่างมาก ข่มขู่อยากให้ตนเองหลบตำแหน่งจอดรถให้เขาไป แต่ว่ากลับถูกตนเองเมินเฉยเข้าใส่แล้ว
ดูท่าทีของซูซานไม่ต้อนรับอีกฝ่ายมากๆ เลย
“กวนเสว่ซง เจอคุณชายหนิงเข้า ยังไม่รู้จักทักทายอีกเหรอ?”
เวลานี้เอง ด้านหลังของหนิงเฉินหยู่ มีชายหนุ่มที่ใส่ชุดสูทสีกรมท่า ทันใดนั้นพูดจาหยอกเย้ามาทางกวนเสว่ซง
กวนเสว่ซงมองชายหนุ่มที่ใส่สูทสีกรมท่าทีหนึ่ง ถึงจำอีกฝ่ายได้ว่าคือทายาทรุ่นที่สามของตระกูลเฝิงแห่งเมืองจินเหอ ชื่อเฝิงอี้ฉิน
ส่วนตำแหน่งของตระกูลเฝิงที่เมืองจินเหอ ก็เหมือนตำแหน่งของตระกูลกวนที่เมืองเจียงโจว เป็นหนึ่งในตระกูลชั้นนำของเมืองจินเหอ
ว่ากันว่าตอนแรกตระกูลเฝิงเป็นเพียงอิทธิพลระดับสองแห่งหนึ่งของเมืองจินเหอ เพราะการช่วยเหลือของตระกูลหนิงแห่งเมืองเอก ถึงดันตัวขึ้นมาสู่ลำดับตระกูลใหญ่ชั้นนำของเมืองจินเหอได้
ส่วนหนิงเฉินหยู่ก็เป็นคุณชายของตระกูลหนิงแห่งเมืองเอก เฝิงอี้ฉินติดตามอยู่ข้างกายเขา ย่อมเป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่กวนเสว่ซงสามารถถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำของตระกูลกวนข้ามรุ่นได้ พอจะอธิบายถึงความดีเลิศของเขาได้ จะดูไม่ออกได้อย่างไรกันว่าหนิงเฉินหยู่มีความคิดเป็นปรปักษ์ต่อหยางเฉิน?
เขามองเฝิงอี้ฉินอยู่ ขมวดคิ้วแล้ว “นายเป็นใคร?”
ซู่~
กวนเสว่ซงถามประโยคนี้ออกมา คนโดยรอบต่างทำหน้าตกใจกันหมด
ในงานล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ในแต่ละเมืองของมณฑลเจียงผิง เป็นกลุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทุกคนล้วนรู้จักกันทั้งนั้น
เฝิงอี้ฉินในฐานะผู้โดดเด่นของรุ่นนี้ในตระกูลเฝิง กวนเสว่ซงจะไม่รู้จักได้อย่างไรกัน?
แต่เขากลับถามเฝิงอี้ฉินต่อหน้าสาธารณชนว่าเป็นใคร นี่คือการเหยียดหยามต่อเฝิงอี้ฉินอย่างแท้จริง
นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นคือเฝิงอี้ฉินเป็นคนที่ติดตามหนิงเฉินหยู่มา คำพูดของกวนเสว่ซงประโยคนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นหนิงเฉินหยู่อยู่ในสายตาด้วย
“สารเลว นายไม่รู้จักฉัน?”
เฝิงอี้ฉินตะลึงอยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง ชั่วขณะนั้นอับอายจนโมโห ตะโกนใส่ว่า “ฉันคือเฝิงอี้ฉินของตระกูลเฝิงแห่งเมืองจินเหอ!”
“ตระกูลเฝิงแล้วยังไง?”
กวนเสว่ซงหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “ตอนนี้ฉันเป็นผู้นำของตระกูลกวน นายแค่ระดับคนรุ่นหลังของตระกูลเฝิง มีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉัน?”
ทุกคนต่างท่าทางอึ้งทึ่ง
เมื่อสักครู่ถ้าพูดว่ากวนเสว่ซงไม่รู้จักเฝิงอี้ฉินจริงๆ งั้นก็คงจบไปแล้ว แต่ตอนนี้รู้ว่าเขาเป็นใครแล้ว กลับยังคงพูดแบบนี้อีก
นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการไม่ไว้หน้าเฝิงอี้ฉินแล้วเหรอ และยังเป็นการตบหน้าหนิงเฉินหยู่ต่อหน้าคนอื่นด้วย
“เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วเหรอ? นึกไม่ถึงแม้แต่คนของคุณชายตระกูลหนิง ยังกล้าเหยียดหยามต่อหน้าคนอื่น!”
“ดูแล้วเป็นตระกูลกวนไม่มีผู้สืบทอดคนอื่นจริงๆ ด้วย ถึงได้ตั้งเด็กที่ฟันไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งแบบนี้มาเป็นผู้นำได้”
“ใช่ คิดว่าตัวเองเป็นผู้นำตระกูลกวนจริงแล้ว แม้แต่ศักดิ์ศรีของคุณชายตระกูลใหญ่ของเมืองเอก ยังกล้าลบหลู่ได้!”
“จะแก้แค้นก็ควรดูความสัมพันธ์คนที่เกี่ยวข้องหน่อย กวนเสว่ซงคนนี้ ไม่รู้จักไว้หน้าสักนิดเลยจริงๆ!”
เหล่าลูกหลานตระกูลใหญ่ที่อยู่โดยรอบเหล่านั้น เวลานี้ล้วนพูดถกเถียงกันเสียงเบาๆ เห็นได้ชัดว่าตกใจมาก
“เชี้ย! กวนเสว่ซง นายแม่งเห็นตัวเองเป็นคนใหญ่คนโตแล้วจริงๆ เหรอ?”
เฝิงอี้ฉินพูดด้วยความโมโห “นายไม่เห็นหัวฉันยังไงก็ได้ แต่นายจะไม่ไว้หน้าคุณชายหนิงไม่ได้!”
กวนเสว่ซงมองเฝิงอี้ฉินอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง และมองทางหนิงเฉินหยู่ จากนั้นรีบเปลี่ยนเป็นหน้ายิ้มให้ “ที่แท้เป็นคุณชายหนิงนี่เอง! โชคดีจริงๆ! เมื่อกี้จำไม่ได้ คุณชายหนิงเป็นคนใจกว้าง คงไม่ถือสาหาความกับผมเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอกมั้งครับ?”
การแสดงที่เก้งก้างเช่นนี้ ใครๆ ต่างก็ดูท่าทีถูไถแก้ขัดในคำพูดของกวนเสว่ซงออก
สีหน้าของหนิงเฉินหยู่ค่อยๆ อึมครึมเช่นกัน หรี่ตามองกวนเสว่ซงแล้วพูดว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นผู้นำตระกูลใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในมณฑลเจียงผิง ยังเด็ดขาดอยู่จริงๆ เกรงว่าในรุ่นคนอายุน้อยของมณฑลเจียงผิง น่าจะไม่มีคนที่นายสนใจได้หรอกมั้ง?”
กวนเสว่ซงหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วยและไม่ปฏิเสธ จากนั้นถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ยืนอยู่ด้านข้างของหยางเฉิน และยังอยู่ตำแหน่งรั้งท้ายหยางเฉินไปครึ่งตัว
การแสดงออกเล็กน้อยนี้ ทำให้หนิงเฉินหยู่เพิ่มสีหน้าตกใจมาระดับหนึ่ง
กวนเสว่ซง แม้แต่คุณชายตระกูลหนิงคนนี้ยังไม่เห็นความสำคัญ กลับยินยอมยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มที่แต่งตัวธรรมดาคนหนึ่ง นี่ทำให้คนประหลาดใจอยู่บ้าง
ไม่เพียงแค่หนิงเฉินหยู่ ยังมีคนรุ่นหลังของตระกูลใหญ่มากมาย ต่างเข้าใจในจุดนี้แล้วด้วย
เห็นได้ชัดว่ากวนเสว่ซงไม่กล้าปะทะกับหนิงเฉินหยู่ตรงๆ ดังนั้นจึงเงียบงันไม่พูดจา
ในใจหยางเฉินกลับแอบชื่นชม เข้าใจทันใดว่าทำไมกวนเจิ้งซานถึงยกตำแหน่งผู้นำให้กวนเสว่ซงข้ามรุ่นมา เจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ
สำหรับคุณชายตระกูลใหญ่คนอื่นๆ ในระดับเดียวกันที่พยายามยั่วยุเขา เขาจะไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นคุณชายตระกูลใหญ่เมืองเอก เขาจะทำท่าทีเหมาะสม สีหน้าเรียบนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่กลัวสักนิด
ด้วยการแสดงออกมาที่สงบนิ่งเวลานี้ของเขา จึงมีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งผู้นำของตระกูลกวนต่อไป
“คุณหยาง!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพเสียงหนึ่งดังขึ้น ชายหนุ่มสวมสูทสีดำคนหนึ่ง กำลังก้าวเท้ามายังหยางเฉิน
ตอนที่ทุกคนมองเห็นชายหนุ่ม ต่างพากันทำหน้าตกใจ
คนที่เดินมาก็คือรุ่นหลานตระกูลเฉินที่ปัจจุบันนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น เฉินยิงเหา
หลังจากที่ตระกูลหยวนพังพินาศ ตระกูลเฉินแห่งเมืองโจวเฉิงก็ยิ่งใหญ่เพียงตระกูลเดียว
เมืองในมณฑลเจียงผิงมากมายขนาดนี้ เมืองโจวเฉิงกลับเป็นเมืองเพียงหนึ่งเดียว ที่มีตระกูลใหญ่ชั้นนำเพียงแห่งเดียว
สามารถพูดได้ว่าที่เมืองโจวเฉิง ตระกูลเฉินก็คือตระกูลเดอะคิง
ปัจจุบันนี้ ตำแหน่งตระกูลเฉินยิ่งเพิ่มทวีขึ้นทุกวัน ถึงแม้เทียบกับสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองเอก ก็ไม่ด้อยกว่ามากเกินไป
ตระกูลใหญ่ของเมืองอื่นๆ มีตระกูลไหนที่สามารถเปรียบเทียบกับตระกูลเฉินในปัจจุบันนี้ได้บ้าง?
หยางเฉินก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเฉินยิงเหาที่พึ่งเจอกันอยู่เมืองเทียนฝู่ก่อนหน้านี้ จะมาที่นี่ด้วย
“เดิมทีคุณปู่ผมจะมาเองครับ แต่ปรากฏได้ยินมาว่าคนที่เข้าร่วมงานวันเกิดคุณหานล้วนเป็นคนหนุ่มสาว เขาเลยสั่งให้ผมเข้ามาแทนเขาครับ มาอวยพรวันเกิดให้คุณหาน”
เฉินยิงเหาเหมือนมองความสงสัยของหยางเฉินออก จึงพูดอธิบายก่อนเอง
หยางเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
“เจ้าบ้านกวน!”
เฉินยิงเหาพยักหน้านิดหน่อยให้กวนเสว่ซง กวนเสว่ซงก็พยักหน้ากลับให้ ถือว่าเป็นการทักทายกัน
เวลานี้ ข้างกายหยางเฉินมีคุณชายตระกูลใหญ่ชั้นนำมาเพิ่มอีกคนแล้ว
คนหนึ่งเป็นผู้นำตระกูลใหญ่ที่อายุน้อยที่สุด อีกคนหนึ่งเป็นรุ่นหลานตระกูลเฉินที่อยู่ในช่วงขาขึ้น
ไม่ว่าเป็นใคร อยู่ที่นี่ นอกจากคุณชายสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองเอกแล้ว ยังไม่มีสถานะของใคร สามารถเทียบพวกเขาได้เลย
แต่กลับกลายเป็นว่าสองคนนี้ยืนอยู่ด้านหลังของหยางเฉินกันหมด
จากตำแหน่งที่พวกเขารั้งท้ายหยางเฉินไปครึ่งตัว สามารถมองออกถึงความสูงต่ำของตำแหน่ง
หนิงเฉินหยู่อดขมวดคิ้วไม่ได้ ก่อนหน้านี้ที่ข้างนอก ตอนเขามองเห็นหยางเฉินเพียงแค่ขับโฟล์คเภาตันคันหนึ่งมา ยังคิดว่าเขาเป็นลูกหลานตระกูลเล็กๆ ที่มาตามกระแส
แม้กระทั่งยังเรียกคนมาทุบรถของหยางเฉินแล้ว
แต่ตอนนี้ ท่าทีเคารพนบนอบของกวนเสว่ซงและเฉินยิงเหาที่มีต่อหยางเฉินแล้ว ทำให้เขาอดสับสนภายในใจระดับหนึ่งไม่ได้
ที่เขาสามารถแน่ใจได้คือ หยางเฉินไม่ใช่รุ่นหลานของสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองเอก
หรือพูดว่าเขามาจากเยนตูเหรอ?
นึกถึงตรงนี้ หนิงเฉินหยู่รู้สึกเสียวสันหลังวาบพุ่งขึ้นหัวสมอง
ถ้าเป็นแบบนี้จริง อย่างนั้นที่เขาพึ่งทุบรถของหยางเฉินมาล่ะ ควรอธิบายกับหยางเฉินอย่างไรดี?