The king of War - บทที่ 364 ให้เวลาผมสิบปี
เห็นลักษณะท่าทางกัดฟันแน่นของฉินยี หยางเฉินจึงหัวเราะแล้ว
เขาชอบความรู้สึกแบบนี้มาก ความรู้สึกประมาณว่าเดิมทีฉินยีคือน้องสาวเขา
ประชุมแลกเปลี่ยนต้องเวลาสองทุ่มถึงจะเริ่มต้น ทั้งช่วงกลางวัน เขามีเวลาว่างเต็มๆ
“เสี่ยวยี เธอมาที่เมืองเอกได้ยังไงกัน?”
เห็นว่าฉินยีอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว หยางเฉินถึงเอ่ยปากถาม
“ฉันมาร่วมประชุมแลกเปลี่ยนน่ะสิ!” ฉินยีตอบไป
“เธอก็ได้รับเชิญมาเหมือนกันเหรอ?”
หยางเฉินแอบรู้สึกตกใจ เขารู้เพียงว่าคนที่ได้รับเชิญมาเข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยน เป็นผู้นำตระกูลใหญ่ที่ยืนอยู่ยอดบนแท้จริงของมณฑลเจียงผิง
ฉินยีย่อมรู้ว่าทำไมหยางเฉินถึงตกใจ มองตาค้อนไปและพูดว่า “งานประชุมแลกเปลี่ยนที่ฉันเข้าร่วมไม่ใช่อันเดียวกับของพี่ พี่เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนระหว่างตระกูลใหญ่ชั้นนำ ที่ฉันเข้าร่วมคือประชุมแลกเปลี่ยนของกิจการชั้นนำ อยู่ที่โรงแรมลู่โจว”
หยางเฉินเข้าใจขึ้นทันใด นี่เขาถึงมานึกได้ถึงเรื่องราวที่ซูซานเคยบอกกับเขาก่อนหน้านี้ ว่าตระกูลระดับหนึ่งของมณฑลเจียงผิง และยังมีกิจการชั้นนำบางส่วน ก็จัดประชุมแลกเปลี่ยนงานหนึ่งเหมือนกัน
ฉินยีในฐานะผู้จัดการใหญ่ของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาเจียงโจว ได้รับเชิญมาย่อมเป็นเรื่องปกติ
“ฉินยี?”
ในเวลานี้เอง เสียงของผู้หญิงอายุน้อยเสียงหนึ่งลอยมาจากด้านหลังทั้งสองคน
ทั้งสองคนหันหน้าไปโดยจิตใต้สำนึก กระทั่งมองเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาหา
คนที่เรียกฉินยีเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้หญิงผมยาวที่สวมแว่นตาดำคนนั้น
หล่อนใส่กางเกงยีนขาสั้นสีฟ้าอ่อนตัวหนึ่ง ท่อนบนสวมเสื้อยืดสีขาวตัวหนึ่ง ทั้งยังกางร่มกันแดดอันหนึ่งด้วย
เวลานี้ หล่อนกำลังควงแขนชายหนุ่มที่สวมชุดอาร์มานี่ทั้งตัว
ชายหนุ่มอาร์มานี่ ตอนที่มองเห็นฉินยี ดวงตาประกายไปหมดเลย
“คุณคือ?”
ฉินยีรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง คาดไม่ถึงว่าจะมาเจอคนรู้จักที่นี่โดยบังเอิญ
เพียงแต่อีกฝ่ายสวมแว่นตาดำที่ใหญ่เกินไป ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกบดบังเอาไว้ อาศัยเพียงเสียงอย่างเดียว เธอจึงจำอีกฝ่ายไม่ได้
“ยียี ฉันเองไง! สวุเจีย!”
หญิงสาวถอดแว่นตาดำออก ยิ้มและบอกไป
“นึกไม่ถึงเป็นเธอเองเหรอ สวุเจีย!”
ฉินยีทำหน้าประหลาดใจ จากนั้นพูดแนะนำกับหยางเฉินว่า “หยางเฉิน หล่อนคือเพื่อนสนิทของฉันสมัยม.ต้น สวุเจีย!”
หยางเฉินพยักหน้าให้สวุเจียนิดหนึ่ง พูดว่า “สวัสดี!”
สวุเจียถึงสังเกตเห็นเข้า ฉินยีกำลังควงแขนของหยางเฉินไว้
หล่อนเพียงแค่ถือโอกาสมองหยางเฉินแวบหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าหยางเฉินเป็นแค่พวกขี้แพ้จนๆ คนหนึ่ง สายตาจึงไม่ได้หยุดมองบนตัวหยางเฉินนานเท่าไร ก่อนจะย้ายหนีไป
“ยียี พวกเราไม่ได้เจอกันมาเจ็ดแปดปีได้แล้วมั้ง?” สวุเจียหัวเราะพูดขึ้น
ฉินยีพยักหน้า พูดอย่างดีใจ “ม.ปลายสามปี มหาวิทยาลัยสี่ปี เรียนจบมาอีกสองปี พูดให้ถูกต้องคือไม่ได้เจอกันมาเก้าปีแล้ว”
ตั้งแต่จบการศึกษามัธยมต้นมาทั้งสองคนก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย ที่จริงแยกจากกันเป็นเวลานานมาก
สวุเจียท่าทางทอดถอนใจ “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าผ่านไปเก้าปีแล้ว ตอนนี้พอนึกกลับไปถึงอดีตของพวกเรา ยังคุ้มค่าให้คิดถึงจริงๆ นะ!”
“ใช่ๆ ฉันยังจำได้ว่าตอนที่ใกล้จบม.3 พวกเรายังถ่ายรูปไว้มากมายเลย รูปถ่ายพวกนี้ ฉันเก็บล็อกเอาไว้ในกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งทั้งหมดเลยล่ะ!” ฉินยีพูดด้วยความตื่นเต้น
เพื่อนนักเรียนเก่าเจอหน้ากัน และเป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ พอคุยกันขึ้นมา ก็ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
“เจียเจีย คนนี้คือ?”
ชายหนุ่มที่สวุเจียควงแขนไว้ตลอดคนนั้น ทันใดนั้นเอ่ยปากถามขึ้น
สวุเจียถึงได้สติกลับมา รีบบอกทันที “ที่รักคะ หล่อนคือเพื่อนสนิทสมัยม.ต้นของฉัน ฉินยี ตอนนั้นเป็นถึงดาวโรงเรียนของโรงเรียนพวกเราเลยนะ!”
“สวัสดีครับสาวสวย ผมชื่อถังคุน เป็นคู่หมั้นของสวุเจีย!”
ถังคุนเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา ยื่นมือข้างหนึ่งไปทางฉินยี
ฉินยีพึ่งสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ใส่อาร์มานี่ทั้งตัวคนนี้เข้า ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคู่หมั้นของเพื่อนสนิทตนเองก็ตาม แต่ฉินยีกลับไม่มีความรู้สึกดีสักนิดเดียว
เพราะสายตาของถังคุน ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะสวุเจีย ด้วยนิสัยพาลแบบเธอ คงด่าคนไปตั้งแต่แรกแล้ว
“สวัสดีค่ะ!”
ฉินยีไม่ได้จับมือกับอีกฝ่าย เพียงแค่ตอบกลับไปประโยคหนึ่งนิ่งๆ
มือของถังคุนค้างอยู่ตรงนั้น บนใบหน้ามีความโกรธแค้นนิดๆ แวบผ่านไป เก็บมือกลับมาอย่างลื่นไหล ยิ้มพูดกับสวุเจียว่า “เจียเจีย ในเมื่อเป็นเพื่อนสนิทของคุณ และไม่ได้เจอกันมาหลายปีขนาดนี้ ไม่สู้ไปเดินเล่นด้วยกันหน่อย?”
“เอาสิ! เอาสิ!”
สวุเจียรีบพยักหน้าทันที และมองทางฉินยี พูดอย่างดีอกดีใจ “ยียี ไม่ง่ายจะได้เจอหน้ากันสักที พวกเราจะได้คุยกันพอดีเลย”
ฉินยียากจะปฏิเสธความกระตือรือร้นของสวุเจียอยู่บ้าง มองหยางเฉินแล้ว พอเห็นเขาพยักหน้า ฉินยีถึงรับปาก
การกระทำเล็กน้อยนี้ กลับไม่สามารถหลุดรอดสายตาของสวุเจียไปได้ แอบรู้สึกตกใจนิดหน่อยอยู่บ้าง ขณะเดียวกันยังมีการเยาะเย้ยระดับหนึ่ง
สำหรับหล่อนแล้ว หยางเฉินก็คือพวกขี้แพ้จนๆ คนหนึ่ง
ตอนแรกที่เรียนมัธยมต้น ฉินยีคือดาวโรงเรียน แทบจะเป็นเทพธิดาในใจของนักเรียนชายทั้งโรงเรียน
ส่วนหล่อน ถึงแม้มีหน้าตางดงามพอสมควร แต่เพราะมักจะเล่นอยู่ด้วยกันกับฉินยี กลับกลายเป็นขับให้ดูเด่นขึ้นมา
ปัจจุบันนี้ ฉินยีกลับเอาผู้หญิงที่ไม่มีรสนิยมขนาดนี้มาเป็นแฟน หล่อนย่อมมีความสุขมากเป็นธรรมดา มีความรู้สึกว่ากดฉินยีลงไปได้มากโข
ต่อให้เธอเป็นดาวโรงเรียนแล้วจะอย่างไรกันล่ะ?
ตอนนี้ไม่ใช่ว่าหาพวกขี้แพ้จนๆ คนหนึ่งมาเป็นแฟนเหรอ?
เทียบกันกับแฟนของฉันแล้ว แฟนของเธอถือรองเท้าให้พวกเรายังไม่คู่ควรเลย!
ฉินยีไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทในตอนนั้น คาดไม่ถึงจะมีความคิดแบบนี้ได้
“ยียี ทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?”
ฉินยียังไม่ทันได้ตอบกลับ สวุเจียก็ทำท่าทางเหมือนรู้แล้ว หัวเราะพลางพูดว่า “เธอต้องรู้แน่เลยใช่มั้ยว่าวันนี้ที่เมืองเอกจัดงานประชุมแลกเปลี่ยนสามปีมีครั้งหนึ่งขึ้น และจะมีของดีที่ราคาต่ำกว่าเดิมมากมาย ถูกหรือเปล่า?”
“ฉัน……”
ฉินยีกำลังอยากจะพูดอะไร กลับถูกสวุเจียขัดจังหวะอีกครั้งหนึ่ง “ยียี ไม่ใช่ว่าฉันว่าเธอนะ ตอนนั้นยังไงเธอก็เป็นดาวโรงเรียนของพวกเรา ด้วยหน้าตาสวยงามของเธอ อยากจะหาแฟนแบบไหนก็หาได้ไม่ใช่เหรอ?”
ขณะพูดอยู่ สวุเจียยังมองหยางเฉินด้วยหน้าตาเหมือนเหยียดหยาม
“เขาคือ……”
ฉินยีเตรียมบอกความสัมพันธ์ของตนเองและหยางเฉินให้กระจ่าง กลับถูกสวุเจียตัดบทอีก “ยียี เธอรู้จักต้าเหอกรุ๊ปมั้ย?”
ฉินยีแอบโกรธอยู่บ้าง แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต เธอจึงยังอดทนเอาไว้ต่อ จากนั้นพยักหน้าแล้ว
เธอจะไม่รู้จักต้าเหอกรุ๊ปได้อย่างไรกัน?
นี่คือกรรมสิทธิ์ของหยางเฉินที่เมืองโจวเฉิง หลังจากที่ตระกูลหยางแห่งเมืองโจวเฉิงพยายามจัดการหยางเฉิน หยางเฉินโมโหเข้า จึงทำลายตระกูลหยางลง
ส่วนต้าเหอกรุ๊ป ก็ตกมาอยู่ในมือของหยางเฉิน
ต่อมา ลั่วปิงมายังเมืองโจวเฉิงด้วยตนเอง รวบรวมกรรมสิทธิ์ตระกูลหยาง ความสามารถของต้าเหอกรุ๊ป แกร่งกว่าเดิมไปไกลมาก
“ที่รักของฉันถังคุน ตอนนี้เป็นรองผู้จัดการใหญ่ เก่งใช่มั้ยล่ะ?”
สวุเจียพูดจาด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง “มาที่เมืองเอกครั้งนี้ คือตัวแทนต้าเหอกรุ๊ป มาเข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยน”
ได้ยินคำพูดของสวุเจีย หยางเฉินทำหน้าแปลกประหลาด เขามองถังคุนแวบหนึ่ง เจ้าหมอนี่คาดไม่ถึงจะเป็นรองผู้จัดการใหญ่ของต้าเหอกรุ๊ป?
หลังจากที่ลั่วปิงถูกเขาส่งไปที่เยนตู ส่วนต้าเหอกรุ๊ปมอบหมายให้ผู้จัดการใหญ่ที่ลั่วปิงอบรมขึ้นมา ถึงตอนนี้ หยางเฉินยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ฉินยีหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “เก่งมากจริงๆ!”
“ถึงแม้ผมยังไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนที่โรงแรมจงโจว แต่ด้วยอายุผมที่ยังน้อย ขอแค่ให้เวลาผมอีกสิบปี ผมจะต้องได้รับเชิญแน่นอน!”
ถังคุนยืนตัวตรง หน้าตาทระนงองอาจ
ในดวงตาของสวุเจีย เต็มไปด้วยความเลื่อมใส