The king of War - บทที่ 372 ความสามัคคี
อย่างที่หยางเฉินคิดไว้ไม่ผิด อีกฝ่ายก็คือหวงจง
ร่างกายของหวงจงเต็มไปด้วยออร่าของผู้มีอำนาจ
ในเวลานี้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างแรงกล้า แต่เขาควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก ไม่ได้สติแตกแต่อย่างใด
ด้านหลังเขายังมีชายวัยกลางคนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ดูพิเศษอะไร แต่หยางเฉินสามารถสัมผัสถึงภัยคุกคามที่น่ากลัวจากร่างกายของชายวัยกลางคนคนนั้นได้
“เป็นถึงผู้สืบสกุลของตระกูลหวง คงไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกนะ”
หยางเฉินพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าคุณอยากรู้ คุณน่าจะหาความจริงได้ง่ายๆ เลยนะ”
“แต่แน่นอน ถ้าคุณยังยืนกรานว่าผมเป็นฆาตกรในการฆ่าลูกชายคุณ งั้นไม่เป็นไรหรอกครับ คุณจะมาไม้ไหน ผมยินดีเสมอ!”
หลังจากหยางเฉินพูดจบ เขาก็มองไปที่หวงเหมยที่อยู่ข้างๆ หวงจงแล้วยิ้มอย่างประชดประชัน “ในโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ไหนจะกั้นลมได้หมดหรอก เรื่องบางเรื่อง ทำแล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา”
จากนั้นหยางเฉินหันหลังแล้วเดินจากไปโดยที่ไม่แม้แต่จะมองพวกเขา
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!”
หวงเหมยโกรธจนหาที่เปรียบไม่ได้ เธอจึงตะโกนใส่หยางเฉิน
เธอรู้ดีว่าหยางเฉินพูดอะไรกับเธอ
แต่ถ้าตอนนี้เธอไม่คิดจะทำอะไรเลย หวงจงก็อาจมองว่าเธอร้อนตัวก็ได้
“คุณหญิงหวงมีธุระอะไรไม่ทราบครับ? ไม่ทราบว่าคุณอยากจะล้างแค้นให้กับลูกชายของคุณ? หรือคุณอยากจะแก้แค้นให้ลูกหมาของคุณครับ?”
หยางเฉินมองไปที่หวงเหมยแล้วพูดอย่างติดตลก
แต่คำพูดนี้ก็ทำให้หวงเหมยยิ่งโกรธมากขึ้น และหวงจงก็ขมวดคิ้วแน่นๆ
อย่างที่หยางเฉินพูด ในฐานะทายาทของตระกูลหวงนั้น หวงจงไม่ใช่คนปัญญาอ่อนอยู่แล้ว
หวงเหมยรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะน้อยคนที่จะรู้ความสัมพันธ์ของเธอกับเมิ่งเทียนเจียวได้
แม้แต่หวงจงยังไม่รู้เลย
แล้วหยางเฉินจะรู้ได้อย่างไร?
“คุณหญิงหวง ตอนนี้คุณน่าจะแปลกใจสินะ ว่าทำไมผมถึงรู้ความสัมพันธ์ของคุณกับตระกูลเมิ่งได้ ใช่ไหมครับ?”
หยางเฉินหรี่ตาลง “ก็เพราะปรมาจารย์ถังที่คุณส่งมาฆ่าผมไงครับ เขามั่นใจว่าจะฆ่าผมได้ ฉะนั้น ก่อนลงมือฆ่าผม เขาบอกเองว่าเมิ่งเทียนเจียวเป็นลูกชายของคุณ”
“คุณมาที่เมืองเอกในครั้งนี้ก็เพื่อจะล้างแค้นให้กับลูกชายและอดีตสามีของคุณ แต่น่าเสียดายนะ สุนัขรับใช้ของคุณกลับถูกผมฆ่าไปก่อน”
หยางเฉินบอกความลับของหวงเหมยออกมาโดยที่ไม่ปิดบังอะไร
ในเมื่อเธอคิดร้ายกับผม งั้นอย่าหาว่าผมไม่เกรงใจก็แล้วกัน!
แน่นอนว่าสีหน้าของหวงจงหม่นหมองขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเขายังไม่รู้เรื่องพวกนี้
หลังจากนำคำพูดของหยางเฉินมาปะติดปะต่อกัน ตอนนี้เขาสามารถมั่นใจได้ว่า การตายของลูกชายเขานั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวงเหมยอย่างแน่นอน
หวงเหมยพูดด้วยความโกรธ “ไอ้หนู แกพล่ามอะไร?”
หยางเฉินมองเธออย่างรังเกียจแล้วหันหลังเพื่อจะเดินจากไป
แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไป ชายร่างกำยำคนหนึ่งก็มาขวางเขาไว้
หยางเฉินขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างเย็นชา “ผมให้คุณสามวินาที ออกไปจากสายตาผมซะ!”
ในเวลานี้ ร่างกายของหยางเฉินเปล่งประกายพลังอันน่าเกรงขามออกมา กลิ่นอายแห่งการฆ่าก็พุ่งออกมาจากดวงตาของเขา
“ไอ้หนุ่ม กล้าทำตัวกร่างต่อหน้าท่านจงของเรา แกกำลังดิ้นหาที่ตายอยู่นะ รู้ตัวไหม!”
ชายร่างใหญ่ไม่ยอมถอย แต่กลับพูดกับหยางเฉินอย่างเย้ยหยันและไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย
“จริงเหรอ?”
มุมปากของหยางเฉินค่อยๆ โค้งขึ้นและกลายเป็นรอยยิ้มที่โหดร้าย
“ผั๊วะ!”
ขณะที่เสียงพูดของเขาลดลง เขาก็เหวี่ยงหมัดออกไปกระแทกกับหน้าท้องของชายผู้นั้นด้วยความแรง
เสียงปะทะที่รุนแรงดังขึ้น ร่างของชายร่างใหญ่ก็ขดตัวลงทันที สองตาของเขาเบิกกว้าง ใบหน้าบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“คุณหวง สุนัขรับใช้ของคุณก็ไม่เท่าไหร่นะ!”
หยางเฉินหันกลับมามองหวงจงแล้วพูดอย่างเย้ยหยัน
หวงจงโกรธจนหน้ากลายเป็นสีตับหมู ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเขาเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ เขาจึงรีบเข้าใกล้หวงจงมากขึ้นและเพ่งมองไปที่หยางเฉินอย่างเคร่งขรึม
“ทำร้ายคนของผมต่อหน้าผม นี่คุณจะกล้าดีไปไหม?”
หวงจงพยายามระงับความโกรธของเขาและพูดอย่างเย็นชา
“บอกได้ว่าคุณยังไม่รู้จักผมมากพอ เพราะว่าผมยังมีอะไรที่กล้ากว่านี้ คุณอยากเห็นไหม?”
เมื่อพูดจบ หยางเฉินก็ยื่นมือออกไปกอดคอของชายร่างใหญ่ที่กำลังใช้สองมือกุมหน้าท้องด้วยความเจ็บปวดอยู่
ทันใดนั้น มือของเขากดลงไปแรงๆ
“พรึ่บ!”
ก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัว พวกเขาก็เห็นชายร่างกำยำคนนั้นคุกเข่าอยู่บนพื้น
จากนั้นตามด้วยเสียงกระดูกหัก และเขาก็คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
ตอนนี้เข่าของเขาเต็มไปด้วยเลือด และกระดูกก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
หลังจากทั้งหมดนี้เกิดขึ้น หยางเฉินดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและก้าวเดินจากไป
หวงจงได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของหยางเฉินที่เดินจากไปด้วยความโกรธ สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจหยุดหยางเฉินได้
เขารู้ดีกว่าหยางเฉินกำลังเตือนเขาเท่านั้น
ชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้หวงจงได้แต่สีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านจงครับ ไอ้หมอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ นะครับ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหวงจงก็หม่นหมองยิ่งขึ้น
เขามาที่มณฑลเจียงผิงในครั้งนี้ การแก้แค้นถือว่าเป็นทางผ่านเท่านั้น แต่จุดประสงค์หลักคือทำให้ทุกคนในมณฑลเจียงผิงยอมรับในตระกูลหวงของเขา
“หวงเหมย นี่มันหมายความว่าไง?”
หวงจงมองไปที่หวงเหมยอย่างไม่เป็นมิตรและถามด้วยความโกรธ
“พี่ชาย พี่อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของไอ้หมอนั่นนะ มันก็แค่ตั้งใจจะยั่วยุให้เราแตกแยกกันเท่านั้น”
หวงเหมยสัมผัสถึงกลิ่นอายแห่งการฆ่าของหวงจง เธอก็รู้สึกประหม่าและรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
หวงจงหรี่ตาแล้วพูดต่อ “รอให้เรื่องนี้จบก่อน แล้วพี่จะตรวจสอบเอง! ไม่ว่าใครหน้าไหน กล้าฆ่าลูกชายข้า มันจะต้องตาย!”
และนี่ก็คืออำนาจมืดที่แท้จริงของตระกูลหวง แม้หวงเหมยจะเป็นลูกสาวของเจ้าบ้านตระกูลหวง เขาก็กล้าที่จะฆ่า
จากนั้นหวงจงก็เดินเข้าไปในโรงแรมจงโจว
เหลือเพียงหวงเหมยที่รู้สึกตื่นตระหนกและเมิ่งหงเย่ที่ยังคงตกใจอยู่
“ไอ้หมอนี่ต้องตายเท่านั้น!”
หวงเหมยกัดฟันพูด
เมิ่งหงเย่ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ได้แต่ยืนอยู่ข้างหวงเหมยและตัวสั่นอย่างไม่หยุด
“เจ้าบ้านเมิ่งเรื่องบางเรื่อง คุณช่วยระวังปากให้ดีก็แล้วกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ครอบครัวตระกูลเมิ่งของคุณก็ต้องตายไปด้วยเช่นกัน!”
หวงเหมยพูดจาข่มขู่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งหงเย่ก็สะดุ้งตกใจและรีบพูดด้วยความกลัวว่า “คุณหญิงหวงไม่ต้องห่วงนะครับ ผมรู้ว่าต้องทำยังไงครับ!”
มีเพียงเมิ่งหงเย่คนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าหวงเหมยเป็นคนยิงหวงอัน ดังนั้น หลังจบการประชุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้ หวงจงต้องตรวจสอบมาถึงตัวของเมิ่งหงเย่อย่างแน่นอน
หวงเหมยจึงทำการ ‘ฉีดวัคซีน’ ไว้ล่วงหน้า
เวลานี้ยังไม่ถึงห้าโมงเย็น และการประชุมแลกเปลี่ยนจะเริ่มขึ้นในเวลาสองทุ่ม
ก่อนเริ่มการประชุมแลกเปลี่ยน ครอบครัวเศรษฐีจากมณฑลเจียงผิงทั้งหลายจะมีห้องรับรองพิเศษสำหรับตนเอง
หยางเฉินจึงเดินเข้าไปในห้องรับรองที่มีป้ายเขียนไว้ว่า ‘เจียงโจว’
“หยางเฉิน!”
ทันทีที่หยางเฉินเดินเข้าไปในห้อง เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
เป็นเสียงของซูซาน เมื่อเห็นหยางเฉินเดินเข้ามา เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก ดวงตาทั้งคู่ของเธอแดงก่ำ และสีหน้าก็ดูน่าสงสารมาก
หยางเฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้เสี่ยวยีเข้าใจผิด ตอนนี้ผมอธิบายให้เธอเข้าใจแล้ว คุณอย่าคิดมากไปนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหยางเฉิน จู่ ๆ ซูซานก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ
“คุณหยาง!”
ในเวลานี้ บุคคลที่คุ้นเคยหลายคนเดินเข้ามาหาหยางเฉิน
นั่นก็คือกวนเจิ้งซานกับซูเฉิงอู่ และด้านหลังพวกเขายังมีกวนเสว่ซงกับชูหัน
ทั้งเจียงโจวมีเพียงสี่พรรกแห่งเมืองเจียงโจวเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ในการได้รับเชิญในครั้งนี้
เว่ยเฉิงโจว หัวหน้าครอบครัวตระกูลเว่ย และจวงเซิ่ง หัวหน้าครอบครัวตระกูลจวงต่างก็นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งพร้อมกับทายาทของพวกเขา
หลังจากหยางเฉินปรากฏตัว ทั้งเว่ยเฉิงโจวกับจวงเซิ่งก็รู้สึกกดดันมาก
แต่หลังกจาที่หยางเฉินเข้าไปในห้องรับรองนั้น หยางเฉินก็แค่เหลือบมองพวกเขาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเท่านั้น
และหลังจากการต้อนรับของตระกูลกวนกับตระกูลซู หยางเฉินก็ได้นั่งลง
“คุณหยางมองยังไงกับการประชุมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ครับ?”
ในขณะนี้ จู่ ๆ เว่ยเฉิงโจวก็ถามหยางเฉิน
หยางเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและยิ้มตอบว่า “ผมเพิ่งเข้าร่วมครั้งแรก ผมว่าเจ้าบ้านเว่ยน่าจะรู้มากกว่าผมนะครับ”
เว่ยเฉิงโจวดูเคร่งขรึม “ถ้าจะเรียกว่าการประชุมแลกเปลี่ยนของครอบครัวใหญ่ในมณฑลเจียงผิง ผมว่าเรียกมันว่าเป็นการประชุมการแบ่งตลาดของสามครอบครัวยักษ์ใหญ่จากเมืองเอกจะดีกว่านะ”
หยางเฉินไม่ได้พูดอะไร แต่มองเว่ยเฉิงโจวด้วยสายตาอันลึกซึ้ง
“ถ้าเมืองเจียงโจวของเราไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ ผมเกรงว่าภัยจากภายนอกอาจตามมาในภายหลังอย่างแน่นอนครับ!”
เว่ยเฉิงโจวพูดต่อ