The king of War - บทที่ 42 หลักฐานมัดตัว
บทที่42 หลักฐานมัดตัว
ภาพฉากนี้ จี้หัวใจของสงโป๋เหลือเกิน
เซินปาเป็นผู้เข้มแข็งที่เขาแลกมาด้วยมูลค่าที่สูงลิบจากประเทศเฮย เขาเป็นสุดยอดนักมวย และไปแข่งชิงแชมป์ระดับโลกมาแล้ว เซินปาเองก็อยู่แนวหน้า
ในเวลานี้ เขาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหยางเฉิน พร้อมกับต้องการติดตาม
หยางเฉินรู้สึกน่าขัน เมื่อเขาเห็นสงโป๋เหรินที่เหม่อลอย แววตาจึงกลับไปมองที่เซินปา“แกคิดว่า ฉันต้องการให้แกอยู่ข้างๆเหรอ”
เซินปาสีหน้าจริงจัง“ผมทำให้คุณได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งฆ่าคน!”
“ถ้าฉันจะฆ่าคน แกคิดว่าฉันจะต้องการแกมั้ย”หยางเฉินยิ้มบาง
เซินปาหน้าง้ำไม่เปลี่ยน“แต่ผมคุ้มครองครอบครัวคุณได้”เดิมทีหยางเฉินไม่ได้ต้องการจะรับเซินปาไว้ แต่คำพูดนี้ ทำให้เขาฉุกคิด ก็เหมือนเป็นการเตือนเขา
ไม่ว่าจะเป็นฉินยีที่โดนสงโป๋ลักพาตัวก่อนหน้า แต่วันนี้เขาก็หลอกฉินซีมาได้ ถ้าพวกเขามีคนคุ้มครอง จะเกิดเรื่องแบบนี้ได้หรือ
ครุ่นคิดเล็กน้อย จู่ๆหยางเฉินพูดขึ้น“ทิ้งเบอร์ติดต่อไว้แล้วกัน ไว้ฉันต้องการ จะติดต่อไป”
ได้ฟังดังนั้น เซินปาดีใจใหญ่ รีบพูด“ขอบคุณลูกพี่ที่รับ!”
“คำเรียกลูกพี่ ฉันไม่ชอบ เรียกว่าคุณหยาง!”
“ครับ คุณหยาง!”เซินปารีบตอบรับ
แม้เขาจะเป็นคนประเทศเฮย แต่เขาพูดภาษากลางได้มาตรฐาน รอให้ตรวจสอบประวัติเขาเรียบร้อยก่อน ถ้าไม่มีปัญหา ค่อยรับไว้
สงโป๋เหรินรู้สึกชาด้านไปทั้งตัว เขารู้สึกราวฝันไป ตัวเองใช้เงินมูลค่าสูงซื้อตัวผู้กล้ามา ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถช่วยแก้แค้นได้ แต่ยังไปเข้าหาศัตรูเสียอีก
“เซินปา แกรับปากแล้วนะ ว่าจะช่วยฉันรบกับพวกมัน แต่ตอนนี้กลับไปตามพวกมัน แกมีจรรยาบรรณวิชาชีพมั้ย”สงโป๋ระเบิดโทสะ
เซินปาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ“หนึ่งฉันยังไม่ได้รับเงินแก สองฉันไม่ได้ติดหนี้แก ทำไมต้องฟังแก”
“ดี!ดีมาก!ในเมื่อแกจะติดตามสวะอย่างเขา งั้นนับจากวันนี้ แกก็คือศัตรูตระกูลสง งั้นก็รอการจัดการจากตระกูลสงแล้วกัน!”สงโป๋เหรินสีหน้าเจ้าเล่ห์
“รู้มั้ยว่าฉันเกลียดอะไรที่สุด”
หยางเฉินหรี่ตา ไม่รอสงโป๋เหรินตอบ ถามเองตอบเอง“การคุกคาม!”
“กูจะคุกคามมึง!มีปัญญาก็ฆ่ากูดิ ในเมื่อไม่กล้า ก็หุบปาก รอตระกูลสงมาแก้แค้น!ฮ่าๆๆๆๆ……”สงโป๋เหรินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
หยางเฉินราวกับกำลังดูคนตาย“ตระกูลสงเก่งกาจนักหรือไง”
“ตระกูลสงเป็นอันดับหนึ่งของเจียงโจว จัดเป็นตระกูลชั้นนำสี่ตระกูลในเจียงโจว ตระกูลฉินที่พึ่งพิงของแก ในสายตาของตระกูลสงแล้ว ก็เป็นแค่กากเดน แค่ยกมือตระกูลฉินก็กลายเป็นเถ้าธุลีแล้ว แกเป็นแค่ลูกเขยสวะที่ถูกทิ้ง จะมาเทียบความแกร่งกับตระกูลสงได้ไง”
พูดถึงตระกูลสง สงโป๋เหรินสีหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม จากนั้นจึงยิ้มอ่อนบาง“ถ้าหากว่าตอนนี้แกเต็มใจที่คุกเข่าขอร้องฉัน แล้วส่งผู้หญิงของแกให้ฉัน บางทีฉันอาจไว้ชีวิต”
“แกเข้าใจผิดแล้ว แค่ตระกูลสงเล็กๆ ไม่ได้คู่ควรอยู่ในสายตาฉันแม้แต่น้อย”
หยางเฉินส่ายหน้าเล็กน้อย ฉับพลันพูดเล่นขึ้น“แกว่า ถ้าฉันทำให้ตระกูลสงล้มล่ะ แกยังจะหยิ่งผยองมั้ย”
เมื่อทิ้งคำพูดนี้แล้ว หยางเฉินไม่หยุดต่อ หมุนตัวจากไป
สงโป๋เหรินหัวเราะอย่างบ้าคลั่งตามหลัง“ฉันจะให้แกรู้ฤทธิ์ตระกูลสงเสียบ้าง ไม่ฆ่าฉันให้ตาย แกจะต้องเสียใจไปตลาดชีวิต!”
“พี่เฉิน คนแบบนี้ปล่อยทิ้งไว้ ช้าเร็วก็ฉิบหาย ถอนรากถอนโคนเลยดีมั้ย”หม่าชาวพูดขึ้นข้างหลังหยางเฉิน
เซินปารีบพูดขึ้น“เชือดไก่ให้ลิงดู วางใจผมเถอะ!”
หยางเฉินยิ้มมุมปาก เย็นชา“จะฆ่า ก็ต้องให้ตระกูลสงมาฆ่า ถึงจะมีความหมาย”
เซินปาตัวสั่นไปทั้งตัว คิดว่าไหนๆตนเองก็ต้องฆ่าเขา ก็เล่นบทปิศาจไปเลย
พอไล่เซินปาแล้ว หม่าชาวจึงขับรถ ส่งหยางเฉินกับฉินซีไปที่ยอดเมฆา
ระหว่างทาง หยางเฉินโทรศัพท์ ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงคำเดียว“หลังจากคืนนี้ เจียงโจวจะไม่มีตระกูลสง!”
คฤหาสน์ตระกูลสง
ประมุขตระกูลสง สงชิงซาน เพิ่งอาบน้ำเสร็จ คิดว่าเป่าผมแห้งแล้วจะไปนอน และเปิดดูข่าวเล็กน้อยในขณะที่ข่าวกำลังทำข่าวการร่วมมือระหว่างเยี่ยนเฉินกรุ๊ปกับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเจียงโจว
สงชิงซานดูข่าว แล้วพูดออกมาอย่างปลง“สมกับเป็นเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ต่อให้เป็นแค่สาขาเจียงโจวก็เถอะ ก็ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว เกรงว่าอีกไม่นาน จะได้เป็นบริษัทชั้นนำในเจียงโจว”
“พ่อครับ ทำไมเราไม่ร่วมมือกับเยี่ยนเฉินล่ะ”ชายหนุ่มสวมชุดนอนเอ่ยปากถาม
ชายหนุ่มคนนั้นเป็นลูกชายของสงชิงซานสงโป๋เฉิง สงชิงซานแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าให้สงโป๋เฉิงสืบทอดกิจการ ขนาดพักอาศัย ยังอยู่กับลูกชายคนโตหัวแก้วหัวแหวน
สงชิงซานส่ายหน้าอย่างขมขื่น“ใครว่าไม่เคยหา พ่อไปหาถึงที่ โดนปิดประตูใส่ นอกจากสี่ตระกูลใหญ่ในเจียงโจว พวกเขาไม่มองใครทั้งนั้น
“ต่อให้เฉินเยี่ยนกรุ๊ปแกร่งแค่ไหน อย่างมากก็เก่งแค่ในเจียงหลง แต่นี่คือเจียงโจว ไม่เห็นเราอยู่ในสายตาแบบนี้ สักวันต้องเจอดีแน่”สงโป๋เฉิงแววตาร้ายกาจ
“คำพูดนี้พูดกับพ่อก็พอ อย่าไปพูดข้างนอกเชียว”
สงชิงซานขมุ่นคิ้ว“ข่าวว่าประธานเยี่ยนเฉินกรุ๊ป เป็นคนเจียงโจว แล้วยังวัยรุ่นอยู่ มีโอกาสไปทำความรู้จักหน่อยก็ดี”
เขาถูกใจลูกชายคนนี้ไปเสียทุกอย่าง มีเพียงความบ้าระห่ำที่ทำให้เขาปวดหัว ดีที่ความสามารถสงโป๋เฉิงโดดเด่น แต่ก็ไม่ประมาท
“พ่อครับ วางใจได้ แม้ว่าผมจะทำอะไรเอิกเกริก แต่ก็รู้หนักเบา”สงโป๋เฉิงรีบแก้ต่าง
“จริงสิ เรื่องเสี่ยวเหว่ยไปถึงไหนแล้ว”จู่ๆสงชิงซานถามขึ้น
พูดถึงเรื่องนี้ สงโป๋เฉิงได้แต่ยิ้มอ่อน“เมื่อวานพี่สองให้ผมหานักมวยจากประเทศเฮย บอกว่ามาแก้แค้นให้เสี่ยวเหว่ย รอบนี้น่าจะพอประมาณแล้วมั้งครับ”
สงชิงซานพยักหน้า แต่สีหน้าหนักอึ้ง“โป๋เหรินทำอะไรค่อนข้างสุดโต่ง บทบาทเล็กๆ เขารับมือได้ แต่ถ้าเป็นศัตรูใหญ่ ก็จะตกอยู่อันตรายง่าย แกเป็นพี่มัน ต้องดูแลมันหน่อย อย่าให้มันไประรานเขาทั่ว”
“พ่อครับ สบายใจเต็มร้อยได้เลย ตระกูลสงมีเราแค่สองพี่น้อง ผมจะไม่ให้น้องตกอยู่ในอันตราย”สงโป๋เฉิงยิ้มพูด
ในเวลานี้เอง สงชิงซานมือถือดังขึ้น
“แก แกว่าไรนะ”
สงชิงซานรับโทรศัพท์ พอได้ฟังคำหนึ่ง สีหน้าขาวซีดทันที แววตาโกรธเคือง
“พ่อ เกิดอะไรขึ้นครับ”สงโป๋เฉิงรีบถาม
สงชิงซานเป็นคนนิ่ง เขารู้ดี ถ้าวันนี้รับแค่โทรศัพท์ แล้วหมดสภาพไร้วิญญาณ ก็คงเกิดเรื่องใหญ่
สงชิงซานยังไม่ทันได้ตอบกลับ มือถือสงโป๋เฉิงก็ดังอีก
“ว่าไงนะ ผับของโป๋เฉิงโดนสั่งปิด”
“ฉันบอกให้พวกแกซ่อนของที่ควรซ่อนแล้วไง ทำไมโดนจับได้”
“ว่าไงนะ โดนสื่อเก็บรูปด้วย”
สงโป๋เฉิงร้อนรนดุจไฟ ลุกพรวด “เพล้ง”ดังขึ้น มือถือแตกเป็นเสี่ยงๆ
สงชิงซานเหม่อลอยไปนาน ตัวอ่อนยวบลงโซฟา
ต่อให้เป็นสงโป๋เฉิงผู้บ้าระห่ำ บัดนี้แววตาก็ดูสิ้นหวัง
“โป๋เฉิง พยุงพ่อลุกขึ้น!”
เป็นนาน สงชิงซานจึงค่อยๆลุกขึ้น แต่ไร้เรี่ยวแรง
สงโป๋เฉิงรีบพยุงบิดาขึ้น กัดฟันกรอด“พ่อครับ เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เบื้องหลังมีคนเล่นงานตระกูลสง ไม่อย่างนั้นทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้ล่ะครับ ผับทุกที่ของตระกูลสง โดนปิดหมด”
หลังจากที่นิ่งสงบ สงโป๋เฉิงรีบคืนสติ
สงชิงซานแววตาหนักอึ้ง พูดเสียงทุ้ม“รีบเรียกประชุมด่วน ต่อให้ตระกูลสงต้องล้ม ก็ต้องรู้ว่าเพราะอะไร!”
ตระกูลสงทำธุรกิจผับเป็นหลัก ตอนนี้ผับโดนปิดหมด รู้ได้ว่าตระกูลสงอยู่ในความเสี่ยง
ต่อให้เป็นกลางดึก แต่ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันที่คฤหาสน์ตระกูลสง
“หมู่นี้ พวกแกไปล่วงเกินใครไว้”
สงชิงซานนั่งลง กวาดตาไปรอบๆ
“เปล่านี่!”
“ผมก็เปล่า!”
“ท่านประมุข เกิดอะไรขึ้น”
……
ลูกหลานตระกูลสงต่างประหลาดใจ เรียกประชุมกลางดึก เพื่อที่จะมาถามคำถามพรรคนี้
เวลาแบบนี้ คงไม่มีใครกล้าปิดบังความจริง แต่ปรากฏว่า ทำให้สงชิงซานสงสัยมากขึ้น
ทุกอย่างเห็นได้ชัด ตระกูลสงคงไปล่วงเกินผู้ใหญ่เข้า ถึงได้เจออะไรแบบนี้ แต่ว่าไปล่วงเกินใครล่ะ ไม่มีใครรู้
“โป๋เหรินล่ะ”สงชิงซานขมุ่นคิ้วถาม
สงโป๋เฉิงรีบพูด“เสี่ยวเหว่ยอยู่ไอซียู โป๋เหรินเจ็บหนัก เขาให้ผมบอกคุณพ่อ แก้แค้นแทนเขาด้วย!”
“ว่าไงนะ”คนในตระกูลสงหน้าถอดสี
สงโป๋เฉิงกระพริบตาปริบๆ พูดขึ้น“เสี่ยวเหว่ยกำลังช่วยฉุกเฉิน โป๋เหรินบาดเจ็บ ผับของตระกูลถูกปิด มีอะไรในนี้หรือเปล่า”
สงโป๋เฉินพูดออกมาราวระงับสติไม่อยู่ หากแต่ทำให้ทุกคนในตระกูลสงสัย
สงชิงซานได้ฟัง แววตาบันดาลโทสะ ตะคอก:“ขอแค่มันยังไม่ตาย ต้องไสหัวมาให้กูเห็น!”
ยอดเมฆา
หยางเฉินกลับถึงบ้าน วางฉินซีลงบนเตียงกว้างใหญ่ ห่มผ้าให้ แล้วรายงานความปลอดภัยกับฉินยี
ฉินซีแค่ถูกกรอกยานอนหลับ หลับไปคืนเดียว ก็หาย
เขาเพิ่งเดินออกนอกห้อง มือถือก็ดังขึ้น
“ท่านประธาน ผับทุกแห่งของตระกูลสง ปิดหมดแล้วครับ ส่วนหลักฐาน ต่อให้เส้นใหญ่แค่ไหน ก็แก้ไม่ได้”
เสียงจากมือถือ เป็นเสียงที่คุ้นเคย