The king of War - บทที่ 43 ฉินซีเขินอาย
บทที่43 ฉินซีเขินอาย
เมื่อได้ฟังคำพูดของลั่วปิง หยางเฉินจึงเปิดปากพูด“ทำได้ไม่เลว ฉันจะทำให้ตระกูลสงตอบโต้ไม่ได้เลยทีเดียว”
“ท่านประธานวางใจเถอะ ผับทั้งหมดของตระกูลสง อยู่ในสายตาผมหมดแล้ว ตอนที่โดนตรวจ ก็ตรวจสอบต่อหน้าทุกคน ลูกค้าต่างก็ถ่ายรูปลงเน็ตหมดเลย ตอนนี้หลักฐานกองเท่าภูเขา ตระกูลสงไม่มีโอกาสพลิกตัวแน่นอน”
ลั่วปิงรายงานตามจริง จู่ๆเหมือนคิดอะไรได้ พูดขึ้นอีก“จริงสิ ยังมีอีกเรื่องที่ต้องรายงานครับ วันนี้คนที่พาคุณฉินไปคุยเป็นหัวหน้าแผนกการตลาดชื่อหวังเมิ่ง เคยเป็นเลขาให้คุณฉินมาก่อน แต่พอคุณฉินกลับซานเหอกรุ๊ป หวังเมิ่งก็คอยหาเรื่องคุณฉินตลอดเวลา เป็นไปได้ว่า สงโป๋เหรินซื้อตัวหวังเมิ่งไป จะให้ไล่ออกมั้ยครับ”
“ไล่ออกเหรอ”
หยางเฉินแค่นหัวเราะ“ทำผิด ก็ต้องชดใช้ แค่ไล่ออกไม่น้อยไปเหรอ ตอนนี้อย่าเพิ่งแตะต้องหล่อน หล่อนยังมีประโยชน์สำหรับผม”
“ครับ ท่านประธาน!”
พอวางหูโทรศัพท์ สีหน้าหยางเฉินค่อยๆสงบลง แม้ว่าตระกูลสงนั้นน่ารังเกียจ แต่ว่าผู้หญิงที่ชื่อหวังเมิ่งน่ารังเกียจยิ่งกว่า ในเมื่อเคยเป็นเลขาให้ฉินซี ก็หมายความว่าเคยได้รับมอบหมายงานสำคัญ เวลานี้กลับเนรคุณ ทำร้ายฉินซี
ยังหาโอกาสเลื่อนตำแหน่งฉินซีไม่ได้ หวังเมิ่งนี่แหละหมากตัวสำคัญ
คฤหาสน์ตระกูลสง
ในตอนที่สงโป๋เหรินมาถึง ห้องโถงตระกูลสงสมาชิกตระกูลนั่งเต็มไปหมด
บนคอของเขายังมีผ้าก๊อตสีขาวพันอยู่ เลือดสดไหลซึม
“พ่อครับ พ่อต้องชำระความให้ผมนะครับ!ไอ้บ้านั่น เกือบฆ่าผม ถ้าไม่ใช่ว่าผมดวงแข็ง ตอนนี้ตายไปแล้ว”สงโป๋เหรินร้องไห้โอดครวญ
“ผัวะ!”
สงชิงซานตบฉาดลงบนหน้าสงโป๋เหริน ตะคอก“ไอ้เดรัจฉาน!คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”
สงโป๋เหรินสีหน้าสงสัย อุทานตะลึง“พ่อครับ!ผมเกือบโดนไอ้นรกนั้นฆ่านะครับ พ่อตบผมทำไม”
“ตบแกเหรอ”
สงชิงซานตัวสั่นเทิ้ม“ถ้าไม่ใช่เพราะแกเป็นลูกชายฉัน ฉันฆ่าแกแล้ว”
เขาตะคอกพลางตวัดไม้เท้า ฟาดลงไปที่สงโป๋เหรินอีกสองสามที
สงโป๋เหรินคุกเข่าลง สีหน้าไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ดวงตาแดงก่ำ“พ่อ!ต่อให้พ่อจะซ้อมผม พ่อก็ช่วยบอกเหตุผลหน่อยสิครับ ฟาดไม่ยั้งแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พ่อยังเห็นผมเป็นลูกอยู่มั้ย”
“ไอ้เนรคุณ!แกมันลูกเนรคุณ!”สงชิงซานเดือดไม่น้อย จนตัวโงนเงน
“พ่อ!”
สงโป๋เฉิงตกใจ รีบรุดเข้าไปพยุงไว้
แล้วตะคอกใส่สงโป๋เหริน“แกไอ้ฉิบหาย ถ้าไม่ใช่เพราะแกไปล่วงเกินใครไว้ ตระกูลสงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เหรอ ยังกล้ามาเถียงอีก!แกยังเห็นตระกูลสงในสายตามั้ย ยังมีพ่ออยู่มั้ย”
“ผมไปล่วงเกินอะไรใคร”
สงโป๋เหรินตะคอก“สงโป๋เฉิง ไอ้คนถ่อย โยนหินใส่บ่อชัดๆ กลัวฉันจะแย่งตำแหน่งผู้สืบทอดล่ะสิ ถึงได้ใส่ความกัน”
“คนมา!”
สงชิงซานตะคอก“ซ้อมมัน!ตีขาไอ้เนรคุณให้หักทั้งสองข้าง!”
“พ่อ!ว่าไงนะ ตีขาผมให้หัก”สงโป๋เหรินไม่อยากเชื่อ
สงชิงซานออกคำสั่ง ชายฉกรรจ์สามสี่คนพุ่งเข้ามา กดสงโป๋เหรินไว้กับพื้น
เวลานี้เอง สงโป๋เหรินรู้สึกได้ บิดาจะตีขาเขาให้หักจริงๆ
“พ่อ ผมผิดไปแล้ว ผมจะไม่เถียงอีกแล้ว และไม่กล้าแย่งตำแหน่งกับพี่ใหญ่แล้ว พ่อปล่อยผมเถอะ ผมผิดไปแล้วจริงๆ”สงโป๋เหรินร้อนรน ดีดดิ้นสุดตัว ไม่นานบาดแผลก็ปริออก เลือดซึมผ้าก๊อต
สงชิงซานเดินมาหยุดหน้าสงโป๋เหริน สีหน้าสงบ“โป๋เหริน ผิดแล้ว บทเรียนที่เจ้าต้องรับ อย่าหาว่าพ่อใจร้ายเลย เจ้าทำผิดต่อตระกูลสงจริงๆ พ่อจะต้องตัดสายเลือด ถึงรักษาตระกูลไว้ได้”
“พ่อ แล้วตกลงผมทำอะไรผิดล่ะ ถึงต้องมีจุดจบแบบนี้”สงโป๋เหรินเจ็บแปล๊บที่คอ แต่เขาก็อยากรู้ความจริง
“แกไปล่วงเกินผู้ใหญ่เอาไว้ ทำให้ผับตระกูลสงถูกปิดทั้งหมด แล้วถูกตรวจสอบ”สงชิงซานค่อยๆเปิดปากพูด แววตาผิดหวัง
“ว่าไงนะ”
สงโป๋เหรินตกใจหน้าถอดสี“พ่อ เป็นไปได้ไง ตระกูลสงเป็นตระกูลเก่าแก่ติดอันดับในเจียงโจว ใครจะมากล้าตรวจสอบเรา จะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ อีกอย่าง ผมไม่ได้ไปล่วงเกินผู้ใหญ่ที่ไหนไว้สักหน่อย”
คนตระกูลสงมองสงโป๋เหรินอย่างดูแคลน ต่างก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปซ้อมเขา
สงโป๋เหรินใจหม่น จู่ๆรู้สึกได้ว่า ตระกูลสงใกล้จบเห่แล้วจริงๆ
“จะเป็นไปไม่ได้ยังไง ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า ยังจะมีอะไรเป็นไปไม่ได้”
สงโป๋เฉิงตะคอก“ไอ้โง่ก็คือไอ้โง่ ขนาดตัวเองไปล่วงเกินใครไว้ยังไม่รู้”
“นอกจากจัดการลูกเขยตระกูลเล็กๆแล้ว ก็ไม่ได้ไปล่วงเกินใครนี่นา!”
สงโป๋เหรินงงจริงๆ คิดไม่ออกจริงๆว่าไปล่วงเกินผู้ใหญ่ที่ไหนเอาไว้ แต่ว่าไม่นาน สีหน้าก็เหม่อลอย
เขานึกถึงคำพูดสุดท้ายของหยางเฉินก่อนจากไป ตอนนั้นแววตาทั้งสองจ้องเขม็ง“เป็นไปไม่ได้ เป็นเขาไปไม่ได้ มันก็เป็นแค่ลูกเขยสวะที่ถูกไล่ตะเพิด จะล้มตระกูลสงได้ไง”
“ว่าไงนะ เขาเป็นใคร ”สงโป๋เฉิงจับประเด็นสำคัญ พุ่งขึ้นหน้า คว้าคอเสื้อสงโป๋เหรินไว้ ตะคอกก้อง
“บอกมา!”สงชิงซานก็ตะคอกออกมา
“หยางเฉิน ลูกเขยที่ตระกูลฉินไล่ออกมา”
“เขานั่นแหละ ทำร้ายเสี่ยวเหว่ย ซ้อมเสี่ยวเหว่ยจนเจ็บหนัก ผมด้วย เป็นเพราะมัน”
“มันบอกว่า จะทำให้ตระกูลสงล้ม ให้ผมเสียใจ”
สงโป๋เหรินสีหน้าหวาดกลัว พูดจาไม่รู้เรื่อง
“เป็นแกจริงๆด้วยไอ้ฉิบหาย!”สงโป๋เฉิงเตะสงโป๋เหรินลงพื้น
สงชิงซานสูดลมหายใจลึก แววตาเฉียบคม พูดเสียงทุ้ม“ตีขามันให้หักทั้งสองข้าง!”
“ไม่นะ……อ๊ากกก……”คฤหาสน์ตระกูลสง เสียงก้องไปด้วยความเจ็บปวดโหยหวน
“โป๋เฉิง พรุ่งนี้แต่เช้า พาไอ้ทรพีนี่ไปด้วย ไปขอขมาให้คนอื่นยกโทษ”สงชิงซานพูดจบ หันเดินกลับเข้าห้องนอน
สงโป๋เฉิงกระพริบตา“ครับ พ่อ!”
วันถัดมา พระอาทิตย์เริ่มขึ้นจากขอบฟ้า ฉินซีบิดขี้เกียจ ค่อยๆลืมตาขึ้น
ไม่นาน เธอจึงรู้ตัวว่าไม่อยู่ในบ้าน นั่งจุมปุ๊กลง มองดูห้องพักที่ตกแต่งหรูหรา ในใจสับสน
เธอค่อยๆฟื้นความจำ รู้แต่ว่าเมื่อวานตอนที่โดนคิดบัญชี เพิ่งยืนขึ้นมา ก็เป็นลมไป จากนั้นเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้อีกเลย
“ว๊าย……”
เสียงแหลมเล็กดังขึ้น
หยางเฉินที่เพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จ ได้ยินเสียงร้องของฉินซีแล้ว ก็ตกอกตกใจ รีบพุ่งเข้าห้องฉินซี
“เสี่ยวซี เป็นอะไร”หยางเฉินถามอย่างร้อนใจ
เมื่อเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของหยางเฉิน ฉินซีอดน้ำตาไหลไม่ได้ ฉับพลัน หล่อนกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดหยางเฉิน มือกอดคอเขาแน่น
พอตกใจตื่น ฉินซีคิดว่าตัวเองโดนสงโป๋เหรินปู้ยี้ปู้ยำเรียบร้อยแล้ว แต่พอเห็นหยางเฉิน เธอจึงได้รู้ เธอได้รับการช่วยเหลือออกมา เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ กอดหยางเฉินร้องไห้
มือของหยางเฉินแข็งทื่อเล็กน้อย มุมปากมีรอยยิ้ม ค่อยๆลูบหลังฉินซี“ไม่เป็นไรแล้วนะ!”
เป็นนาน อารมณ์ของฉินซีจึงมั่นคงขึ้น เธอคลายหยางเฉินออก นึกถึงเมื่อครู่ที่สูญเสียการควบคุม กอดหยางเฉินไว้เสียแน่น เธอรู้สึกอายม้วนต้วนขึ้นมา
หยางเฉินไม่รู้อารมณ์ฉินซี ยื่นมือไปลูบหน้าผาก“ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา!ทำไมหน้าแดงๆ”
“หยางเฉิน ออกไปนะ!”ฉินซีเขินอาย
หยางเฉินหน้าอ่อนใจ แต่ก็ออกจากห้อง ก่อนออก พูดว่า“ในตู้มีเสื้อผ้าผู้หญิง อาบน้ำเสร็จ ลงมากินอาหารเช้านะ”
“ผู้หญิงเนี่ย อารมณ์เปลี่ยนไวกว่าพลิกหน้าหนังสืออีก เมื่อกี้ยังโผเข้ามากอด ตอนนี้ก็ผลักออก”หลังจากออกจากห้อง หยางเฉินส่ายหน้ายิ้มขมขื่น
ฉินซีมองไปที่หน้าประตู ฉับพลัน“พรวด”หัวเราะดังขึ้น“เซ่อจริง!”
หัวเราะทีเดียว ล้มเมือง!
รอเธอเปิดตู้เสื้อผ้าออก ถึงได้ค้นพบ ห้องนอนขนาดห้าสิบตารางเมตรนี้ ตกแต่งโทนชมพูดหมดเลยแถมยังมีของเล่นเด็กผู้หญิงอีก
พอเปิดตู้เสื้อผ้า เธอยิ่งตกตะลึง ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ แบ่งเป็นสามโซน โซนแรกเสื้อผ้าผู้ชาย อีกโซนเสื้อผ้าผู้หญิง โซนสุดท้ายโซนเด็ก
สิ่งที่ทำให้หล่อนยิ่งประหลาดใจคือ เสื้อผ้าผู้หญิงเป็นขนาดตัวหล่อนหมดเลย
เธอมองดูเสื้อผ้าเด็กอีก เป็นขนาดของเสี้ยวเสี้ยวทั้งนั้น
เธอเข้าใจในที่สุด หยางเฉินได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้เธอกับลูกสาวแล้ว
เมื่อนึกถึงการกลับมาของหยางเฉินในครั้งนี้ เขาทำทุกอย่างเพื่อหล่อน จู่ๆหล่อนก็ร้องไห้ออกมา
เป็นนาน หล่อนปาดน้ำตาจากดวงตาที่แดงก่ำ“พวกเราเข้าใจคุณผิดมาตลอด!”
พอเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากห้องนอนเรียบร้อย เธอก็ตะลึงตะลานกับความโอ่อ่าราวกับพระราชวัง
เธอมองไปรอบๆอย่างตกตะลึง บนผนังมีศิลปะระดับโลกแขวนอยู่ ในตู้โชว์มีโบราณวัตถุ ทั้งห้องโถง เหมือนกับพระราชวัง
“คุณในตอนนี้ มั่งมีแค่ไหน”ฉินซีพึมพำ
“ของผมทั้งหมด เป็นของคุณ!”ฉับพลันน้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำลายอารมณ์สงัดของฉินซี
ฉินซีหน้าแดง มองหยางเฉินผู้จริงใจ เดิมทีอยากจะประชด แต่ก็เก็บคำพูดกลับไป
“เรากินข้าวกันเถอะ!”
ฉินซีพูด เดินเข้าไปในห้องอาหาร
บอกว่าห้องอาหาร แต่ก็เหมือนร้านอาหาร ในห้องอาหารขนาดใหญ่ มีโต๊ะวางเต็มไปหมด โต๊ะไม่เล็กเสียด้วย แต่ก็ดูเข้ากันดี
“คุณทำอาหารเช้าเหรอ”เมื่อเห็นอาหารเช้าหลากหลายบนโต๊ะ ฉินซีตกใจ
เนื้อสเต๊กนุ่มช่ำ ดอกกะหล่ำสีเขียว ไข่คนเหลืองทองอร่าม และขนมปังที่อบจนหอมกรอบ นมสดหอมกรุ่น ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบ
“จ๊อก~”
ฉินซีท้องร้องดังจ๊อก เธอหน้าแดงก่ำ
“กินข้าวเถอะ!”
หยางเฉินยิ้มอ่อน หั่นสเต๊กออกเป็นชิ้นเล็ก ยื่นให้ฉินซี
ฉากนี้ทำให้ฉินซีอบอุ่นลุ่มลึก ซาบซึ้งใจ
ดวงตาเธอแดงก่ำ มองไปยังชายตรงหน้า“ทำไมต้องดีกับฉันขนาดนี้”