The king of War - บทที่ 48 ฉินซีถูกตบ
ฉินซีได้ยินคำพูดของหยางเฉิน พลันรู้สึกตำหนิตัวเองเล็กน้อย
แต่ว่านึกถึงสามชีวิตของตระกูลสง สีหน้าของเธอก็ดูหนักแน่นอีกครั้ง ใบหน้าซับซ้อนมองไปที่หยางเฉินเอ่ยว่า “ฉันเพียงแค่ไม่อยากให้นาย ทำผิดกฎหมายเพราะเรื่องของฉัน”
หยางเฉินรู้ว่าฉินซีจิตใจดี ก็ไม่อธิบายอีก เพียงแค่พูดออกมาประโยคหนึ่ง “ฉันรู้แล้ว! ”
โฟล์คเภาตันออกตัวไปทางโรงเรียนอนุบาลหลานเทียน ตลอดทาง ทั้งสองคนเงียบงันไม่พูดคุย
หยางเฉินเป็นเพราะว่าไม่รู้จะพูดอะไร ฉินซีนั้นรู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่ค่อนข้างแรงไปหน่อย ในใจตำหนิตนเอง และขอโทษ แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดออกไปอย่างไร
แต่หลังจากไปรับเสี้ยวเสี้ยว ไม่ช้าสามีภรรยาทั้งสองก็ถูกเด็กหญิงตัวน้อยแหย่จนเบิกบานใจแล้ว
หลังจากฉินซีและเสี้ยวเสี้ยวกลับมาถึงบ้านฉินแล้ว เสี้ยวเสี้ยวสีหน้าเบิกบานเอ่ยว่า “คุณย่า วันนี้คุณพ่อมารับหนูกลับบ้านอีกแล้ว! ”
โจวยู่ชุ่ยจับคำว่า “อีกแล้ว” ในคำพูดของเสี้ยวเสี้ยวได้อย่างแม่นยำ สีหน้ามืดครึ้มลงทันที มองไปทางฉินซีแล้วซักถาม “อย่าบอกฉันนะ ว่าไม่กี่วันมานี้ ล้วนเป็นหยางเฉินไปรับไปส่งลูกและเสี้ยวเสี้ยว? ”
ฉินซีขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่ชอบใจ “คุณแม่ เขาก็แค่ไปรับส่งพวกเราทำงานเลิกงานเท่านั้น อีกอย่าง เขาเป็นพ่อของเสี้ยวเสี้ยว ไปรับไปส่งพวกเราแล้วจะเป็นอะไร? ”
“จะเป็นอะไร? ”
โจวยู่ชุ่ยเอ่ยอย่างโมโห “ตอนนี้ลูกเป็นผู้บริหารระดับสูงของซานเหอกรุ๊ป ชายหนุ่มหล่อเหลามากความสามารถตั้งเท่าไหร่คิดอยากจะสู่ขอลูก ลูกกับหยางเฉินถ่วงรั้งกันมาเรื่อยๆ ยังจะแต่งกับคนอื่นได้ยังไง? ”
ฉินซีรู้ว่าโจวยู่ชุ่ยมีอคติต่อหยางเฉินอย่างมาก ก็ไม่สนใจไปเสียเลย จูงเสี้ยวเสี้ยวขึ้นบ้านไป””
“คุณแม่ หนูกลับมาแล้ว” ฉินยีเวลานี้ก็เลิกงานกลับบ้านแล้ว
ฉินยีเพิ่งจะเข้าประตูมาก็เห็นโจวยู่ชุ่ยทำหน้ามืดครึ้ม เอ่ยถามยิ้มๆ “คุณแม่ ใครยั่วโมโหคุณแม่อีกแล้ว?
โจวยู่ชุ่ยถลึงตาจ้องฉินยีอย่างอารมณ์ไม่ดี “ยังไม่ใช่คนไร้ประโยชน์นั่นหรือ พี่สาวเธอไม่รู้ว่าไปหลงใหลอะไร ถึงกับให้เขามารับส่งทุกวัน ลูกว่า ถ้าให้ชายหนุ่มบ้านรวยที่อยากสู่ขอพี่สาวลูกเหล่านั้นเห็นเข้า ยังจะยินดีสู่ขอพี่สาวลูกไหม? ”
ฉินยีตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ในสมองพลันนึกถึงวันนั้นที่อยู่ร้านอาหารเป่ยหยวนชุน ท่าทางที่ลั่วปิงและซูเฉิงอู่เคารพนอบน้อมต่อหยางเฉิน อดเผยรอยยิ้มขมฝาดไม่ได้ “คุณแม่ เรื่องของพี่สาว คุณแม่ก็อย่ากังวลใจไปเปล่าๆ เลย พี่เขยไม่ได้เป็นแบบที่คุณแม่เห็น”
“อะไรที่เรียกว่าแม่กังวลใจไปเปล่าๆ? เดี๋ยวก่อน ลูกเรียกคนไร้ประโยชน์นั่นว่าอะไร? ” โจวยู่ชุ่ยถลึงตากว้าง
ฉินยีกลับไม่ได้รู้สึกตัวว่าตนเองพูดอะไรผิดไป “พี่เขยน่ะสิ! ”
“พวกลูกแต่ละคนกินยาผิดใช่ไหม? พี่สาวลูกให้เขามารับมาส่งทุกวัน ตอนนี้แม้แต่ลูก ก็เปลี่ยนคำพูดแล้ว? พวกลูกจะยั่วโมโหแม่ให้ตายใช่ไหม ถึงจะพอใจ? ” โจวยู่ชุ่ยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“คุณแม่! ”
ฉินยีรีบจับไหล่ทั้งคู่ของโจวยู่ชุ่ยไว้แล้วบีบนวดไปมา พูดอย่างเอาใจว่า “คุณแม่ สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำสามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ อย่าได้ดูถูกชายหนุ่มวัยรุ่นที่เคยยากจน ห้าปีก่อนหยางเฉินเป็นคนไร้ค่า แต่ว่าใครจะรับประกันได้ว่าห้าปีต่อมาเขายังเป็นคนไร้ค่า? ”
“ในเมื่อพี่สาวไม่เต็มใจหย่า ไม่เช่นนั้นก็ให้เวลาพวกเขาสักระยะ ถ้าเขายังเป็นคนไร้ค่าเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ ถึงคุณแม่จะไม่พูด พี่สาวก็จะเอาเท้าเดียวเตะเขาไปแน่ แต่ถ้าเกิดว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ล่ะ? ก็ไม่แน่ว่าวันใด เขาก็จะกลายเป็นลูกเขยเต่าทองของคุณแม่แล้ว ถูกไหม? ”
คำพูดของฉินยี ทำให้โจวยู่ชุ่ยจับผิดอะไรไม่ได้อีก เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี “เป็นลูกที่ความคิดไม่ดีเยอะ ใครแต่งกับลูกสาวแม่ก็ได้ทั้งนั้น แต่คนไร้ค่าคนนั้นไม่ได้ แม่จะเตือนลูกไว้ ถ้าลูกยังกล้าเรียกเขาว่าพี่เขยอีก ก็อย่าโทษว่าแม่ไม่เกรงใจแล้วกัน”
“พอแล้วน่า! คุณแม่ หนูรู้แล้วหิวจะตายอยู่แล้ว อาหารทำเสร็จหรือยังเอ่ย? ” ฉินยียิ้มกริ่มเอ่ยถาม
“ได้พบเจอลูกสาวอย่างพวกลูกสองคน จะต้องเป็นชาติก่อนที่แม่ติดค้างพวกลูกแน่ๆ ” โจวยู่ชุ่ยพูดไป ก็หมุนกายไปที่ห้องครัว
ชั้นบน เสี้ยวเสี้ยวน้ำตาคลอมองฉินซี “คุณแม่ ทำไมคุณย่าถึงไม่ชอบคุณพ่อ? เสี้ยวเสี้ยวอยากให้คุณพ่อมาอยู่ด้วยกันกับเรา ทุกวันกอดหนูเล่านิทานมากมายให้ฟัง”
ได้ยินคำพูดของเสี้ยวเสี้ยว ในใจของฉินซีก็เป็นทุกข์ ถึงจะพูดว่าโจวยู่ชุ่ยอยากให้เธอและหยางเฉินหย่าร้างกันมาโดยตลอด แต่ว่าตอนนี้หยางเฉินไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกันกับพวกเธอ เธอก็มีภาระรับผิดชอบที่มากเช่นกัน
ตอนนี้ในใจของเธอไม่เกลียดหยางเฉินชั่วคราว พอจะมีความรู้สึกดีๆ อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ว่าจะพูดว่าให้อยู่ด้วยกัน เธอยังคงไม่สามารถผ่านด่านในใจนั้นไปได้
“เสี้ยวเสี้ยว อย่ารีบร้อน จะต้องมีสักวัน ที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันกับคุณพ่อ” ฉินซีช่วยเสี้ยวเสี้ยวเช็ดน้ำตาบนใบหน้า สีหน้าอ่อนโยนเอ่ยตอบ
“จริงหรือ? ” ในดวงตาของเสี้ยวเสี้ยวพลันเปล่งประกายมีชีวิตชีวา
ฉินซีไม่อาจตัดใจหลอกลวง แอบลังเลเล็กน้อย ถึงได้พยักหน้าอย่างหนักแน่น “จริงสิ! ”
“เยี่ยมไปเลย! คุณแม่ เสี้ยวเสี้ยวรักคุณแม่! รักคุณพ่อ! ” ใบหน้าของเสี้ยวเสี้ยวเผยรอยยิ้มยินดีขึ้นมาทันที จูบลงไปบนแก้มของฉินซีครั้งหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น หยางเฉินมาถึงหน้าประตูบ้านฉินตรงเวลา
แต่กลับยังไม่ทันรอได้รอฉินซีและเสี้ยวเสี้ยวมาถึง กลับเป็นแม่ยายที่มาถึง
โจวยู่ชุ่ยพร้อมกับไม้กวาดในมือพุ่งออกมา เห็นหยางเฉินแล้วก็ยกมันขึ้น
“นายไอ้คนสารเลวนี่ ถึงกลับยังกล้ามาพัวพันเสี่ยวซี ดูซิว่าฉันจะตีนายให้ตายไหม” โจวยู่ชุ่ยด้านหนึ่งด่าทอ ด้านหนึ่งทุบตี
ด้วยความแข็งแกร่งของหยางเฉิน เพียงแค่ไม่กวาดด้ามเดียวจะบาดเจ็บได้อย่างไร?
เขาไม่หลบไม่หลีก ปล่อยให้โจวยู่ชุ่ยด่าทอทุบตี หลังจากโจวยู่ชุ่ยทุบตีไปหลายที เห็นหยางเฉินไม่หลบเลี่ยง จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “นายโดนตีจนโง่ไปแล้วหรือ? ทำไมไม่หลบ? ”
หยางเฉินยิ้มเจิดจ้า “ถ้าผมหลบแล้ว คุณแม่จะต้องยิ่งโมโหแน่ ขอเพียงแค่คุณแม่ยินยอมให้ผมกับเสี่ยวซีอยู่ด้วยกัน ถึงแม้จะตีผมอีกหลายที ก็ไม่เป็นไร”
“นายฝันไปเถอะ! ” โจวยู่ชุ่ยแค่นเสียง
เหลือบมองสายตาหนึ่ง ตอนนี้ถึงได้สังเกตเห็นรถเก๋งคันเล็กสีดำคันหนึ่งที่ด้านหลังหยางเฉิน ดูไปแล้วภายนอกนั้นก็ดูสวยดี แต่ว่าตอนที่เห็นโลโก้รถ ก็เยาะหยันขึ้นว่า “ก็แค่โวลค์สวาเก้นท์พังๆ คันหนึ่ง ก็คิดจะอยู่ด้วยกันกับลูกสาวฉันแล้วหรือ? ”
หยางเฉินก็ไม่โกรธ ยิ้มเล็กน้อย “คุณแม่ คุณแม่หวังให้ผมทำอย่างไร ถึงจะยอมตกลงให้ผมกับเสี่ยวซีอยู่ด้วยกัน? ”
โจวยู่ชุ่ยกลอกดวงตารอบหนึ่ง พลันเอ่ยขึ้น “ถ้าทุกเดือนนายสามารถให้ค่าใช้จ่ายประจำวันกับฉันห้าหมื่นได้ ฉันก็จะสัญญาชั่วคราวให้นายและเสี่ยวซีอยู่ด้วยกัน”
“คุณแม่ คุณแม่พูดจริงหรือ? ” หยางเฉินดีใจขึ้นมาทันที
โจวยู่ชุ่ยมองหยางเฉินอย่างดูถูกครั้งหนึ่ง เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “นายคิดจริงๆ หรือว่าทุกเดือนหาเงินได้ห้าหมื่นนั้นง่ายมาก? ”
ก็เป็นในตอนที่เธอกำลังพูดอยู่ หยางเฉินก็เปิดประตูรถออกแล้ว หยิบธนบัตรร้อยหยวนใหม่เอี่ยมออกมาห้าปึก ออกมาจากกล่องเก็บของหน้าที่นั่งข้างคนขับ
“คุณแม่ ห้าหมื่นนี้เป็นการแสดงความกตัญญูต่อคุณแม่ คุณแม่รับไปเถอะ รอให้เวลาผ่านไปสักพัก ผมค่อยแสดงความกตัญญูต่อคุณแม่อีก” หยางเฉินหัวเราะแล้วเอาเงินห้าหมื่นยื่นออกไป
โจวยู่ชุ่ยเห็นด้วยตาตัวเองว่าหยางเฉินหยิบเงินห้าหมื่นจากในรถออกมา ชั่วขณะหนึ่งก็ตกตะลึงไปแล้ว
ในสายตาของเธอ หยางเฉินก็คือคนไร้ประโยชน์ที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เมื่อครู่ที่บอกว่าห้าหมื่นก็จงใจพูดเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่า หยางเฉินถึงกับหยิบออกมาจริงๆ
“เงินนี่คือการที่นายแสดงความกตัญญูต่อฉันจริงหรือ? ” โจวยู่ชุ่ยรีบหยิบเงินมา ยังมีท่าทางราวกับกังวลว่าหยางเฉินจะแย่งกลับคืนไป
หยางเฉินยิ้มแล้วพยักหน้า “เงินก็ส่งถึงมือของคุณแม่แล้ว หรือว่าผมยังจะต้องการมันกลับมาอีกหรือ? ขอเพียงคุณแม่ยินยอมให้ผมและเสี่ยวซีอยู่ด้วยกัน เดือนหน้าผมให้คุณหนึ่งแสน”
“ดี นี่เป็นนายที่พูดเองนะ! ” โจวยู่ชุ่ยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยก็ตกลงแล้ว กลัวว่าหยางเฉินจะเปลี่ยนความตั้งใจ
หยางเฉินสีหน้าประหลาดใจ ถ้ารู้ก่อนว่าแม่ยายจัดการได้ง่ายดายขนาดนี้ เขาคงทำแบบนี้นานแล้ว เงินเล็กน้อยไม่กี่แสนเท่านั้น ถึงจะเป็นกี่ร้อยล้าน แล้วอย่างไร? ขอเพียงแค่สามารถอยู่ด้วยกันกับภรรยาและลูกสาวได้ ถึงแม้จะเป็นทั้งหมดทุกอย่างที่มี เขาก็ล้วนยินดี
“คุณแม่ คุณแม่กำลังทำอะไรอยู่? ” ฉินซีกำลังพาเสี้ยวเสี้ยวเดินออกมา มองเห็นโจวยู่ชุ่ย ฉับพลันสีหน้าก็โกรธเกรี้ยวทันที
โจวยู่ชุ่ยรีบเอาเงินซ่อนไว้ในใต้ผ้ากันเปื้อน จงใจกระแอมไอเสียงหนึ่ง “เสี่ยวซีเอ๊ย เมื่อครู่แม่พิจารณาดูแล้ว หยางเฉินอย่างไรก็เป็นพ่อของเสี้ยวเสี้ยว ก็ให้เขามาอยู่ที่บ้านชั่วคราวแล้วกัน”
“คุณแม่พูดอะไรนะ? ” ฉินซีมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ ความไม่เป็นมิตรของโจวยู่ชุ่ยที่มีต่อหยางเฉินล้ำลึกแค่ไหน เธอชัดแจ้งดีกว่าใคร
โจวยู่ชุ่ยถลึงตาใส่ฉินซีรอบหนึ่ง เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี “แม่เพียงแค่ตกลงให้เขาอยู่ที่บ้านได้ชั่วคราว ถ้าทำตัวไม่ดี ก็ไสหัวออกไปให้ฉัน”
โจวยู่ชุ่ยพูดจบ ก็รีบร้อนหมุนตัวจากไป
เสี้ยวเสี้ยวก็มีสีหน้ายินดี เอ่ยอย่างดีใจว่า “คุณแม่ คุณแม่ไม่ได้หลอกหนู คุณพ่อมาอยู่ด้วยกันกับพวกเราได้แล้วจริงๆ! ”
ประโยค ‘คุณแม่ไม่ได้หลอกหนู’ ของเสี้ยวเสี้ยวประโยคนั้น เป็นการแฉฉินซีอย่างที่สุด เธอหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ถลึงตาใส่เสี้ยวเสี้ยวครั้งหนึ่ง “รีบไปขึ้นรถ ไม่เช่นนั้นจะไปสายแล้ว”
พูดจบ เธอก็รีบจูงเสี้ยวเสี้ยวเข้าไปนั่งในรถ ทิ้งหยางเฉินให้ยืนยิ้มโง่งมอยู่ที่เดิมคนเดียว “ดูเหมือนเสี้ยวเสี้ยวจะเผยความลับอะไรออกมาแล้ว”
หยางเฉินพาเสี้ยวเสี้ยวไปส่งที่โรงเรียนอนุบาลก่อน หลังจากนั้นค่อยพาฉินซีไปส่งที่ซานเหอกรุ๊ป แล้วค่อยฮัมเพลงจากไปลำพัง
ฉินซีเพิ่งจะมาถึงห้องทำงาน หวังเมิ่งก็โยนเอกสารข้อมูลกองโตเข้ามาหา “ฉินซี เอาของเหล่านี้ เอาทั้งหมดไปถ่ายเอกสารมายี่สิบฉบับ อีกสักพักฉันจะใช้ประชุม”
ฉินซีเอาเอกสารข้อมูลที่ถ่ายเอกสารเรียบร้อยแล้วส่งไป หวังเมิ่งพลิกเปิดผ่านๆ เล็กน้อย ใบหน้าโกรธจัดเอาเอกสารทั้งหมดปัดลงไปที่พื้น เอ่ยอย่างโมโหว่า “นี่ก็คือเอกสารข้อมูลที่เธอถ่ายเอกสารมาหรือไง? ”
“มีปัญหาอะไรหรือ? ” ฉินซีหยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมา กลับไม่พบปัญหาอะไร
“ที่ฉันต้องการก็คือสำเนาหน้าเดียว ใครใช้ให้เธอถ่ายเอกสารสองหน้ากัน? แม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังทำได้ไม่ดี เธอยังมีหน้ารั้งอยู่ที่บริษัทอีกหรือ? ” หวังเมิ่งเอ่ยอย่างโมโห
ถ้าฉินซียังไม่เข้าใจว่าเธอจงใจทำให้ตนเองลำบาก เช่นนั้นก็คือคนโง่แล้ว
“หวังเมิ่ง ถ้ารู้สึกว่าฉันไม่มีคุณสมบัติรั้งอยู่ที่บริษัท เธอสามารถไปหาฝ่ายบุคคลให้ปลดฉันออกได้เลย ไม่จำเป็นต้องมาทรมานเคี่ยวกรำฉัน” บนใบหน้าของฉินซีก็เผยแววโกรธเกรี้ยวออกมาสายหนึ่งเช่นกัน
นับตั้งแต่เธอเข้ามาในบริษัทด้วยฐานะของพนักงานใหม่ หวังเมิ่งมักจะหาทุกโอกาสมารังแกเธอ รวมถึงวันนั้นที่ถูกหลอกให้ไปหาสงโป๋เหรินที่บริษัทการบันเทิงโป๋เหรินเพื่อลงนามสัญญาร่วมงาน ก็เป็นผู้หญิงคนนี้
“ดีนี่ ตอนนี้กล้าที่จะเถียงฉันแล้ว เธอยังคิดว่าตัวเองเป็นประธานอันทรงเกียรติคนนั้นเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือไง? ฉันจะบอกเธอให้ ตอนนี้เธอทำงานภายใต้อำนาจของฉัน ก็ต้องฟังฉัน ถ้าเธอรับไม่ไหว เช่นนั้นก็ลาออกเองแล้วไสหัวไป” หวังเมิ่งเอ่ยด้วยใบหน้าเยาะหยัน
ดวงตาทั้งคู่ของฉินซีแดงก่ำ สงสัยอย่างที่สุด “หวังเมิ่ง แท้จริงแล้วฉันล่วงเกินอะไรเธอกันแน่ ถึงได้ทำให้เธอปฏิบัติกับฉันแบบนี้? ตอนนั้นถ้าเกิดว่าไม่ใช่ฉัน จะมีเธอในวันนี้ได้หรือ? ”
“เพี๊ยะ! ”
หวังเมิ่งพาลโกรธขึ้นมา ตบไปบนหน้าของฉินซีไปหนึ่งฝ่ามือ เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เธอหุบปากให้ฉันนะ! “