The king of War - บทที่ 489 เจ้านายแห่งเยี่ยนเฉิน
บอดี้การ์ดของซ่งซวี่หยางก็อึ้งไป แขนของหัวหน้ารปภ โดนตัวเองต่อยหักหรอ?
“ไอ้ชั่ว ตามึงบอดรึไง กูบอกให้มึงไปจัดการไอ้สองตัวนั้น ไม่ใช่คนของกู”
หลังจากที่ซ่งซวี่หยางได้สติก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราดทันที
บอดี้การ์ดเช็ดเหงื่อเม็ดเย็นบนหน้าผาก มองหม่าชาวด้วยสายตาดุร้าย กัดฟันกรอดพลางพูด “แกบังอาจลวงฉัน คอยดูสิ ฉันจะเล่นงานแกให้ตายเลย!”
พูดเสร็จ บอดี้การ์ดก็พุ่งไปหาหม่าชาวอีกครั้ง
หม่าชาวหัวเราะ “ไม่รู้จักเจียมตัว!”
พริบตาเดียวบอดี้การ์ดก็พุ่งมาถึง และเตะไปที่หม่าชาวอย่างแรง
หม่าชาวไม่ปรานีเลยสักนิด เขาเตะออกไปเหมือนกัน
เสียงดัง “ตู้ม” หม่าชาวเตะไปที่หัวเข่าของบอดี้การ์ด
“แคร่ก!”
หัวเข่าของบอดี้การ์ดโดนเตะจนกระดูกแหลกในทันที เขาโซซัดโซเซและล้มลงบนพื้น
ความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้ส่งผลให้บอดี้การ์ดทนไม่ไหว เขาระเบิดเสียงโหยหวนออกมาจากเบื้องลึกของลำคอ
“แคร่กแคร่กแคร่ก!”
หม่าชาวขยับเท้า เดินไปข้างหน้าอีกครั้งและเตะเขาถึงสามทีรัว แขนขาที่เหลือของบอดี้การ์ดก็หักทั้งหมด
บอดี้การ์ดตาเหลือก หมดสติไปเช่นเดียวกัน
ทุกอย่างกลับสู่ความสงบอีกครั้ง!
แม้ว่าลั่วปิงรู้อยู่แล้วว่าหม่าชาวนั้นแข็งแกร่ง แต่เวลานี้ก็ยังตะลึงกับพลังแกร่งกล้าของหม่าชาวที่แสดงออกมา
ซ่งซวี่หยางเป็นคนสนิทที่ตระกูลอวี๋เหวินอบรมสั่งสอนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยนเฉินกรุ๊ปที่อยู่ในการควบคุมของเขามีความสำคัญอย่างมากต่อบางคนในตระกูลอวี๋เหวิน
บอดี้การ์ดของเขาจะเป็นคนธรรมดาได้ยังไง?
ลั่วปิงเคยเห็นกับตาว่าบอดี้การ์ดคนหนึ่งของซ่งซวี่หยางเตะชายกำยำสูงร้อยเก้าสิบกระเด็น ชายกำยำคนนั้นสลบไปในทันที
บอดี้การ์ดที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น แต่หม่าชาวเตะไปเพียงสี่ที แขนขาของบอดี้การ์ดก็หักทั้งหมด
ซ่งซวี่หยางก็ตาโตในทันใด สายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ขณะเดียวกัน ส่วนลึกในนัยน์ตาของเขาก็ฉายแววหวาดกลัวอย่างมากไว้ด้วย
นอกห้องทำงานก็มีคนมาล้อมรอบมากมายในเวลานี้
เมื่อกี้ตอนที่ซ่งซวี่หยางบุกเข้าไปในห้องทำงานของลั่วปิง พวกเขาเห็นกันหมด บัดนี้ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากห้องทำงานอย่างต่อเนื่อง คนด้านนอกก็พากันมีสีหน้าประหลาดใจ
“ฉันก็แค่เรียกมันจริงๆรุนแรง! มันคือทั้งหมดของ Luo?”
“ประธานลั่วนี่น่าสงสารจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นผู้จัดการใหญ่ของกรุ๊ป แต่ในความเป็นจริงไม่มีอำนาจอะไรเลย ตั้งแต่รับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ก็ถูกกดขี่ตลอด”
“ชู่ว! อย่าพูดเหลวไหล ประธานซ่งเป็นคนของตระกูลอวี๋เหวินนะ เขากดขี่ประธานลั่วต้องเป็นคำสั่งจากตระกูลอวี๋เหวินอยู่แล้ว”
“เทวดาเขาตีกัน คนธรรมดาอย่างพวกเราแค่ดูก็พอ อย่าได้ไปซี้ซั้วพูดอะไร!”
……
ผู้คนซุบซิบไปต่างๆนานา
เห็นได้ชัดว่าเสียงเอะอะในห้องทำงานเมื่อกี้ ทำให้พวกเขาคิดว่าผู้ถูกกระทำคือลั่วปิง
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือ เวลานี้ในห้องทำงาน ซ่งซวี่หยางกลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว
ทั้งบอดี้การ์ดและหัวหน้ารปภที่ตัวเองพามาโดนทำร้ายจนแขนขาหักทั้งคู่ และหมดสติไป
ตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดียว ที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกลั่วปิง
“ลั่ว….ลั่วปิง มึงจะบังอาจเกินไปแล้วนะ กล้าทำร้ายแม้กระทั่งบอดี้การ์ดของกู มึงรู้มั้ยว่าบอดี้การ์ดของกูเป็นคนที่ตระกูลอวี๋เหวินจัดหามา มึงกล้าทำร้ายเขา ตระกูลอวี๋เหวินไม่ปล่อยมึงไว้แน่”
ซ่งซวี่หยางทิ้งคำขู่ไว้ทั้งที่ตัวสั่นงึกงัก เขากัดฟันแน่น “มึงคอยดูเถอะ กูจะไปบอกตระกูลอวี๋เหวินเดี๋ยวนี้แหละ”
พูดจบ เขาก็หันหลังเตรียมออกไป
“ฉันอนุญาตให้นายออกไปแล้วหรอ?”
และในตอนนั้น เสียงเย้ยหยันก็พลันดังขึ้น
ร่างของหม่าชาวแวบไปขวางอยู่หน้าประตูห้องทำงาน เขายิ้มตาหยีและมองซ่งซวี่หยาง
ซ่งซวี่หยางหันกลับด้วยตัวสั่นเทา สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างของคนหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา ก็เห็นสายตาคมกริบของเขากำลังมองตัวเองอยู่
ส่งผลให้ซ่งซวี่หยางเย็นวาบไปทั้งตัว รู้สึกราวกับว่าโดนจ้องจากยมบาล
“ที่นี่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปนะ มึงคิดว่าตัวเองเป็นใครวะ? ถึงกล้ามาขวางกู?”
“กูจะบอกมึงให้นะ มึงปล่อยกูไปจะดีกว่า มิฉะนั้นตระกูลอวี๋เหวินไม่ปล่อยมึงไว้แน่”
“ถ้าพวกมึงกล้าทำอะไรกู ตระกูลอวี๋เหวินก็จะทำให้พวกมึงทรมานยิ่งกว่าตาย!”
ซ่งซวี่หยางหวาดหวั่นในใจมาก มีแต่อ้างตระกูลอวี๋เหวินจึงจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
หยางเฉินกลับหัวเราะ “ตระกูลอวี๋เหวินยึดครองเยี่ยนเฉินกรุ๊ปของฉันไปตั้งนาน ฉันไม่ไปคิดบัญชีกับพวกเขาถือว่าไว้หน้าตระกูลนี้มากพอแล้ว พวกเขายังกล้ามาทำให้ฉันทรมานยิ่งกว่าตายอีกหรอ?”
คำพูดของหยางเฉินเหมือนสายฟ้าที่ฟาดกลางกระหม่อมของซ่งซวี่หยาง เขาเบิกตากว้าง จ้องร่างของคนหนุ่มผู้นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
โดยเฉพาะคำว่า “เยี่ยนเฉินกรุ๊ปของฉัน” ที่หยางเฉินพูด ยิ่งทำให้เขาอึ้งไปใหญ่
คนที่มีสิทธิ์พูดประโยคนี้มีเพียงคนเดียว นั่นก็คือประธานเยี่ยนเฉินกรุ๊ปที่ครอบครองหุ้นทั้งหมดไว้ คนที่ถูกตระกูลอวี๋เหวินทอดทิ้งเมื่อสิบแปดปีก่อน
คนอื่นอาจจะไม่รู้เรื่องภายในเยี่ยนเฉินกรุ๊ปมากมายเท่าไหร่ แต่ซ่งซวี่หยางในฐานะผู้จัดการใหญ่คนก่อนของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป รู้เรื่องที่คนอื่นๆไม่รู้ดีมาก
ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าภายในตระกูลอวี๋เหวินเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขารู้ดีว่าเมื่อครึ่งปีก่อน จู่ๆตระกูลอวี๋เหวินก็ออกโรงซื้อหุ้นทุกหุ้นกลับคืนด้วยเงินมหาศาล
หลังจากนั้น ก็โอนเยี่ยนเฉินกรุ๊ปที่รุ่งเรืองกว่า สมบูรณ์กว่าให้กับคนหนุ่มที่ชื่อหยางเฉินโดยไม่เรียกเงิน
และต่อมา ด้วยโอกาสที่ได้มาโดยบังเอิญ เขาถึงรู้ว่าคนหนุ่มที่ชื่อหยางเฉินคนนี้ก็คือคนที่ถูกไล่ออกจากตระกูลไปพร้อมแม่เมื่อสิบแปดปีก่อน
ที่แท้ ในเยี่ยนเฉินกรุ๊ปยังมีสายตรงจากตระกูลอวี๋เหวินอยู่มาก และถือครองหุ้นส่วนใหญ่ไว้อีกด้วย
แต่สุดท้ายก็ถูกตระกูลซื้อกลับไปหมด ได้ข่าวว่าเจ้าบ้านอวี๋เหวินถึงขั้นออกคำสั่งเองเลยว่าไม่ว่าจะเป็นใครในตระกูล ก็ห้ามแทรกแซงเรื่องในเยี่ยนเฉินกรุ๊ป
และในตอนนั้นเองที่มีคนจากตระกูลอวี๋เหวินมาหาเขา แม้จะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่สื่อออกมาผ่านคำพูดได้ว่าเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ได้รับการสนับสนุน เพื่อทดแทนเหล่าคนที่สูญเสียอำนาจในเยี่ยนเฉินกรุ๊ปไป และทำให้เยี่ยนเฉินกรุ๊ปกลับมาอยู่ในการควบคุมอีกครั้ง
วันนี้ เจ้านายที่แท้จริงของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป กลับมาแล้ว!
“นาย……นายคือหยางเฉินหรอ?”
ซ่งซวี่หยางสั่นไปทั้งตัว เขาเอื้อมมือชี้ไปที่หยางเฉินและถามด้วยสีหน้าหวาดผวา
หยางเฉินเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “ดูเหมือน นายจะรู้จักฉันนะ”
แม้ว่าเขาจะยิ้มอยู่ แต่ในสายตาของซ่งซวี่หยางกลับให้ความรู้สึกที่น่าขนลุก
“พรวด!”
ซ่งซวี่หยางคุกเข่าลงทันทีและพูดด้วยท่าทีตื่นตระหนก “ผมไม่รู้ว่าท่านเป็นประธาน ถ้าผมรู้ต่อให้ผมจะใจกล้าขนาดไหนผมก็ไม่กล้าล่วงเกินท่านหรอกครับ! ท่านประธานโปรดเห็นแก่ที่ผมทุ่มเทให้กับกรุ๊ปมาหลายปี เมตตาผมสักครั้งเถอะครับ ”
“ซ่งซวี่หยาง นายรู้จักกลัวแล้วหรอ?”
หยางเฉินยิ้มจางๆ “ถ้าฉันจำไม่ผิด เมื่อกี้นายเพิ่งจะขู่ลั่วปิงว่า อย่าคิดว่าเขาเกาะบารมีของคนที่ถูกตระกูลอวี๋เหวินทอดทิ้งแล้วจะสามารถต่อกรกับนายได้”
“ท่านประธานครับ เมื่อกี้ผมแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ พูดเหลวไหลทั้งเพ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านประธาน ผมนั้นต่ำต้อยยิ่งกว่าฝุ่นผงครับ” ซ่งซวี่หยางแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว
“นายยังบอกอีกว่า นายเป็นคนสนิทที่สายตรงของตระกูลอวี๋เหวินอบรบสั่งสอนมา มีนายอยู่ ใครก็อย่าหวังจะได้ควบคุมเยี่ยนเฉินกรุ๊ป?”
หยางเฉินไม่สนใจและพูดต่อ “นายยังบอกว่าต่อให้เป็นแมลงวันสักตัวในเยี่ยนเฉินกรุ๊ป หากไม่ได้รับการอนุญาตจากนาย ลั่วปิงก็อย่าหวังว่าจะได้ฆ่ามัน!”
เมื่อฟังสิ่งที่หยางเฉินพูดจบ ซ่งซวี่หยางก็รู้สึกว่าแขนขาเย็นเยียบไปหมด อ่อนแรงไปทั้งตัว สีหน้าซีดเผือด