The king of War - บทที่ 496 ไม่เจอกันนานนะ
ด้านหลังของเขามีชายรูปร่างสูงใหญ่ ผมสั้นเรียบร้อย สายตาดึงดัน ติดตามอยู่ด้านหลังคนนั้นราวกับหอคอย
หนุ่มสาวที่สัญจรไปมาหน้าประตูของคลับเมืองหลวงต่างทอดสายตาไปที่สองคนนี้ หญิงสาวหน้าตาสะสวยจำนวนมากมีสายตาแพรวพราวหว่านเสน่ห์ขณะที่มองชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้า
ชายหนุ่มสองคนนี้ก็คือหยางเฉินและหม่าชาว
“คลับเมืองหลวง!”
หยางเฉินเงยหน้าขึ้นมองป้ายไฟLEDขนาดใหญ่ที่ประตู และอ่านคำเหล่านี้ออกเสียง
หม่าชาวมองไปที่ป้ายไฟเช่นกัน เขาหัวเราะพรืด “เป็นแค่คลับ ยังจะกล้าอ้างว่าเป็นเมืองหลวงอีก ไม่เจียมตัวเอาซะเลย ไม่รู้ว่าเจ้าของคลับนี้เป็นคนยังไง”
หยางเฉินยิ้มเล็กน้อย “อีกเดี๋ยวนายก็จะรู้ว่าเป็นคนยังไง”
“โว้ย! ไอ้โง่มาจากไหนกันวะ ถึงกล้าว่าเจ้านายของเราว่าไม่เจียมตัวเอง!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวเย็นๆดังมาจากข้างหลัง
จากนั้น ชายหนุ่มหัวโล้นคนหนึ่งก็เดินออกมา แก้มของเขาใหญ่มาก มีเด็กหนุ่มท่าทางนักเลงห้าหกคนตามหลังมาด้วย
แต่ละคนล้อมหยางเฉินและหม่าชาวไว้ตรงกลางอย่างไม่หวังดี
หม่าชาวเลิกคิ้ว กำลังจะลงมือ ก็โดนหยางเฉินห้ามเอาไว้ก่อน
หยางเฉินมองคนหัวโล้นยิ้มๆและกล่าว “ปากอยู่บนตัวพวกเรา จะพูดอะไรก็เป็นเรื่องของพวกเรา ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับพวกนายนะ?”
หยางเฉินอุตส่าห์อารมณ์ดี ถึงได้ยอมพูดเรื่องไร้สาระกับคนหัวโล้นนี่
คนหัวโล้นพูดอย่างฉุนเฉียว “ไอ้หนุ่ม แกรู้มั้ยว่าที่นี่ที่ไหน ปากอยู่บนตัวพวกแกก็จริง แต่จะมานินทาเจ้านายของเราในถิ่นเจ้านายไม่ได้!”
“แค่บอกว่าเจ้านายของนายไม่เจียมตัวก็ถือว่านินทาแล้วหรอ?”
หยางเฉินยิ้ม ไม่รอให้คนหัวโล้นพูดอะไร เขาเลิกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ถ้าฉันบอกว่าเจ้านายของนายเป็นลูกนอกสมรส เป็นคนขี้ขลาด แบบนี้ถือว่าเป็นการนินทาหรือเปล่า?”
เมื่อได้ฟัง สีหน้าของคนหัวโล้นก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เนื้อแก้มเขายังสั่นสะเทือนไปสองสามที
“แกอยากตายใช่มั้ย ถึงกล้าว่าร้ายเจ้านายของเรา พี่น้อง อัดมันให้เละเลย!”
คนหัวโล้นโบกมือ เด็กหนุ่มห้าหกคนด้านหลังพากันพุ่งไปที่หยางเฉิน
คราวนี้ หม่าชาวเป็นฝ่ายเคลื่อนไหว ร่างของเขาวูบไหว
คนหัวโล้นไม่ทันได้รู้ตัวเลยเกิดอะไรขึ้น เด็กหนุ่มห้าหกคนด้านหลังเขาก็โดนหม่าชาวตบกระเด็นราวกับทั้งหมดเป็นลูกบอล
แต่ละคนล้มลงกับพื้น คลานยังคลานไม่ขึ้น
ถ้าไม่ใช่ว่าหม่าชาวออมมือให้ คนเหล่านี้คงตามเหยถ่าไปพบยมบาลแล้ว
สีหน้าของคนหัวโล้นแข็งทื่อไป เขาอ้าปากเล็กน้อย สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ผู้คนที่กำลังเฝ้าดูอยู่รอบๆก็ท่าทางอย่างกับเห็นผี
“ตอนนี้ฉันจะพูดนินทาเจ้านายของนาย นายยังกล้าออกหน้าให้เขาอีกมั้ย?”
หยางเฉินเผยรอยยิ้มใสซื่อ มองคนหัวโล้นพลางเอ่ย
คนหัวโล้นตัวสั่นไปนิดหน่อย สายตาเห็นได้ชัดว่ายังหวาดกลัวอยู่ แต่หยางเฉินต้องแปลกใจที่เขาพูดอย่างแน่วแน่ “ต่อให้แกฆ่าฉัน บังอาจมานินทาเจ้านายของฉัน ฉันก็ต้องหยุดแกอยู่ดี!”
“แกรู้มั้ยว่าแกกำลังพูดอยู่กับใคร แค่คำนี้ของแก ต่อให้ฉันฆ่าแก แกก็ตายเปล่าอยู่ดี!”
หม่าชาวยืนอยู่ข้างหยางเฉิน มองคนหัวโล้นเย็นๆพลางบอก
คนหัวโล้นกัดฟันแน่นและพูด “ออกไปอยู่ข้างนอก ช้าเร็วก็ต้องใช้กรรมอยู่ดี! เจ้านายมีบุญคุณให้ชีวิตใหม่กับฉัน ถ้าฉันไม่สามารถรักษาชื่อเสียงของเจ้านายไว้ได้ ต่อให้ต้องตายก็ไม่จำเป็นต้องกลัว”
หยางเฉินกลับชื่นชมคนหัวโล้นคนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนรักเพื่อนด้วย
“เอาเถอะ พวกเราไม่คิดจะฆ่าพวกนายหรอกนะ แล้วก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องพวกนายด้วย ไปบอกเจ้านายของพวกนายซะ บอกว่าเพื่อนเก่าของเขา หยางเฉินมาแล้ว!”
หยางเฉินกล่าวยิ้มๆ
พูดจบ เขาก็เดินตรงเข้าไปในคลับเมืองหลวง
คนหัวโล้นหน้าตาตะลึง เขามองแผ่นหลังของหยางเฉิน อยากจะหยุดไว้แต่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
คิดไปคิดมา สุดท้ายก็รีบกดโทรศัพท์ต่อสาย “เจ้านายครับ มีคนชื่อหยางเฉินบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าของคุณมาหาครับ”
หยางเฉินและหม่าชาวเข้าไปในคลับเมืองหลวงแล้ว
สมกับเป็นคลับชั้นนำในเมืองเยี่ยนตู การตกแต่งข้างในหรูหรามาก พวกคลับที่เมืองเจียงโจวนั้นเทียบไม่ได้เลย
“พี่เฉินครับ รู้จักเจ้าของคลับนี้ด้วยหรอครับ?”
หม่าชาวอัดอั้นตั้งนาน สุดท้ายก็ถามอย่างอดไม่ได้
หยางเฉินพยักหน้านิดหน่อย สายตามองไปรอบๆ พลางพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “จะว่าไป ฉันต้องเรียกเขาว่าพี่ชายด้วย”
“อะไรนะครับ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยางเฉิน หม่าชาวก็อึ้งไป
รอยยิ้มบนใบหน้าของหยางเฉินหายไป สายตาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน และปริปากพูด “เขาเหมือนกับฉัน เป็นลูกนอกสมรสของตระกูลอวี๋เหวิน เป็นลูกนอกสมรสของพี่ชายคนๆนั้น”
หม่าชาวไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่มีสีหน้าตะลึงไปเล็กน้อย
คนๆนั้นที่หยางเฉินพูดถึง ก็คือพ่อแท้ๆของหยางเฉิน เจ้าบ้านตระกูลอวี๋เหวินในตอนนี้ อวี๋เหวินเกาหยาง
ตระกูลมหาเศรษฐีระดับต้นๆในเยี่ยนตูนี่ อีรุงตุงนังไปหมดจริงๆ
หม่าชาวแอบคิดในใจ
และในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะกึกก้องเสียงหนึ่งดังมา “หยางเฉิน ไม่เจอกันนานนะ!”
หยางเฉินและหม่าชาวหันกลับไป ก็เห็นชายอายุสามสิบกว่าคนหนึ่งเดินมาหาทั้งคู่
ชายคนนั้นใส่เสื้อเชิ้ตลายดอกสีจัดจ้านตัวหนึ่ง ผมเรียบมันแผล็บ มีรอยยิ้มแห่งการไม่ยอมอยู่ใต้กฎเกณฑ์ฉายอยู่บนใบหน้า ท่าทางรักสนุกสุดๆ
แต่หยางเฉินรู้ว่าสิ่งเหล่าเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น ความจริงแล้ว ผู้ชายคนนี้มีความทะเยอทะยานสูงมาก
ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น นับแล้วถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของหยางเฉิน ชื่อว่าหวังเฉิน
แซ่ตามแม่เหมือนกับหยางเฉิน
ด้านหลังหวังเฉินมีคนหัวโล้นตามมาคนหนึ่ง คนที่มีปัญหากับพวกหยางเฉินหน้าคลับนั่นเอง
“ไม่เจอกันมาสิบแปดปี มาเจอกันอีกทีนายก็ยังจำฉันได้ในปราดเดียว ความจำดีจริงๆเลยนะ”
หยางเฉินมองหวังเฉินยิ้มๆ พูดอย่างมีความหมาย
“ฮ่าๆ” หวังเฉินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาเดินไปข้างหน้า ดึงแขนของหยางเฉินมาด้วยความมีไมตรีและเดินเข้าไปในคลับ เดินไปพลางพูดไป “ฉันไม่มีความสามารถอย่างอื่นหรอก เรื่องจำคนเนี่ยเก่งมาก อีกอย่าง นายบอกคนของฉันแล้วนี่ว่านายชื่อหยางเฉิน”
หยางเฉินหัวเราะ ไม่คิดจะเปิดโปง
เจ้านี่อำพรางไว้ลึกมาก คงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองที่เมืองเจียงโจวนานแล้ว
ทั้งตระกูลอวี๋เหวินมีเด็กรุ่นใหม่เยอะมาก แต่คนที่สนิทกับหยางเฉินมีไม่มากนัก หวังเฉินถือว่าใช่
บางทีอาจเพราะทั้งสองคนเจ็บปวดจากเรื่องเดียวกัน ดังนั้นความสัมพันธ์สมัยวัยเด็กจึงไม่เลว
หลังจากนั้น พ่อของหวังเฉินแอบให้เงินจำนวนหนึ่งกับแม่ของหวังเฉิน และปล่อยให้พวกเขามาใช้ชีวิตที่เมืองเยี่ยนตู
หยางเฉินไม่ได้โชคดีเหมือนหวังเฉิน เขากับแม่ถูกไล่ออกจากตระกูล และถูกบีบให้ต้องไปจากเยี่ยนตู มิหนำซ้ำพวกเขาสองแม่ลูกยังโดนขู่ว่าชั่วชีวิตนี้ก็ห้ามก้าวเข้ามาในเมืองเยี่ยนตูอีกแม้แต่ก้าวเดียว
“นายคิดว่าคลับเมืองหลวงของฉันเป็นยังไง?
หวังเฉินพาหยางเฉินเดินตั้งแต่ชั้นแรกขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด ทุกครั้งที่ถึงแต่ละชั้น หวังเฉินก็จะพาหยางเฉินเดินเข้าไปวนดู