The king of War - บทที่ 658 ปล้นมากกว่าซื้อ
“เสี่ยวเหวิน!”
ไช่โหย่วเหวยคำรามด้วยดวงตาแดงก่ำ
เขามีลูกชายเพียงสองคนเท่านั้นคือไช่เหวินและไช่กวาง ไช่กวางตายแล้ว ถ้าไช่เหวินตายไปอีกคน คงจะถึงคราวของเขาแล้วจริงๆ
ไม่เพียงเท่านี้ ตอนนี้ไช่เหวินยังเป็นทายาทสายตรงรุ่นที่สามเพียงคนเดียวของตระกูลไช่ ถ้าเขาตายไป รุ่นที่สามของตระกูลไช่ก็จะสูญสิ้นแล้ว
“พ่อครับ เรามาสู้กับพวกเขาให้สุดชีวิตเลย!” ไช่โหย่วเหวยคำรามด้วยความโกรธ
“หุบปาก!”
ไช่หวงตวาดใส่ด้วยความโกรธ ไช่โหย่วเหวยมีสีหน้าไม่ยินยอม แต่ก็ต้องหุบปาก
หยางเฉินนั่งอยู่บนที่นั่งประธาน ไม่แสดงออกทางสีหน้าใดๆ ทอดสายตามองไช่หวงอย่างสงบนิ่ง
“หนึ่งหมื่นล้าน!”
ไช่หวงกัดฟันพูดว่า “ผมจะให้คุณหนึ่งหมื่นล้าน เรามาจับมือสงบศึกกัน!”
หยางเฉินหัวเราะ “คุณคิดว่า ผมจะปฏิเสธเงินหนึ่งหมื่นล้านนั่นไหม?”
“ไม่ว่าจะยังไง ทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลไช่ก็อยู่ในระดับแสนล้าน คุณคิดว่าจะใช้เงินหนึ่งหมื่นล้านมาซื้อตระกูลไช่ มันเป็นไปไม่ได้!” ไช่หวงกล่าวทันที
“ทรัพย์สินของตระกูลไช่มีหนึ่งแสนล้าน แต่นี่คือภายใต้สถานการณ์ที่ตระกูลไช่ยังดำรงอยู่ แต่หากตระกูลไช่ถูกทำลาย อย่าว่าแต่หนึ่งหมื่นล้านเลย ผมสามารถทำให้คุณเป็นฝ่ายรับผิดชอบเงินหนึ่งหมื่นล้านนี้เอง คุณเชื่อไหม?” หยางเฉินยิ้มเยาะถาม
ไช่หวงมีสีหน้าแย่มาก เขารู้ว่าสิ่งที่หยางเฉินพูดคือความจริง
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สามารถระดมผู้แข็งแกร่งมาหนึ่งพันคนได้ภายในสิบนาที ต้องเป็นคนที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง เขาถึงขนาดสงสัยว่าหยางเฉินจะเป็นสมาชิกของราชวงศ์และตระกูลเดอะคิง
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ หยางเฉินก็สามารถทำให้ตระกูลไช่รับผิดชอบเงินหนึ่งหมื่นล้านได้
“ดูท่าทางคุณหยางจะตัดสินใจแล้วว่าซื้อตระกูลไช่ทั้งหมดด้วยเงินหนึ่งหมื่นล้าน?” ไช่หวงกล่าว
หม่าชาวอดพูดแทรกไม่ได้ “เพื่อนฝูง หนึ่งหมื่นล้าน ก็เพียงพอสำหรับตระกูลไช่ที่จะใช้ชีวิตดีๆ ต่อไปได้อีกหลายชั่วอายุคนแล้ว ผมแนะนำให้คุณรู้จักพอ ไม่งั้นจะไม่ได้แม้แต่หนึ่งหมื่นล้าน คุณจะมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว”
ส่วนเฉินเห้าและเฉินอิงเหานั้นไม่กล้าพูดแทรกเลย เนื้อหาการเจรจาระหว่างหยางเฉินกับไช่หวงน่าตกใจเกินไป พวกเขาไม่มีสิทธิ์เข้าไปมีส่วนร่วมเลย
ไช่หวงหัวเราะขึ้นมาทันที “คุณแน่ใจขนาดนี้เชียวหรือ ว่าสามารถโค่นล้มตระกูลไช่ได้อย่างง่ายดาย?”
“แล้วมันจะมีปัญหาอะไร?” หยางเฉินถาม
ไช่หวงส่ายหน้า “ในเมื่อคุณมั่นใจขนาดนี้ ผมก็อยากดูว่า คุณจะสามารถโค่นล้มตระกูลไช่ของผมได้ยังไง!”
“โค่นล้มไปแล้วมันไม่น่าเสียดายหรอกเหรอ? ผมต้องการตระกูลไช่ทั้งหมด!”
พอหยางเฉินพูดจบ “ปัง” ประตูของห้องส่วนตัวก็ถูกกระแทกเปิดออก เงาร่างชายวัยกลางคน มือไพล่หลัง ก้าวเข้ามาช้าๆ
พอเห็นคนที่มา ทั้งเฉินเห้าและเฉินอิงเหาก็ตกตะลึงไป เข้าไปหลบอยู่ด้านหลังหยางเฉินโดยไม่รู้ตัว
แม้แต่หม่าชาวเอง ตอนเห็นคนที่มาก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน พลันลุกขึ้นและเข้าไปยืนเคียงข้างหยางเฉิน พร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ
“ท่านสี่! ในที่สุดท่านก็มาถึงแล้ว!” พอไช่หวงเห็นคนที่มา รอยยิ้มผ่อนคลายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ในห้องส่วนตัวมีเพียงหยางเฉินที่มีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่แปลกใจเลยกับการมาถึงของอีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะเมื่อครู่เขารู้สึกถึงการมาถึงของอีกฝ่ายแล้ว แค่เพิ่งปรากฏตัวในตอนนี้เท่านั้น
“พ่อหนุ่ม คุณกล้ามากนะ แม้แต่ตระกูลที่สมาคมบูโดให้การฝึกอบรม ยังกล้าที่จะยึดครองอีกเหรอ?”
ชายวัยกลางคนตะโกนใส่อย่างเย็นชา
ไช่หวงเรียกอีกฝ่ายหนึ่งว่าท่านสี่ และอีกฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าตระกูลไช่เป็นตระกูลที่ได้รับการฝึกอบรมโดยสมาคมบูโด ข้อมูลส่วนตัวของอีกฝ่ายหนึ่งกำลังจะถูกเปิดเผย
การอยู่ในอันดับสี่ในสมาคมบูโดและหัวหน้าสาขาเขตจิ่วโจว ศักยภาพของเขาอยู่ในระดับเดียวกับหัวหน้าจินกางเท่านั้น
เฉินเห้าและเฉินอิงเหาย่อมรู้ถึงการมีอยู่ของสมาคมบูโด ในเวลานี้พวกเขายังคาดเดาได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว พลันหน้าถอดสีทันที
สมาคมบูโดนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู มีผู้แข็งแกร่งที่เปี่ยมไปด้วยวรยุทธ์มากมาย และแม้ว่าจะผนวกกำลังกับแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูแล้ว ก็อาจจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสมาคมบูโด
ส่วนชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ คืออันดับสี่ที่มีชื่อว่าหลี่จิ้ง
“ที่แท้ตระกูลไช่ก็ได้รับการหนุนหลังจากสมาคมบูโด ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาวางอำนาจบาตรใหญ่” หยางเฉินกล่าว
เดิมทีหลี่จิ้งนึกว่าเมื่อหยางเฉินได้ยินชื่อของสมาคมบูโดก็จะคุกเข่าลงขอความเมตตาทันที แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ หยางเฉินไม่เพียงไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ยังมีสีหน้าสงบนิ่งอีกด้วย
เขาสัมผัสไม่ได้ถึงพลังวรยุทธ์ที่จากตัวหยางเฉินเลยแม้แต่น้อย สถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้เพียงสองประการเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะหยางเฉินอ่อนแอเกินไป เป็นคนอ่อนแอไม่มีแรง ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีศักยภาพเหนือกว่าเขาไปไกลมาก
จากการเปรียบเทียบ เขาเชื่อว่าจะมีความเป็นไปได้ในประการที่สองมากกว่า
ถึงอย่างไรเขาก็ใช้เวลานับสิบปีกว่าจะประสบความสำเร็จอย่างในวันนี้ และเขาก็ได้รับโอกาสมามากมาย
หยางเฉินดูมีอายุราวๆ 26-27 ปีเท่านั้น แม้ว่าเขาจะเริ่มฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ก็ไม่อาจแข็งแกร่งมากกว่าเขาไปได้
เขาไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามใดๆ จากตัวหยางเฉินเลย แต่เป็นจากหม่าชาว ซึ่งทำให้เขาตกใจมากกว่า
เพราะหม่าชาวดูอายุน้อยกว่าหยางเฉิน แต่ลมปราณของเขากลับแข็งแกร่งมาก เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่งเช่นในจิ่วโจว
“พ่อหนุ่ม เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถอะ ผมจะแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
หลี่จิ้งมองหยางเฉินในทันที แล้วเอ่ยขึ้น
เมื่อมีผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มที่ไม่อ่อนแอกว่าเขาเท่าไรเป็นผู้คุ้มกัน ฝ่ายตรงข้ามต้องมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งมาก
หลี่จิ้งก็ไม่กล้าที่จะโจมตีง่ายๆ เว้นแต่วันนี้เขาจะฆ่าทุกคนในที่นี้
มิฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยหากจะล่วงเกินตระกูลเศรษฐีแถวหน้า
“ถ้าผมไม่ยอมล่ะ?” หยางเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณไม่ยอมแล้วไงล่ะ?”
หลี่จิ้งพูดอย่างเย็นชา “ตระกูลไช่ได้รับการฝึกอบรมโดยสมาคมบูโด คุณยังกล้าที่จะแย่งชิงตระกูลไช่ไปจากมือของสมาคมบูโดอีกเหรอ?”
“ไม่ได้แย่งชิง แต่เป็นการซื้อ!” หยางเฉินกล่าว
หลี่จิ้งไม่พูดอะไรอีก ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าชายหนุ่มที่ตรงหน้าจะไม่เกรงกลัวสมาคมบูโดเลย
สองพ่อลูกเฉินเห้าและเฉินอิงเหาหลบอยู่ข้างหลังหยางเฉิน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
สีหน้าของคนตระกูลไช่ทั้งสามดูมีความหวัง เมื่อมีหลี่จิ้งอยู่ พวกเขาดูเหมือนแน่ใจว่าจะชนะ
“เวลาของผมมีค่า ไม่มีเวลามาโต้เถียงกับคุณ ถ้าคุณพูดจบแล้วก็ไสหัวออกไป!”
ทันใดนั้นหยางเฉินก็มองหลี่จิ้งพร้อมกับเอ่ยขึ้น
คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้ทุกคนในห้องส่วนตัวถึงกับตกตะลึงงัน
หลังจากคนตระกูลไช่ทั้งสามประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะพวกเขารู้สึกได้ว่า หลี่จิ้งกำลังอยู่บนขีดจำกัดของความโกรธและกำลังจะระเบิดออกมา
“พ่อหนุ่ม คุณกล้ามากนะที่พูดกับท่านสี่แบบนี้ คุณรู้ไหมว่าสมาคมบูโดเป็นยังไง?”
ไช่โหย่วเหวยยิ้มเยาะ “ผมว่าคุณไม่น่าจะรู้หรอก ผมจะบอกคุณให้แล้วกัน! สมาคมบูโดแข็งแกร่งแค่ไหน ไม่มีตระกูลใดในจิ่วโจวสามารถเทียบได้”
“แค่หัวหน้าสาขาของสมาคมบูโดเขตจิ่วโจว ต่อให้แปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้”
“ส่วนตระกูลไช่ของเราก็ได้รับการฝึกอบรมจากสมาคมบูโด อย่างมากก็แค่ชื่อและสมญานามของตระกูลไช่ ในความเป็นจริง ทุกอย่างของตระกูลไช่ล้วนเป็นของสมาคมบูโด”
“ตอนนี้คุณรู้ไหมว่าตัวเองกำลังล่วงเกินอะไรอยู่?”
ไช่โหย่วเหวยหยิ่งผยองขึ้นมาอีกครั้ง ความหวาดกลัวที่มีต่อหยางเฉินเมื่อครู่หายไปไหนหมด?
แต่ทว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ได้ทำให้หยางเฉินหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
เมื่อหยางเฉินมองมาที่เขา ในสายตากลับเต็มไปด้วยการยั่วเย้า