The king of War - บทที่ 681 กลิ่นควันสงครามคุกรุ่น
น่าชื่นชม ผู้นำตระกูลจินกับตระกูลเหลียง ได้พาผู้แข็งแกร่งมาถึงที่โถงรับแขก
“ผู้นำจิน ผู้นำเหลียง ไม่พบกันเสียนานสบายดีนะครับ!”
กวนเจิ้งซานลุกขึ้น เดินหัวเราะตรงเข้าไปต้อนรับ
ทุกวันนี้เขาเกษียณตัวเองยกตำแหน่งให้ทายาทแล้ว แต่วันนี้ต้องต้อนรับคนระดับสุดยอดของมณฑลเจียงผิงและเมืองข้างเคียง เขาจำเป็นต้องให้เกียรติอย่างเต็มที่
“ท่านผู้นำกวน ตระกูลกวนประสบปัญหายุ่งยากขนาดใหญ่แบบนี้ ทำไมไม่บอกข้าจินจื้อหมิงสักคำ?”
ผู้นำตระกูลจินที่หุ่นออกจะอ้วนเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้าเหมือนไม่สู้พอใจ
ผู้นำตระกูลเหลียงเหลี่ยงเหวินคางก็พูดด้วยเสียงเยือก ๆ “ผู้นำกวนนี่ท่าจะมองตระกูลจินกับตระกูลเหลี่ยงไม่ขึ้นมั้ง?ถ้าพวกเราไม่ได้รับข่าวข้างนอกมา น่ากลัวถึงตระกูลกวนโดนถล่มราบคาบไป พวกเราก็คงยังไม่รู้เรื่อง”
จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางต่างมีสีหน้าไม่พอใจ เหมือนว่าที่กวนเจิ้งซานไม่ได้ออกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขา เป็นการมองพวกเขาไม่ขึ้นปานนั้น
กวนเจิ้งซานรีบชี้แจงไปว่า “นี่ไม่ใช่เพราะข้าเองเกรงจะพาให้พวกท่านเดือดร้อนหรอกหรือ?”
ซูเฉิงอู่ก็หัวเราะแล้วลุกยืนขึ้น พูดออมชอมไปว่า “เรี่องนี้เป็นเพราะตาแก่อย่างพวกเราขาดการไตร่ตรอง ไม่ได้คิดถึงว่าควรต้องขอความช่วยเหลือจากท่านทั้งสอง เป็นข้อผิดพลาดของพวกเราเองจริง ๆ!”
เวลานี้ เป็นช่วงวิกฤตมากของมณฑลเจียงผิง กวนเจิ้งซานและซูเฉิงอู่ต่างก็ไม่ต้องการจะกระทบกระทั่งกับเหล่ามหาเศรษฐีระดับสุดยอดของเมืองข้างเคียง
ฟังกวนเจิ้งซานและซูเฉิงอู่พูดแล้ว จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางค่อยดูคลายเครียดลงบ้าง
“พวกคุณวางใจได้ ข้ากับผู้นำเหลียง ได้คัดผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดของพวกเรามาด้วย ให้ตระกูลเซวมันกล้าหาเรื่องมาเถอะ พวกเราจะให้พวกมันหาที่กลับไม่ได้!”
จินจื้อหมิงพูดด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง
เหลี่ยงเหวินคางก็เอ่ยปากพูดว่า “ใช่เลย ตระกูลเซวมันจะมองตระกูลพวกเราเป็นลูกพลับเน่าเสียแล้ว ต่อให้ตระกูลเซวเป็นมังกร เข้ามาเหยียบถึงถิ่นพวกเรา มันก็ต้องขดม้วนอยู่นี่แหละ!”
ตระกูลจินกับตระกูลเหลี่ยง ได้นำพาผู้แข็งแกร่งมาเป็นจำนวนไม่น้อย มองดูไป แต่ละตระกูลคงมีนำมากันนับร้อย
ขณะนั้น คนที่มาทั้งหมดรอกันอยู่ข้างนอก
ตระกูลซูกับตระกูลหาน เดิมทีก็นำผู้แข็งแกร่งมาจำนวนไม่น้อย รวมเข้ากับผู้แข็งแกร่งของตระกูลกวนเองด้วย รวม ๆ ทุกตระกูลใหญ่นี้แล้ว ประเมินดูก็ต้องมีห้า-หกร้อยนาย
กองกำลังใหญ่ขนาดนี้ แทบจะพูดได้ว่าไปวางไว้ตรงไหน ก็เป็นพลังใหญ่ยิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย
แต่ทว่า ตระกูลเซวเป็นหนึ่งในตระกูลมหาเศรษฐีระดับแทบจะเหนือกว่าที่นอกเหนือ
หานเซี่ยวเทียนกลับไม่ยอมไว้หน้าจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคาง ทำเสียงฮึออกจมูกแล้วพูดว่า “พวกท่านพูดเหมือนจะดูดีนะ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ตระกูลเซวน่าจะมีพาคนไปบ้านตระกูลจินกับตระกูลเหลียงแล้วด้วยมั้ง?”
จริงอย่างที่ว่า พอหานเซี่ยวเทียนพูดจบ จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางต่างทำหน้าดูไม่ได้เลยขึ้นมา
“หานเซี่ยวเทียน นี่ท่านหมายความว่ายังไง?พวกเราอุตส่าห์มีใจนำเอาผู้แข็งแกร่งชั้นสุดยอดของตระกูลพวกเรามาช่วยเจียงผิงของพวกท่าน ท่านไม่รู้สึกขอบคุณ ยังกลับมาพูดเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ แบบนี้หรือ?”
จินจื้อหมิงบันดาลโทสะขึ้นมา จ้องหน้าพูดกับหานเซี่ยวเทียน
สีหน้าเหลี่ยงเหวินคางก็ดูไม่พอใจพูดไปว่า “หานเซี่ยวเทียน อย่าลืมว่าที่นี่บ้านตระกูลกวนนะ ไม่ใช่บ้านตระกูลหาน มาทำอวดเบ่งกับพวกข้า มีคุณสมบัติพอไหมนั่น?”
“ปัง!”
หานเซี่ยวเทียนตบโต๊ะ ลุกพรวดยืนขึ้น กราดพูดไปว่า “กูนี่ตอนที่คุมบ้านตระกูลหานอยู่ เอ็งนี่มันยังคลุกดินเล่นขี้โคลนอยู่เลย มาถามเรื่องคุณสมบัติกู เอ็งไปเรียกพ่อเอ็งมาเลย!”
จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางต่างมีอายุประมาณอยู่ที่ห้าสิบ หานเซี่ยวเทียนนั้นรุ่นเจ็ดสิบกว่าแล้ว พูดแบบนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่
เห็นท่าหานเซี่ยวเทียนกับสองคนนั้นจะทะเลาะกันใหญ่แล้ว กวนเจิ้งซานกับซูเฉิงอู่ก็รีบลุกขึ้นปราม
“ทุกท่านโปรดระงับอารมณ์หน่อย!ในเมื่อวันนี้ทุกท่านก็มารวมตัวกันที่นี่ เป็นประจักษ์ชัดว่ามาด้วยเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือจะรับมือกับตระกูลเซว ไม่ใช่มาทะเลาะกันเอง!”
กวนเจิ้งซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าหากทุกท่านจะทะเลาะกันเอง งั้นก็แยกย้ายกลับไปกันดีกว่า เต็มที่ก็แค่ตระกูลกวนของข้าจะรับมือกับตระกูลเซวโดยลำพังเอง!”
ซูเฉิงอู่รีบพูดไปว่า “ผู้นำกวน ท่านพูดแบบนี้ไม่ได้นะ ตอนนี้ตระกูลเซวมากันอย่างบ้าระห่ำ ต้องการจะให้ตระกูลมหาเศรษฐีทั้งสามมณฑลไปสวามิภักดิ์มัน นี่มันพฤติกรรมของโจรชัด ๆ”
“พวกเราในขณะนี้เปรียบเหมือนริมฝีปากอยู่หน้าด่านถ้าพังไปฟันก็เละ จะขาดบ้านตระกูลไหนไปสักตระกูลไม่ได้ เพราะลำพังตระกูลเดียวไม่มีทางจะรับมือตระกูลเซวได้ ขอให้ทุกท่านสงบสติอารมณ์ นั่งลงปรึกษาหารือกัน อย่าผิดใจต่อกัน ร่วมมือกันต้านรับศัตรูถึงจะถูก”
ซูเฉิงอู่พูดจบ ทุกคนต่างสงบลง ไม่มีใครทะเลาะกันอีก
เพราะทุกคนต่างเข้าใจกันดี สิ่งที่ซูเฉิงอู่พูดนั้นเป็นเรื่องจริง วันนี้ที่พวกเขามารวมตัวกัน แท้จริงก็เพื่อต้านทานอริศัตรูเดียวกัน
เวลานี้ศัตรูตัวจริงยังไม่ทันได้มา พวกเขาก็จะบาดหมางกันเองแล้ว พอถึงเวลาที่ศัตรูมาถึง พวกเขาจะไปต้านรับกันได้ยังไง?
“ในเมื่อไม่มีใครจะพูดอะไรแล้ว แสดงว่า ทุกคนตกลงพร้อมใจกันต่อต้านตระกูลเซว ใช่ไหม?”
ซูเฉิงอู่เห็นทุกคนเงียบสงบลง จึงพูดว่า “ถ้างั้นให้ท่านผู้นำตระกูลกวนพูดอะไรหน่อย ทุกคนไม่มีความเห็นอื่นนะ?”
“ดีเลย!”
“ผมไม่มีความเห็น!”
“ผมก็ไม่มีความเห็น!”
หานเซี่ยวเทียน และทั้งจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคาง ต่างขานรับกันตาม ๆ กัน
“ผู้นำกวน ท่านเป็นเจ้าภาพ ก็ต้องเชิญท่านก่อน ขอทราบแผนในการต้านรับศัตรูด้วยครับ!” ซูเฉิงอู่มองไปที่กวนเจิ้งซานแล้วพูด
กวนเจิ้งอู่ผงกหัว กวาดสายตามองไปที่ทุกคน เอ่ยปากพูด “ความคิดของผมนั้นง่าย ๆ ตระกูลเซวคิดจะให้พวกเราสวามิภักดิ์กับเขา เป็นเรื่องยอมไม่ได้เด็ดขาด!”
“เดิมทีผมคิดไว้อยู่แล้ว ถึงตายก็ไม่ยอม แน่นอน ผลที่ตามมาต้องหนักหนามาก ไม่ตระกูลกวนล่มสลายก็ให้ตระกูลเซวไปสนับสนุนตระกูลอื่น มาแทนที่ฐานะของตระกูลกวน”
“ทว่ามาถึงตอนนี้ มีผู้นำทุกท่านมาร่วมใจกันต้านอริศัตรู ความมั่นใจของผมระเบิดเต็ม!”
“ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงยังไงตระกูลเซวก็อยู่ในฐานะหนึ่งในเก้าระดับจ้าวมหาเศรษฐี แน่นอนว่าพวกเราคงไม่สามารถเอากำลังเข้าปะทะกันตรง ๆ ได้”
กวนเจิ้งซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่สามารถเอากำลังเข้าปะทะกันตรง ๆ?แล้วท่านมีความคิดอย่างไร?”จินจื้อหมิงถามอย่างไม่พอใจ
“ถ้าเพียงลำพังตระกูลกวนของผม พวกเราไม่มีวิธีใด ๆ เลย แต่ตอนนี้มีพวกเราตระกูลพี่น้องทุกท่านสมัครใจกันมาช่วยเหลือ ขอเพียงพวกเราร่วมใจกันขอนั่งคุยกันกับตระกูลเซว คิดว่าตระกูลเซวคงไม่อหังการอย่างที่เป็นเป็นแน่”
กวนเจิ้งซานพูดต่อ “ด้วยเพราะพวกเราร่วมแรงร่วมใจกัน ถึงตระกูลเซวจะยังสามารถถล่มได้หมดสิ้น พวกเขาก็คงไม่ทำ เพราะถ้าทำแบบนั้นมีผลกระทบมาก จะทำให้ตระกูลเซวต้องมีเรื่องเดือดร้อนตามมามากมาย”
“ถ้าลำพังเฉพาะตระกูลกวน พวกเขาอาจจะเลือกสนับสนุนสร้างตระกูลใหม่ขึ้นมาสืบแทนได้ แต่ถ้าพวกเราทั้งห้าตระกูลพร้อมใจร่วมมือกัน ต่อให้ตระกูลเซวจะสามารถสนับสนุนสร้างตระกูลใหม่ให้ได้อีกถึงห้าตระกูล ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ คงไม่มีปัญญารับการต่อต้านของพวกเราได้”
“ในเมื่อตระกูลเซวใช้อำนาจอิทธิพลบีบบังคับขนาดนี้ แสดงว่ามีความรีบร้อนที่จะครอบอำนาจใส่ตระกูลของพวกเราเป็นแน่ เพียงขอให้พวกเรายึดมั่นกลมเกลียวรวมตัวเหมือนเป็นเชือกเส้นเดียวกัน ตระกูลเซวก็จะต้องถอยกลับไปมือเปล่า”
ฟังกวนเจิ้งซานพูดมา คนทั้งหมดเงียบขรึม
สักพักใหญ่ เหลี่ยงเหวินคางพูดขึ้นว่า “แล้วถ้าเกิดว่า ตระกูลเซวยังกล้าแข็ง ยืนหยัดจะเอาพวกเราให้สวามิภักดิ์กับเขาให้จงได้หละ?ถึงตอนนั้น พวกเราจะทำยังไง?”
นี่คือประเด็นสำคัญ ช่วงนี้เองที่แต่ละคนทั้งหมดมีสีหน้าเคร่งเครียดกันถึงที่สุด
พวกเขาที่นำกำลังคนมามากมาย ก็แต่เพียงเป็นการสร้างภาพ ถ้าหากให้พวกเขาร่วมวงลงมือกับตระกูลเซวจริง ๆ เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครกล้าแน่นอน
อาศัยกำลังของตระกูลเซว ต่อให้แปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูร่วมมือกัน ยังคงต้องโดนถล่มให้ล่มสลายไปได้ แล้วจะเอาอะไรกับแค่เพียงห้าตระกูลมหาเศรษฐีอย่างพวกเขา?
หากแม้นไม่ใช่เพราะตระกูลเซวห่างไกลไปจากเจียงผิงมาก มีหรือตระกูลเซวจะให้เวลาพวกเขาคิดกันเป็นเวลาถึงหนึ่งอาทิตย์?
“ถ้าตระกูลเซวยืนกรานจะเอาแบบนั้น พวกเราก็ได้แต่เปิดศึกกันสักตั้ง”
ขณะนั้นเอง หานเซี่ยวเทียนเอ่ยปากพูดขึ้นมาในทันที ตาของเขา คุกรุ่นไปด้วยกลิ่นควันสงคราม