The king of War - บทที่ 682 เซียนเทพจากไหนกัน
หานเซี่ยวเทียนเลือกที่จะเปิดศึก ส่วนหนึ่งมาจากที่เขาเองนั้นเป็นทหารผ่านศึกมาจากสมรภูมิชายแดนเหนือ ถึงแม้จะแก่ลงแล้ว แต่เลือดในกระดูกยังไม่เหือดหาย
ส่วนที่สอง ก็เพราะการมีตัวตนอยู่ของหยางเฉิน
คนอื่นไม่รู้จักว่าหยางเฉินเป็นใคร แต่เขารู้จัก!
ใครคนหนึ่งคนนั้นที่อยู่ในตำนานเทพระดับสุดยอดของชายแดนเหนือ อย่าว่าแต่เจ้าเด็กรุ่นหลังตระกูลเซวคนเดียวเลย ต่อให้ผู้นำตระกูลเซวมาเอง แล้วจะทำอะไรได้?
เขาคิดได้แบบนี้ แต่ไม่ได้หมายถึงความเห็นของทุกคนจะอยากให้เปิดศึก
“พูดส่ง!”
เป็นจริงดังว่า จินจื้อหมิงลุกยืนขึ้นทันที พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “คุณคิดว่าตระกูลหานแน่มากหรือไง?จะเปิดศึกกับตระกูลเซว คุณอยากรนหาที่ตายหรือไง?”
“ถ้าอยากหาที่ตาย ก็น่าจะรีบไสหัวไปเลยดีกว่า อย่ามาพาพวกเราต้องไปตายกับแก!”
เหลี่ยงเหวินคางแค่นเสียงหัวเราะ “ก็ในเมื่อแก่แล้ว น่าจะรีบ ๆวางมือให้คลื่นลูกใหม่ได้แล้ว การจะไปเปิดศึกกับตระกูลเซว ท่านพูดตลกไปมั้ง?”
“น่ากลัว ตระกูลเซวเป็นตระกูลอะไรแบบไหน ท่านคงยังไม่รู้เลยมั้ง?”
“ถ้าในเมื่อไม่รู้เรื่องนะ เดี๋ยวผมจะบอกให้ ตระกูลเซวเคยเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลใหญ่ในราชวงศ์ เพียงแต่ว่าตอนหลังถดถอยเสื่อมลง ก็เลยถูกเบียดออกจากสายตระกูลราชวงศ์”
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ พลังแท้จริงของตระกูลเซวก็แค่เพียงหนึ่งในตระกูลหลวงที่รองลงจากตระกูลราชวงศ์ มองกวาดไปทั่วทั้งจิ่วโจว ตระกูลเซวก็คือหนึ่งในเก้าตระกูลมหาเศรษฐีที่แข็งแกร่งที่สุด
“ท่านช่วยบอกผมหน่อยนะครับ การจะไปเปิดศึกกับตระกูลเซว จะเอาอะไรไปสู้ได้?”
เหลี่ยงเหวินคางถามไปด้วยสีหน้าประชดประชัน
เขากับจินจื้อหมิงมากันก็ดูฮึกเหิม แท้จริงแล้วก็มีความคิดแบบเดียวกับที่กวนเจิ้งซานคิดไว้ คือคิดประสานมหาเศรษฐีระดับยอดของสามมณฑล ร่วมมือกันเข้าเจรจากับตระกูลเซว
ถึงแม้อาจจะไม่สามารถไล่ตระกูลเซวออกพ้นจากสามมณฑลนี้ได้ หรือกระทั่งต้องให้ความร่วมมือกับตระกูลเซว เพียงขอแต่อย่าให้ถึงต้องสวามิภักดิ์กับตระกูลเซวก็พอ
การเปิดศึกกับตระกูลเซว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในความคิดเลย
ไม่แค่เพียงเหลี่ยงเหวินคางกับจินจื้อหมิง ซูเฉิงอู่กับกวนเจิ้งซาน ก็มีความคิดแบบเดียวกันนี้ ขอแต่ให้เลี่ยงการต้องอยู่ใต้อำนาจของตระกูลเซว เรื่องอื่นคุยกันได้หมด
“ ไอ้พวกกระจอก!”
หานเซี่ยวเทียนหัวเราะเหยียด ๆ “ดูพวกแกเหมือนแน่จริงนะ พาคนระดับสุดยอดฝีมือของตระกูลมากัน ในเมื่อรู้อยู่ว่าไม่กล้าเปิดศึกกับตระกูลเซว แล้วเอาคนมาทำไมเยอะแยะ จะมาตกแต่งสถานที่หรือไง?”
จินจื้อหมิงและเหลี่ยงเหวินคางต่างหน้าแดงผ่าว ก็ที่เอาคนมา ก็เพื่อประดับโชว์จริงนั่นแหละ
“ผู้นำกวน ผู้นำซู พวกท่านลองว่ามา สรุปจะเปิดศึกกับตระกูลเซวสักตั้ง?หรือจะขอเจรจา?”
จินจื้อหมิงก็ไม่คิดจะถียงกับหานเซี่ยวเทียน แต่กลับหันไปมองกวนเจิ้งซานและซูเฉิงอู่แล้วถาม
กวนเจิ้งซานและซูเฉิงอู่มองหน้ากันแล้ว ซูเฉินอู่มองไปที่หานเซี่ยวเทียนพูดว่า “ผู้นำหาน ท่านได้โปรดอย่าเพิ่งใช้อารมณ์ หากว่าพวกเราร่วมมือกัน แล้วสามารถเอาชนะตระกูลเซวได้ ข้าซูเฉิงอู่เป็นคนแรกที่เห็นด้วย ปัญหามันอยู่ที่ว่า ต่อให้พวกเราร่วมมือกัน ก็เหมือนไม้จิ้มฟันยังไม่พอให้ตระกูลเซวใช้ไว้แคะขี้ฟันเลย”
“ใช่เลย ในครั้งนี้ คนที่ตระกูลเซวพามามีพลังฝีมือกล้าแข็งมาก ขนาดคนที่ว่าแข็งแกร่งที่สุดของตระกูลกวน เจอเข้ากับบอดี้การ์ดของตระกูลเซวแค่คนเดียว ยังโดนถล่มอย่างไม่เป็นท่า”
กวนเจิ้งซานก็พูดอีก “ให้พวกเราร่วมมือกัน ผู้แข็งแกร่งให้มากยังไง ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งบ้านตระกูลเซว มันก็แค่เศษขยะ คิดจะทำศึก มันดูไม่มีทางเป็นไปได้!”
“ในเมื่อพวกท่านต่างก็พูดกันแบบนี้ แล้วยังจะมีอะไรต้องคุยอีก?”
หานเซี่ยวเทียนหัวเราะเสียงเหยียด ๆ “พวกท่านก็ยอมสวามิภักดิ์ไปตรง ๆ เลยก็หมดเรื่อง ต้องไปทำอะไรให้มากเรื่อง?”
“หานเซี่ยวเทียน คุณจะเอายังไงแน่ ?”
เหลี่ยงเหวินคางพูดอย่างฉุนเฉียว
“หรือข้าพูดผิด?พวกคุณก็พูดกันแล้วนี่ จะเปิดศึกกับตระกูลเซว ไม่มีทางเป็นไปได้ ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ แล้วพวกเราจะเสียเวลาไปทำไม?”
หานเซี่ยวเทียนพูดเสียงเยือก ๆ “ในเมื่อพวกคุณต่างก็เชื่ออยู่ว่า การเปิดศึกกับตระกูลเซวนั้นมองไม่เห็นทางชนะเอาเลย ถ้างั้นข้าขอถามหน่อย ก็ในเมื่อแม้แต่ตัวเองยังไม่เชื่อใจในตัวเองเลย ถ้าได้ลงไปเจรจาต่อรองกับตระกูลเซว พวกเขาจะยอมถอยให้หรือ?”
“ในเมื่อไม่มีทางที่จะถอยให้ ถ้างั้นในส่วนของตระกูลเซวแล้ว ก็มีแต่ให้พวกคุณยอมสวามิภักดิ์”
“ก็แล้วที่พวกคุณมาบอกข้าว่า มีแต่เปิดศึกกับยอมสวามิภักดิ์เป็นสองทางเลือก พวกคุณในเมื่อไม่เลือกที่จะเปิดศึก แล้วจะมีอะไรให้เลือกอีก?”
คำพูดของหานเซี่ยวเทียนแม้จะไม่น่าฟัง แต่มันเป็นความเป็นจริงทุกคำ
ถ้าหากไม่กล้าเปิดศึก นั่นก็มีแต่ยอมสวามิภักดิ์เป็นผลสรุป
ที่นั่งกันอยู่ล้วนเป็นผู้นำของแต่ละตระกูลมหาเศรษฐี พวกเขาไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าต้องเข้าใจในสิ่งที่หานเซี่ยวเทียนแยกแยะ ต่างก็นิ่งเงียบกันไปในเวลานั้น
กวนเจิ้งซานเป็นผู้ที่ให้รู้สึกอึดอัดที่สุด หากจะวิเคราะห์เจาะลึก ตระกูลกวนได้สวามิภักดิ์ต่อหยางเฉินนานแล้ว พวกเขาไม่มีอำนาจสิทธิ์ในการชี้ขาดเรื่องของตระกูลกวนเลย
มีแต่หยางเฉิน ถ้าบอกให้เปิดศึกก็เปิดศึก ถ้าบอกให้สวามิภักดิ์ก็สวามิภักดิ์
เพียงแต่ว่า จะให้เขายอมรับ เขาก็ยังทำใจไม่ได้
ส่วนหยางเฉินไม่ได้เข้าร่วมการเจรจากับบรรดาตระกูลมหาเศรษฐีเหล่านั้น ได้แต่นิ่งฟังอย่างสงบ เหมือนนั่งในวงสนทนาที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเขา
โดยข้อเท็จจริงก็เป็นอย่างนั้น กับอิทธิพลของหยางเฉินในเยี่ยนตูขณะนี้ ไม่ว่าจะตระกูลกวนก็ดี หรือตระกูลซูกับตระกูลหาน ล้วนไม่คู่ควรจะคุยเทียบได้
ถึงขณะนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นการทดสอบที่เข้มงวดแล้ว
ทันทีนั้นกวนเสว่ซงได้เข้าไปพูดที่ข้างหูกวนเจิ้งซาน ใช้เสียงกระซิบที่ได้ยินกันแค่สองคน “คุณปู่ครับ ผมคิดว่า พวกเราควรจะต้องเชื่อคุณหยางนะ!”
แม้แค่เพียงประโยคสั้น ๆ แต่ก็ทำให้กวนเจิ้งซานเหมือนตื่นจากฝัน
คิดหวนไปถึงก่อนหน้านี้ในงานฉลองแซยิดของเขา จู่ ๆ มีชายฉกรรจ์หุ่นล่ำใหญ่ปรากฏมาในงานหลายคน จับเอาตัวคนในเครือญาติตระกูลกวนไป และในหลังจากนั้น ตระกูลกวนเลือกยอมสวามิภักดิ์กับหยางเฉิน หยางเฉินออกปากไปประโยคเดียว ก็ได้ช่วยเอาคนตระกูลกวนออกมาได้ทั้งหมด
และตระกูลกวน ก็ได้ฟื้นรอยความรุ่งเรืองที่เคยมีมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับหยางเฉิน ตระกูลกวนก็ยิ่งเจริญรุดหน้าขึ้นอย่างดีวันดีคืน
จากเดิมตระกูลกวนที่เป็นเพียงหนึ่งในสี่ตระกูลแห่งเจียงโจว มาเวลานี้ก้าวขึ้นมาเป็นถึงมหาเศรษฐีระดับยอดอันดับที่สองของทั่วทั้งมณฑลเจียงผิงแล้ว
ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะหยางเฉิน
เท่าที่มีอยู่ในความทรงจำ ตลอดระยะเวลามายังไม่เคยเห็นหยางเฉินมีการพ่ายแพ้
เมื่อสักครู่ก่อนนี้ หยางเฉินได้บอกไว้ เพียงให้มีเขาอยู่ ตระกูลเซวมีแต่จะต้องแห้วกลับไป
จากที่เขารู้จักในตัวของหยางเฉิง ลองถ้าได้พูดไป นั่นหมายถึงว่าจะทำได้แน่
หรือจะเป็นว่า หยางเฉินแกร่งกล้าถึงระดับนั้นแล้ว ให้แม้แต่ตระกูลหลวงยังไม่มีให้ต้องกลัว?
“คุณปู่ครับ อย่าให้คุณหยางท่านผิดหวังอีกเลย!”
กวนเสว่ซงใช้เสียงเบา ๆ สำทับไปอีก
มาครั้งนี้ กวนเจิ้งซานสงบใจลงได้ในที่สุด เมื่อครู่ที่ผ่านมาเขาถูกกวนใจจากการถกเถียงทะเลาะกัน จึงมองข้ามหยางเฉินไป
“ผู้นำกวน เป้าหมายแรกที่ตระกูลเซวจะเล่นงานก็คือตระกูลกวน คงต้องขอให้ท่านเป็นผู้จัดการตัดสินใจ ว่าจะเห็นสมควรยังไงในการรับมือกับตระกูลเซว!”
จินจื้อหมิงจู่ ๆ ก็เอ่ยปากพูด
ได้ยินกันดังนั้น สายตาทุกคู่ของผู้ที่อยู่ในที่นั้นต่างมองไปที่กวนเจิ้งซาน
กวนเสว่ซงก็มองไปที่กวนเจิ้งซานด้วยใบหน้าที่เต็มด้วยความมั่นใจ กวนเจิ้งซานตัดสินใจในที่สุด พลันหันไปมองหยางเฉินที่นั่งก้มหน้ามาตลอดอยู่ข้าง ๆ ที่ดูกำลังมีอาการง่วง
“คุณหยางครับ ท่านเป็นผู้มีฐานะศักดิ์สูงสุดของตระกูลกวน ตระกูลกวนควรจะรับมือกับตระกูลเซวยังไง การตัดสินใจนี้ คงต้องขอให้ท่านเป็นผู้สั่งการนะครับ!”
ทันทีนั้นกวนเจิ้งซานได้ลุกยืนขึ้น ค้อมตัวลงเล็กน้อย พูดด้วยความนอบน้อมอย่างจริงใจ
“คุณหยางครับ ขอท่านได้โปรดชี้แนะทางสว่างให้ตระกูลกวนด้วยครับ”
กวนเสว่ซงก็รีบลุกยืนขึ้น ค้อมตัวด้วยเช่นกัน และพูดด้วยความนอบน้อมจากใจจริง
“ขอเรียนให้คุณหยาง ช่วยแนะทางสว่างให้ตระกูลกวนด้วย!”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บรรดาคนในตระกูลกวน ต่างลุกขึ้นยืน ค้อมตัวหันไปทางหยางเฉิน พูดขึ้นพร้อมกันด้วยความเคารพนบนอบ
นาทีนั้น ภายในห้องโถงรับแขกเงียบกริบ
บรรดาผู้ที่อยู่นอกตระกูล ต่างมีสีหน้าตื่นตะลึง โดยเฉพาะคนตระกูลจินและคนตระกูลเหลียงที่เพิ่งเห็นหยางเฉินเป็นครั้งแรก ยิ่งเป็นที่ตื่นตะลึงอย่างสุด ๆ
ตระกูลกวนเป็นถึงตระกูลมหาเศรษฐีอันดับสองของมณฑลเจียงผิง ตอนนี้ยกตระกูลรวมถึงผู้ที่มีอำนาจในตระกูลทั้งหมด ต่างน้อมตัวทำความเคารพ ขอให้คุณหยางท่านนี้มาตัดสินใจให้ตระกูลกวน
เจ้าหนุ่มคนนี้ เป็นเซียนเทพมาจากไหนกัน?