The king of War - บทที่ 687 มีความสามารถแค่ไหน
“ซูเฉิงอู่ คุณนี่มันหน้าด้านจริงๆ เมื่อกี้อยากไปเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลเซว เขาไม่รับ คุณก็ไปขอให้คุณหยางรับสุนัขอย่างคุณงั้นเหรอ?”
กวนเจิ้งซานกล่าวอย่างโกรธเคือง
หานเซี่ยวเทียนก็แสดงเจตนาฆ่าในดวงตาของเขาด้วย และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ซูเฉิงอู่ พวกเราสามารถทนได้ที่คุณไปเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลเซว แต่เราทนดูไม่ได้ที่คุณเห็นคุณหยางเป็นตัวสำรอง!”
”ตัวสำรอง”สามคำนี้ใช้ได้ถูกต้องมาก เพราะความคิดเดิมของซูเฉิงอู่เป็นแบบนี้ เป้าหมายของเขา การยอมจำนนต่อตระกูลเซวเป็นตัวเลือกแรก
ส่วนหยางเฉินเป็นเพียงตัวเลือกที่สอง นั่นคือตัวสำรอง
ซูเฉิงอู่เริ่มร้อนใจและพูดอย่างรวดเร็วว่า “คุณหยาง ผมไม่ได้เห็นคุณเป็นตัวสำรอง แม้ว่าตระกูลเซวจะเต็มใจที่จะยอมรับตระกูลซูจริงๆ ผมก็ไม่มีวันเป็นศัตรูกับคุณหยางแน่นอน!”
“คุณหยาง ท่านอย่าไปเชื่อนกสองหัวคนนี้นะ ถ้าเขาแคร์ท่านจริงๆ เขาจะยอมจำนนต่อตระกูลเซวต่อหน้าท่านได้อย่างไร?”
กวนเจิ้งซานกล่าวอย่างรวดเร็ว
หานเซี่ยวเทียนก็เอ่ยปากกล่าวอีกว่า “คุณหยาง คนประเภทนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะติดตามท่านเลย!”
เมื่อเห็นกวนเจิ้งซานและหานเซี่ยวเทียนเรียกหยางเฉินแต่ละคำว่า “ท่าน” ท่าทีของพวกเขาดูเคารพนับถืออย่างยิ่ง ซึ่งทำให้เซวข่ายไม่พอใจมาก
เขาไม่เข้าใจจริงๆว่า ทำไมสองตระกูลใหญ่นี้ที่ไม่ยอมจำนนต่อตระกูลเซว ถึงให้เกียรติชายหนุ่มคนนี้เช่นนี้?
หรือว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นสมาชิกของราชวงศ์?
เพียงแต่ว่า พวกเขาเรียกชายหนุ่มคนนี้ว่าคุณหยาง ในบรรดาราชวงศ์ทั้งสี่และตระกูลเดอะคิงทั้งห้า ไม่มีนามสกุลหยาง
เนื่องจากเป็นที่แน่นอนว่าหยางเฉินไม่ใช่สมาชิกของราชวงศ์และตระกูลเดอะคิง เหตุใดกวนเจิ้งซานและหานเซี่ยวเทียนจึงภักดีเช่นนี้?
หรือว่า สองตระกูลใหญ่นี้ยอมจำนนต่อหยางเฉินมานานแล้ว?
เพราะว่า กวนเจิ้งซานและหานเซี่ยวเทียนต่างก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก นอกจากความเป็นไปได้นี้ เซวข่ายไม่สามารถคิดความเป็นไปได้อื่นๆได้อีก
จินจื้อหมิงและเหลี่ยงเหวินคางก็ประหลาดใจเช่นกัน ก่อนที่เซวข่ายจะมาถึง ตระกูลตระกูลกวนและตระกูลหานได้แสดงความเคารพต่อหยางเฉินอย่างมาก
ในตอนนี้ ต่อหน้าเซวข่าย ตระกูลกวนและตระกูลหานก็ยังคงเคารพหยางเฉินมาก
หรือว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ?
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ งั้นมันคงจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของพวกเขาที่เคยดูถูกเหยียดหยามหยางเฉินครั้งก่อนล่ะสิ?
แต่ตอนนี้ มาเสียใจทีหลังก็สายเกินไปแล้ว
“คุณหยาง ผมผิดไปแล้ว เห็นแก่หน้าซูซาน โปรดให้โอกาสตระกูลซูอีกครั้งเถอะ!”
ซูเฉิงอู่ขอร้องอ้อนวอน
หยางเฉินกลับเฉยเมยและพูดจางๆว่า “จากนี้ไป ระหว่างผมกับตระกูลซูจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก ถ้าให้ผมรู้ว่า คุณกล้าใช้ชื่อของผมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตระกูลซู ตระกูลซูจะต้องตาย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเฉิงอู่ก็รู้สึกตกใจมาก เขาสัมผัสได้ถึงความเอาจริงในคำพูดของหยางเฉิน
ตระกูลซูสามารถกลายเป็นเศรษฐีอันดับสามในเมืองเจียงผิงได้ในวันนี้ เพราะพึ่งชื่อเสียงของหยางเฉิน ที่ตระกูลอวี๋เหวินสามารถทำให้ตระกูลซูกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองเจียงโจว ซึ่งเกินขีดจำกัดที่จะทำได้แล้ว
แต่หยางเฉิน สามารถทำให้ตระกูลซูร่ำรวยเป็นอันดับสามในมณฑลเจียงผิง
หากไม่ได้รับการคุ้มครองจากหยางเฉิน ตำแหน่งของตระกูลซูในเจียงผิงก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
“คุณหยาง ได้โปรด…”
ซูเฉิงอู่ยังคงต้องการขอร้องต่อไป เพื่อแสวงหาผลประโยชน์สุดท้ายให้ตระกูลซู แต่หยางเฉินก็หรี่ตาลงและพูดอย่างเย็นชาว่า มันจะ”ได้คืบจะเอาศอก มันจะทำให้ตระกูลซูล้มเร็วขึ้นเท่านั้น!”
ประโยคธรรมดาธรรมดา ทำให้หลังของซูเฉิงอู่เย็นวาบ คำพูดที่เขากำลังจะขอร้อง เขาก็กลั้นไว้ทันที
“ขอบคุณคุณหยาง ขอบคุณคุณหยาง!”
ซูเฉิงอู่ขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว และสัญญาว่า”ต่อจากนี้ ตระกูลซูจะไม่ทำสิ่งใดในนามของคุณหยางอีก!”
หยางเฉินทำเช่นนี้เ พราะเห็นแก่หน้าของตระกูลอวี๋เหวิน ไม่เช่นนั้นจากท่าทีเมื่อกี้ของซูเฉิงอู่ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลซูหายไปในเมืองเจียงผิง
สำหรับเกียรติของซูซาน มันไม่ใหญ่พอที่จะทำให้หยางเฉินอภัยให้ตระกูลซู
“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายท่านนี้เป็นใคร?”
เซวข่ายมองไปที่หยางเฉินด้วยรอยยิ้มและถาม
หยางเฉินมองมาที่เขาและพูดจางๆว่า “คุณไม่จำเป็นต้องถามอ้อมๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีตอนนี้ ผมพึ่งตนเองได้มาทั้งนั้น ถ้าคุณต้องการถามเกี่ยวกับภูมิหลังของผม ผมก็จะบอกคุณว่าผมเป็นลูกที่ถูกทอดทิ้งของตระกูลอวี๋เหวินที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู!”
“โอ้?”
เซวข่ายรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขามองไปที่หยางเฉิน ดวงตาของเขาไม่มีความมุ่งร้าย แต่เต็มไปด้วยความสนใจ
เหมือนได้เห็นหยกไร้เทียมทาน
แม้ว่าจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหยางเฉิน แต่ก็สัมผัสได้ถึงความมั่นใจในตนเองอันทรงพลังของหยางเฉิน
ลูกที่ถูกทอดทิ้งของแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู แต่สามารถทำให้กวนเจิ้งซานและหานเซี่ยวเทียนผู้เฒ่าสองคนนี้ภักดีต่อเขาเช่นนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“ไม่ทราบว่าพี่หยางสนใจทำงานให้กับตระกูลเซวของผมหรือเปล่า?”
เซวข่ายยื่นข้อเสนอให้กับหยางเฉินทันที หลังจากถามเสร็จ เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมันไม่ชัดเจนพอ แล้วเสริมว่า “เป็นการเข้ามาในตระกูลเซว ในฐานะพี่น้องร่วมสาบานกับผม”
“ถ้าได้พี่หยางช่วย บางทีในอนาคต ผมอาจจะมีคุณสมบัติที่จะไปต่อสู้เพื่อแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูล”
“ผมสัญญากับพี่หยางได้เลย ถ้าวันหนึ่งผมกลายเป็นราชาของตระกูลเซว คุณจะเป็นอันแม่ทัพดับหนึ่งในตระกูลเซว! คุณจะเป็นอันดับสองรองจากผมในตระกูลเซวเท่านั้น!”
เมื่อประโยคนี้พูดออกไป ทุกคนต่างตกใจ แม้แต่หยางเฉินเองก็แปลกใจมาก
คิดไม่ถึงว่า เซวข่ายคนนี้ ถึงอายุน้อยแต่ก็ยังมีความกล้าหาญเด็ดขาดเช่นนี้
เขารู้สึกได้ว่า เซวข่ายไม่ได้หลอกเขา แต่เต็มใจรับปากเขา ให้เขาดำรงในตำแหน่งแม่ทัพของตระกูลเซวในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เซวข่ายจะรู้ได้อย่างไรว่า หยางเฉินเป็นผู้รักษาดินแดนเหนือแล้ว และสถานะของเขาก็เทียบเท่ากับผู้นำของราชวงศ์ และสถานะแม่ทัพอันดับหนึ่งของตระกูลเดอะคิงยังไม่น่าดึงดูดใจจริงๆ
ภายใต้ความประหลาดใจของทุกคน หยางเฉินส่ายหัวและพูดจางๆ “แม่ทัพอันดับหนึ่งของตระกูลเซว ผมไม่อยากได้!”
“พี่หยางไม่ลองพิจารณาดูเหรอ?” เซวข่ายไม่รู้สึกแปลกใจเลยและถามด้วยรอยยิ้ม
สำหรับเขา ยิ่งคนที่มีความสามารถมาก ยิ่งคนที่ภักดีมาก ยิ่งเป็นคนที่เขาไม่ได้ เขาก็จะยิ่งรู้สึกท้าทายและรู้สึกน่าสนใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
เหมือนเมื่อก่อนที่จินจื้อหมิงและเหลี่ยงเหวินคาง คุกเข่าลงอ้อนวอนขอเป็นสุนัขของเขา แต่เขาปฏิเสธ
ซูเฉิงอู่ต้องการจะนนต่อตระกูลเซว แต่ถูกปฏิเสธ
ในทางตรงกันข้าม กวนเจิ้งซานและหานเซี่ยวเทียนผู้ซึ่งไม่ยอมจำนน ทำให้เขาสนใจมาก และยังสามารถให้เวลาอีกวันหนึ่งเพื่อให้พวกเขาได้พิจารณา
แม้แต่ชายหนุ่มที่กวนเจิ้งซานและหานเซี่ยวเทียนเคารพอย่างมาก ก็จะมีค่ามากกว่าสองคนนี้เท่านั้น
สิ่งสำคัญคือ หยางเฉินยังอายุน้อย และเขายังเป็นลูกชายที่ถูกทอดทิ้งโดยแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู ซึ่งมีอำนาจด้อยกว่าตระกูลเซว
หยางเฉินไม่ลังเล และกล่าวว่า “เรื่องของหนันหยังและตงหลันผมไม่สนใจ แต่ในเจียงผิง ห้ามมีตระกูลหรือกองกำลังอื่นๆปรากฏ”
แม้ว่าเขาจะไม่ตอบอย่างชัดเจนต่อคำพูดของเซวข่าย แต่ก็ได้ตอบอย่างอ้อมๆและแสดงจุดยืนของเขา
ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลกวนและตระกูลหาน หยางเฉินจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความต้องการเป็นใหญ่ของตระกูลเซวในสามจังหวัด
ไม่ว่ายังไง ตระกูลกวนและตระกูลหาน ต่างก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา
“แล้วถ้าผมยืนกรานที่จะควบคุมเจียงผิงล่ะ?”
เซวข่ายหรี่ตาและถาม แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์
หยางเฉินไม่กลัวเลย พูดไปตรงๆว่า”ก็ต้องดูว่าคุณเก่งแค่ไหนเชียว!”