The king of War - บทที่ 700 เบาะแสของเซวหมิง
เมื่อเซวข่ายเห็นเซวหยวนป้ากำลังครุ่นคิด ก็รีบพูดโน้มน้าว
“ต่อให้จะส่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่านี้มา ก็ต้องรายงานให้ปู่ของแกทราบก่อน ให้เขาเห็นด้วยแล้วค่อยว่ากัน!” ในที่สุดเซวหยวนป้าก็ตัดสินใจ
เซวข่ายดีใจทันที รีบพูดว่า “ครับ งั้นก็รายงานคุณปู่ก่อน!”
ส่วนเซวหยวนป้าก็ไม่รอช้า โทรหาเจ้าตระกูลเซวระหว่างทางไปโรงแรม
“พ่อครับ อะหมิงหายตัวไปสองวันแล้ว มีแนวโน้มว่าจะถูกสังหารแล้วครับ!” เซวหยวนป้ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เจ้าตระกูลเซวถามขึ้น
เซวหยวนป้าจึงได้รายงานเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ให้เจ้าตระกูลเซวฟัง
“อาจหาญนัก แม้แต่หลานชายของเจ้าตระกูลเซว ก็กล้าสังหารงั้นหรือ?”
หลังจากฟังเซวหยวนป้ารายงานจนจบ เจ้าตระกูลเซวก็ประกาศกร้าว “ตอนนี้ฉันส่งลั่วเฉินไปที่เจียงโจวแล้ว ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา แกก็ต้องตามหาอะหมิงให้เจอ”
“ครับ พ่อ!”
เซวหยวนป้าดีใจ รีบตอบรับทันที
ลั่วเฉินเป็นยอดฝีมืออันดับสามของตระกูลเซว ส่วนเหมิงตันที่ถูกหยางเฉินหักมือ อยู่เพียงอันดับห้า
แม้ว่าอันดับห้ากับอันดับสามอยู่ห่างกันไม่มาก แต่ความแข็งแกร่งของทั้งสองนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ด้วยความสามารถของลั่วเฉิน อย่าว่าแต่หักข้อมือของเหมิงตันได้ในพริบตาเดียวเลย จะให้ฆ่าเหมิงตันภายในเสี้ยววินาทีก็ทำได้
เซวหยวนป้ารู้ว่าหยางเฉินแข็งแกร่งมาก แต่เขาไม่เชื่อว่า หยางเฉินจะแข็งแกร่งจนแม้แต่ลั่วเฉินก็ไม่อาจต่อกรได้
“ชายหนุ่มที่แกพูดถึง แม้แต่เหมิงตันยังเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นองครักษ์ของจอมพลดินแดนใดดินแดนหนึ่ง”
เจ้าตระกูลเซวยังไม่อาจวางใจ เขาเตือนว่า “คนแบบนี้ แกกำจัดทิ้งเสียดีกว่า ไม่ให้ใครตามหาเบาะแสได้พบ ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าไปปะทะกับอีกฝ่าย”
“พ่อครับ ผมเข้าใจความหมายของพ่อดี พ่อไม่ต้องกังวล ผมจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับเขา” เซวหยวนป้ากล่าว
“ดี ตอนนี้ฉันจะส่งลั่วเฉินไปที่เจียงโจว ถ้ามีเหตุการณ์ใดๆ ให้รายงานฉันทันที!” เจ้าตระกูลเซวพูดจบก็วางสายไป
“พ่อครับ หยางเฉินอาจจะเป็นองครักษ์ของจอมพลจริงเหรอ?”
เมื่อเห็นเซวหยวนป้าวางสาย เซวข่ายก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
เซวหยวนป้ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันก็ไม่ค่อยรู้สถานการณ์จริงของสี่ดินแดนมากนัก แต่ที่แน่ใจก็คือ ความแข็งแกร่งของแต่ละดินแดนล้วนเทียบเท่าราชวงศ์”
“หยางเฉินสามารถเอาชนะเหมิงตันได้อย่างง่ายดาย ฉันคิดว่าความสามารถของเขา น่าจะจัดอยู่ในอันดับสี่ของตระกูลเซว”
“ถ้าอยู่ในราชวงศ์ อาจจะถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรกได้”
“นั่นก็หมายความว่า ไม่ว่าหยางเฉินจะเคยปลดประจำการมาจากดินแดนใดก็ตาม เขาจะอยู่ในสิบอันดับแรกของดินแดนนั้น คนประเภทนี้ ต้องเป็นองครักษ์คนสนิทที่ได้รับการฝึกฝนจากจอมพล”
“ต่อให้เป็นองครักษ์คนสนิทของจอมพลที่อ่อนแอที่สุดในชายแดนตะวันตก ถ้าพวกเราฆ่าหยางเฉินตาย ทันทีที่จอมพลชายแดนตะวันตกทราบเรื่อง ผลที่ตามมาจะเป็นสิ่งที่ตระกูลเซวไม่อาจรับไหว”
หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เซวหยวนป้ากล่าว ในที่สุดเซวข่ายก็เข้าใจว่า เหตุใดคนที่เผด็จการอย่างเซวหยวนป้า ถึงต้องการล่าถอยเมื่ออยู่ต่อหน้าหยางเฉิน
เมื่อจอมพลโกรธ เลือดจะไหลนองนับพันลี้!
ความสามารถของจอมพลทุกคน ว่ากันว่ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ แข็งแกร่งไร้เทียมทาน
คนประเภทนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลเซวจะกล้าล่วงเกินหรือ?
“พ่อครับ ผมเข้าใจแล้ว พ่อไม่ต้องเป็นห่วง ขอเพียงการหายตัวไปของอะหมิงไม่เกี่ยวกับหยางเฉิน ถ้าผมได้พบเขาอีกครั้ง ต่อให้ต้องคุกเข่าขออภัย ก็จะไม่มีทางล่วงเกินเขาเด็ดขาด”
เซวข่ายกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เซวหยวนป้าหัวเราะ “ไม่ต้องถึงขนาดคุกเข่าขออภัยหรอก ขอแค่หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับเขาก็พอ”
ในอีกด้านหนึ่ง หยางเฉินก็ออกจากโรงแรมหลงเหอแล้ว ตามด้วยหานเซี่ยวเทียนและกวนเจิ้งซาน
“การตายของเซวหมิง พวกคุณจัดการสะอาดเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” หยางเฉินถามขึ้นมาอีกครั้ง
กวนเจิ้งซานเป็นคนจัดการ เขารีบบอกว่า “คุณหยางไม่ต้องเป็นห่วง แม้แต่กระดูกของเซวหมิง ก็หายสาบสูญไปแล้ว”
“ผมหมายถึงเบาะแสของเซวหมิงไม่ถูกเปิดเผยใช่ไหม?” หยางเฉินถามอีกครั้ง
กวนเจิ้งซานค่อนข้างมีความลังเล ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “น่าจะไม่ถูกเปิดเผยครับ นอกจากสถานที่ที่มีคนผ่านมาเห็นเซวหมิงปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้าย นั่นคือที่เหม่ยเฮ่า”
หยางเฉินพยักหน้า “ถ้าถูกเปิดเผยแบบนั้นจริง ก็ต้องโทษความโชคร้ายของพวกเราแล้วล่ะ”
ถึงอย่างไรเซวหมิงก็เป็นคนกว้างขวาง เคยพบเจอผู้คนมามากมาย ย่อมไม่มีทางหลีกเลี่ยง ไม่อาจซ่อนเบาะแสของเขาไว้ได้ทั้งหมด
เซวหยวนป้าและเซวข่ายเพิ่งกลับมาถึงโรงแรม เซวข่ายก็ได้รับโทรศัพท์ “คุณชายข่าย พวกเราสืบพบสถานที่สุดท้ายที่คุณชายหมิงปรากฏตัวแล้ว นั่นคือที่เหม่ยเฮ่า แต่น่าแปลกที่กล้องวงจรปิดที่เหม่ยเฮ่าของวันนั้นไม่สามารถใช้การได้ ไม่มีร่องรอยใดๆ ของคุณชายหมิงเลย!”
“ได้เบาะแสของอะหมิงแล้วเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เซวข่ายก็ดีใจมาก รีบถามขึ้น
อีกฝ่ายบอกว่า “ผมมั่นใจว่าเป็นคุณชายหมิง! โดยทั่วไปที่KTVเหม่ยเฮ่า ช่วงกลางวันจะมีลูกค้าไม่มาก มีลูกค้าไปที่เหม่ยเฮ่าในช่วงเช้าของวันนั้นพอดี และบังเอิญเป็นสาวสวยสองคนที่คุณชายหมิงถูกใจ แถมยังพาไปที่ห้องส่วนตัวด้วย”
“ประเด็นคือผู้หญิงสองคนนั้นสวยมาก พยานที่เห็นเหตุการณ์จึงมองอยู่นาน”
“ประเด็นคือ เมื่อเช้าวานนี้ ระบบกล้องวงจรปิดของเหม่ยเฮ่าใช้การไม่ได้ ทุกอย่างนี้มันบังเอิญเกินไป เห็นได้ชัดว่ามีใครมายุ่งกับมัน”
สีหน้าของเซวข่ายมืดมนจนถึงขีดสุด หลังจากฟังอีกฝ่ายพูดจบ เขาก็กัดฟันพูดว่า “ในเมื่ออะหมิงบังคับพาผู้หญิงสองคนนี้ไปที่เหม่ยเฮ่า ถ้าอย่างนั้นผู้หญิงสองคนนี้ก็ต้องรู้เบาะแสของอะหมิง”
“ในเมื่อเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ก็น่าจะเป็นที่รู้จักในเจียงโจว คุณไปหารูปภาพสาวสวยหนึ่งร้อยอันดับแรกในเจียงโจวมา แล้วให้พยานชี้ว่าใครคือผู้หญิงสองคนที่อะหมิงพาไปด้วย”
อีกฝ่ายรีบตอบรับ “ครับ คุณชายข่าย ผมจะรีบทำตามที่คุณสั่งเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสาย เซวข่ายก็กล่าวอย่างตื่นเต้น “พ่อครับ ในที่สุดก็มีเบาะแสของอะหมิงแล้ว ผมเชื่ออีกไม่นานก็จะตามหาอะหมิงพบ”
แต่เซวหยวนป้ากลับไม่ได้มองในแง่ดีเหมือนเซวข่าย ตรงกันข้ามกลับยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น “ก็หวังว่า จะหาอะหมิงพบแล้วกัน!”
สำหรับพวกเขาแล้ว หากยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเซวหมิงยังมีชีวิตอยู่ ข่าวใดๆ ที่เกี่ยวกับเซวหมิงล้วนเป็นข่าวร้าย มีแต่จะทำให้พวกเขาเป็นกังวลมากขึ้น
หยางเฉินนั้นไม่รู้ว่า เซวข่ายหาตัวพยานพบแล้ว ในเวลานี้เขาได้กลับมาถึงยอดเมฆา
“พ่อครับ!”
เมื่อเห็นหยางเฉินกลับมาแล้ว เสี้ยวเสี้ยวก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของหยางเฉินดั่งนกน้อยที่มีความสุข
หยางเฉินถือโอกาสอุ้มลูกสาวขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างเอ็นดู “คิดถึงคุณพ่อเหรอ?”
เสี้ยวเสี้ยวพยักหน้า “คิดถึงพ่อค่ะ!”
พูดจบเสี้ยวเสี้ยวก็บุ้ยปาก แล้วพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “แต่คุณพ่อไม่ค่อยว่าง ไม่ได้เล่นกับเสี้ยวเสี้ยวนานแล้ว”
หยางเฉินรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที ก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่เมืองเยี่ยนตูมาตลอด ตอนนี้เพิ่งกลับมาถึงเจียงโจว ไม่ค่อยมีเวลาว่างเล่นกับเสี้ยวเสี้ยวจริงๆ
“อีกไม่กี่วัน พ่อจะพาหนูไปที่บ้านใหม่ของเรา ถึงตอนนั้นก็จะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่มากขึ้น ดีไหม?”
หยางเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม