The king of War - บทที่ 702 ความหวาดกลัวของท่านลั่ว
เพราะพวกเขารู้ดีว่า ในดินแดนเหนือใต้ออกตก สภาพแวดล้อมของชายแดนเหนือทุรกันดารที่สุด แต่กำลังรบโดยรวมนั้นแข็งแกร่งที่สุด
ประเด็นสำคัญที่สุดคือ จอมพลชายแดนเหนือ ว่ากันว่าแข็งแกร่งไม่กลัวฟ้าดิน เป็นผู้นำของสี่ดินแดน แม้แต่บรรดาตระกูลเก่าแก่ของจิ่วโจว ยังยากจะมาเป็นคู่ต่อกร
“ถ้าสามารถฆ่าเหมิงตันได้ภายในเสี้ยววินาที ความสามารถก็ไม่น่าจะด้อยกว่าผมสักเท่าไร แต่เขามีอายุเพียง 27 ปี คนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ในทางวรยุทธเช่นนี้ ต้องมาจากชายแดนเหนือเท่านั้น”
ลั่วเฉินพูดด้วยสีหน้าหนักใจ “ถ้าท่านต้องการให้ผมไปทดสอบฝีมือเขา และหาโอกาสฆ่าเขา มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
“ว่ากันว่า ชายแดนเหนือเป็นดินแดนที่ปกป้องพรรคพวกตัวเองมากที่สุด ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าหยางเฉินเป็นยอดฝีมือจากชายแดนเหนือ แม้ว่าเขาได้ปลดประจำการแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นทหารของจอมพลชายแดนเหนืออยู่”
“ถ้าพวกท่านแน่ใจว่าจะตามราวีเขาไม่เลิกรา ก็จำเป็นต้องเอาให้ถึงตาย มิฉะนั้นหากปล่อยให้มีชีวิตอยู่ เรื่องจะต้องไปถึงหูจอมพลชายแดนเหนือแน่นอน และเวลานั้น มันจะเป็นวันสุดท้ายของตระกูลเซว”
เดิมทียังอยากให้ลั่วเฉินไปทดสอบฝีมือ แต่หลังจากได้ฟังการวิเคราะห์ของลั่วเฉิน ทั้งเซวหยวนป้าและเซวข่ายต่างรู้สึกเหมือนมีภยันตรายอย่างใหญ่หลวงกำลังแผ่ปกคลุมพวกเขาอยู่
“เช่นนั้นในความคิดของท่านลั่ว ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดี?”
ผ่านไปครู่ใหญ่ เซวหยวนป้าถึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงยำเกรง
ลั่วเฉินครุ่นคิดและกล่าวว่า “คนประเภทนี้ ตระกูลเซวอย่าไปยุ่งด้วยจะดีที่สุด!”
“แต่ว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าอะหมิงถูกเขาสังหารอย่างโหดเหี้ยมแล้ว!”
เซวหยวนป้ากล่าวด้วยดวงตาแดงก่ำ “ต้องการให้ผมละทิ้งโอกาสที่จะได้แก้แค้นให้อะหมิงงั้นหรือ?”
“ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย!”
ลั่วเฉินกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “สำหรับท่าน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เจ้าตระกูลเซวต้องการเลือกทายาท ถ้าตอนนี้ท่านสร้างปัญหาใหญ่ให้กับตระกูลเซว มันจะมีผลกระทบเชิงลบเป็นอย่างมากในการแย่งชิงตำแหน่งทายาทของท่าน”
ดวงตาของเซวหยวนป้าเบิกกว้างทันที ลั่วเฉินคือคนที่ข้างกายเจ้าตระกูลเซว เจ้าตระกูลเซวคิดจะทำอะไร ส่วนใหญ่แล้วเขาจะรู้ก่อนเจ้าชายทั้งสามของตระกูลเซว
เห็นได้ชัดว่า ลั่วเฉินก็มีไมตรีจิตต่อเซวหยวนป้าเช่นกัน มิฉะนั้นเขาคงไม่บอกข่าวสำคัญเช่นนี้กับเซวหยวนป้าหรอก
“ขอบคุณท่านลั่ว!”
เซวหยวนป้าประสานมือคารวะ โค้งศีรษะกล่าวขอบคุณ
ลั่วเฉินยิ้มเล็กน้อย “ผมไม่ได้พูดอะไรเลย!”
แน่นอนเซวหยวนป้าเข้าใจในความหมายของลั่วเฉิน เขารีบกล่าวว่า “ผมแค่รู้สึกขอบคุณ ท่านลั่วอุตส่าห์ดั้นด้นมาตั้งไกลถึงเจียงเป่ยเพื่อช่วยเหลือผม”
ลั่วเฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าจะประมือกับฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ แต่ถ้าให้ไปทดสอบฝีมือ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ได้ยินดังนั้นเซวหยวนป้าก็รีบบอกว่า “ท่านลั่ว ผมคิดว่าท่านพูดถูก ลูกผู้ชายสิบปีแก้แค้นยังไม่สาย เช่นนี้ผมก็จะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ไปอีกหลายปี ต้องมีวันหนึ่งที่ผมสามารถฆ่าเขาได้ด้วยมือตัวเอง”
ลั่วเฉินส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องกังวล ผมแค่ไปพบเขาเท่านั้น จะไม่ปะทะกับเขาจนเกินไป”
เซวหยวนป้าจึงไม่ห้ามปรามและพูดว่า “ดี เช่นนั้นก็รบกวนท่านลั่วด้วย!”
ตามความต้องการของลั่วเฉิน รถจอดลงที่ริมถนน เขาลงจากรถทันทีและไปหาหยางเฉิน
“พ่อครับ พ่อจะล้มเลิกการแก้แค้นให้อะหมิงจริงเหรอ?”
หลังจากลั่วเฉินจากไปแล้ว เซวข่ายจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักใจ
พลังอาฆาตระยิบระยับในแววตาของเซวหยวนป้า “ปู่ของแกกำลังจะเลือกทายาท ในเวลานี้ ไม่ควรนำปัญหาใดๆ มาให้ตระกูลเซว”
“แกไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากที่ฉันได้ขึ้นเป็นทายาทของเจ้าตระกูลเซว ก็จะมีอำนาจมากขึ้น ถึงตอนนั้นจะไม่มีทางปล่อยหยางเฉินไปแน่”
แม้ว่าเซวข่ายต้องการล้างแค้นให้เซวหมิงในตอนนี้ แต่ก็รู้ดีว่า มันคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของบิดา
เจ้าตระกูลเซวชื่นชอบเซวหยวนป้ามากที่สุดอยู่แล้ว ส่วนอีกสองเจ้าชายก็คอยจับผิดเซวหยวนป้าอยู่ ขอเพียงไม่มีอะไรผิดพลาด เซวหยวนป้าก็มีความหวังเป็นอย่างมากที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นทายาท
เยี่ยนเฉินกรุ๊ป ห้องทำงานประธานคณะกรรมการ
หยางเฉินกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานตามลำพัง มีเอกสารมากมายบนโต๊ะที่ต้องการลายเซ็นจากเขา
ถึงอย่างไรก็กำลังจะออกจากเจียงโจวแล้ว บริษัททางนี้ยังมีบางเรื่องให้เขาต้องจัดการ
ในขณะที่หยางเฉินกำลังอ่านเอกสารอย่างเร่งรีบอยู่นั้น จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วแน่น เขาวางปากกาเซ็นชื่อลง แล้วเดินไปที่หน้าต่างฝรั่งเศส
หยางเฉินที่มีสายตาเหนือคนธรรมดาทั่วไป มองเห็นชายชราในชุดสีเทาที่อยู่ชั้นล่างได้อย่างง่ายดาย
ชายชราในชุดสีเทาไม่ใช่ใครอื่น เขาคือลั่วเฉิน ยอดฝีมืออันดับสามของตระกูลเซว
ในขณะที่หยางเฉินมองมาที่เขา เขาดูเหมือนจะมีการโต้ตอบ พลันเงยหน้าขึ้นมองไปที่ชั้นบนสุด
เมื่อลั่วเฉินเห็นหยางเฉิน หัวใจก็เกิดอาการสั่นไหวอย่างรุนแรง ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา
ลั่วเฉินคือยอดฝีมืออันดับสามของตระกูลเซว ถือว่าเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดในจิ่วโจว
ทว่าในเวลานี้เขายังไม่พบหยางเฉิน แต่หยางเฉินกลับสังเกตเห็นเขาก่อน นั่นก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการรับรู้ของหยางเฉินน่ากลัวแค่ไหน
โดยทั่วไปแล้ว มีเพียงปรมาจารย์ที่ทรงพลังเท่านั้นที่จะมีการรับรู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องต่อจากนี้ที่ทำให้ลั่วเฉินตกตะลึงมากขึ้น
“คุณลุงมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”
เสียงอันเยือกเย็น ดังขึ้นข้างหลังลั่วเฉินอย่างกะทันหัน
ลั่วเฉินหันขวับกลับไปทันที และเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เขาคือหยางเฉินที่ยังอยู่บนชั้นบนสุดของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปเมื่อสิบวินาทีก่อน
ภายในเวลาสั้นๆ เพียงสิบวินาที หยางเฉินมาอยู่ตรงหน้าเขาจากชั้นบนสุด มันเป็นไปได้อย่างไร?
“ไม่เป็นอะไร แค่ผ่านมาเฉยๆ!”
แม้ว่าในใจลั่วเฉินจะรู้สึกหวาดผวา แต่ภายนอกก็ยังดูสงบนิ่ง เขามองหยางเฉินอย่างเพ่งพินิจ “พ่อหนุ่ม ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
หยางเฉินกล่าวอย่างเย็นชา “อายุมากแล้ว อยู่กับบ้านจะปลอดภัยกว่า ข้างนอกมันอันตราย หากไม่ทันระวังเป็นลมเป็นแล้งไป คนอื่นจะกลัวว่าคุณเป็นพวกต้มตุ๋น ไม่กล้าเข้ามาช่วย”
สองตาของลั่วเฉินหรี่ลง เขารู้สึกถึงภัยคุกคามในคำพูดของหยางเฉินโดยสัญชาตญาณ
เห็นได้ชัดว่าหยางเฉินรู้จักตัวตนของเขาแล้ว ซึ่งบอกเป็นนัยว่าการอยู่ในเจียงโจวนั้นอันตรายมาก
“พ่อหนุ่มพูดถูก ผมจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้!”
ลั่วเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม หันหลังกำลังจะเดินจากไป
หยางเฉินมองตามหลังลั่วเฉินที่เดินจากไป ประกายสุกใสกะพริบผ่านดวงตาของเขา
เมื่อความสามารถของบุคคลก้าวถึงระดับหนึ่ง มีพลังที่แข็งแกร่งอยู่รอบกาย มีเพียงผู้แย่งชิงที่แท้จริงเท่านั้น ที่จะสามารถรับรู้ได้
หยางเฉินรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งจากลั่วเฉิน จึงตัดสินได้ว่าเขาคือยอดฝีมือจากตระกูลเดอะคิง
หลายวันมานี้ก็มีเพียงตระกูลเซวเท่านั้นที่เคยขัดแย้งกับหยางเฉิน
นั่นก็หมายความว่า ชายชราคนนี้ คือยอดฝีมือที่ตระกูลเซวส่งมา
“หวังว่า ตระกูลเซวจะรู้จักล่าถอยนะ!”
หยางเฉินพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็หันหลังเดินขึ้นไปชั้นบน
ที่เขาต้องแสดงออกต่อหน้าลั่วเฉินเช่นนี้ ก็เพื่อข่มขู่ให้ตระกูลเซวหวาดกลัว ไม่ทำอะไรผลีผลามอีก
ลั่วเฉินออกมาจากเยี่ยนเฉินกรุ๊ปแล้ว ถึงรู้สึกว่าแผ่นหลังของตัวเองเปียกชุ่ม
“เจ้าชายสาม ครั้งนี้ท่านเจอของแข็งเข้าแล้ว”
ลั่วเฉินทอดถอนใจและพูดกับตัวเอง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ณ มุมหนึ่งในคฤหาสน์หรู
“ไม่รู้ว่าการพบกันระหว่างท่านลั่วและหยางเฉินเป็นยังไงบ้าง”
ภายในห้อง เซวหยวนป้าพูดอย่างร้อนใจ
“พ่อครับ พ่อมีความมั่นใจในความสามารถของหยางเฉินมากเกินไปหรือเปล่า?”
เซวข่ายไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น เขากล่าวอย่างไม่แยแส “ต่อให้เขาแข็งแกร่งแค่ไหน แต่จะแข็งแกร่งมากกว่าท่านลั่วได้ยังไง?”