The king of War - บทที่ 703 ช่วยอะไรอย่างหนึ่ง
เซวหยวนป้าส่ายหน้า “ฉันไม่ได้กังวลว่าท่านลั่วจะพ่ายแพ้ แต่กังวลว่าหากท่านลั่วปะทะกับหยางเฉิน ทำให้หยางเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส ดึงให้จอมพลชายแดนเหนือมาที่นี่ มันจะเป็นเรื่องใหญ่”
“พ่อครับ ทำไมพ่อมองโลกในแง่ร้ายจัง? ทำไมไม่ลองคิดว่า หากท่านลั่วฆ่าหยางเฉินได้ในพริบตาเดียวล่ะ?” เซวข่ายถามขึ้น
“ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่ๆ!”
ในขณะนี้เอง เสียงของลั่วเฉินก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นก็เห็นเขาเดินเข้ามาในคฤหาสน์หรู
“ท่านลั่ว!”
พอเซวหยวนป้าเห็นท่านลั่วก็โล่งใจได้ในที่สุด แต่สิ่งที่ท่านลั่วพูดเมื่อครู่กลับทำให้เขาตกใจอย่างที่สุด “ท่านลั่ว ท่านได้ประมือกับหยางเฉินแล้วเหรอ?”
ลั่วเฉินยิ้มเยาะกับตัวเองพลางส่ายหน้า
เซวหยวนป้าและเซวข่ายยิ่งแปลกใจมากขึ้น ยังไม่ได้ประมือก็รู้แล้วเหรอว่าท่านลั่วไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยางเฉิน?
“เจ้าชายสาม ต่อไปอย่าไปยุ่งกับหยางเฉินดีกว่า เขาไม่ได้อยู่โลกใบเดียวกันกับพวกเรา” ลั่วเฉินกล่าว
ครั้งนี้เซวข่ายและเซวหยวนป้าถึงกับงุนงงอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกัน? หมายความว่าอย่างไร?
ลั่วเฉินไม่มีคำอธิบายใดๆ เขาพูดต่อว่า “เจ้าชายสาม หากไม่มีธุระอะไรอื่น ผมขอตัวกลับตระกูลเซวก่อน”
เซวหยวนป้าเหมือนสะดุ้งตื่นจากฝัน เหตุผลที่ส่งลั่วเฉินมาที่นี่แต่แรกก็เพื่อจัดการกับหยางเฉิน แต่ตอนนี้ลั่วเฉินได้บอกว่า ตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยางเฉิน จะอยู่หรือไปมันก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว
“ไม่มีอะไรแล้ว ขอบคุณท่านลั่วมาก!”
แม้ว่าลั่วเฉินจะไม่สามารถจัดการหยางเฉินได้ แต่เซวหยวนป้าก็ยังมีท่าทีเคารพยำเกรงมาก
“เอาล่ะ งั้นผมกลับก่อนนะ!”
ว่าแล้วลั่วเฉินก็หันหลังเดินจากไป
ในห้อง เหลืองเพียงสองพ่อลูกเท่านั้น เซวหยวนป้ามีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างถึงขีดสุด นิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะลุกขึ้นพูดว่า “เราก็กลับบ้านกันเถอะ!”
เมื่อคืนวานหยางเฉินขอให้พวกเขาออกจากเจียงโจว ใครจะรู้ว่าหยางเฉินจะมาหาเรื่องพวกเขาอีกหรือไม่
ทันทีที่สองพ่อลูกตระกูลเซวออกจากเจียงโจว หยางเฉินก็ได้รับข่าวการจากไปของพวกเขา
“คุณหยาง เซวหยวนป้าไปแล้วจริงๆ”
กวนเจิ้งซานพูดอย่างตื่นเต้น
เมื่อคืนที่ผ่านมา กวนเจิ้งซานไม่ได้นอนทั้งคืน ก็เพราะเป็นกังวลว่าตระกูลเซวจะส่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่านี้มา
แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ เซวหยวนป้าไปจากที่นี่แล้วจริงๆ
หยางเฉินกล่าวอย่างเย็นชา “พวกคุณก็เตรียมตัวให้พร้อม ไปให้ถึงเมืองเยี่ยนตูล่วงหน้าก่อนผม”
“ครับ คุณหยาง!”
กวนเจิ้งซานรับคำอย่างรวดเร็ว
หลังจากวางสาย หยางเฉินก็เอนตัวลงบนเก้าอี้ทำงาน แม้ว่าคนของตระกูลเซวจะไปจากที่นี่แล้ว แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย
ถึงอย่างไรเซวหมิงก็ถูกเขาสั่งฆ่า ใครจะรู้ว่าตระกูลเซวจะมาตอแยอีกหรือไม่
ดูท่าทาง เขาต้องว่าจ้างกลุ่มยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่านี้มาปกป้องคนในครอบครัว มิฉะนั้นเขาไม่อาจวางใจได้
เวลาพักเที่ยง ทันทีที่หยางเฉินเดินออกมาจากเยี่ยนเฉินกรุ๊ป เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว “หยางเฉิน!”
หยางเฉินมองไปตามแหล่งที่มาของเสียง เห็นซูซานเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม
“คุณมาได้ยังไง?” หยางเฉินถามขึ้น
แม้ว่าซูซานจะเป็นเพื่อนสนิทของฉินซี แต่หยางเฉินกลับไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้ผู้หญิงคนนี้เลย
ภาพถ่ายที่หยางเฉินกับซูซานเดินเข้าโรงแรมด้วยกันในครั้งนี้ ซูซานเป็นคนจัดการ เธอนึกว่าเก็บเป็นความลับอย่างดีแล้ว แต่หยางเฉินก็สืบพบจนได้
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นแก่ฉินซี จึงไม่คิดจะเอาเรื่องซูซาน
ส่วนซูเฉิงอู่ แม้ว่าสุดท้ายได้เลือกที่จะยืนอยู่ข้างเขาเมื่อวานนี้ แต่ก็ยังทำให้หยางเฉินไม่พอใจมาก
ซูซานยิ้มเล็กน้อย “อย่าลืมว่าคราวก่อนที่คุณเมา ฉันเป็นคนส่งคุณกลับโรงแรม คุณติดหนี้บุญคุณฉันครั้งหนึ่ง เที่ยงวันนี้คุณเลี้ยงข้าวฉัน ก็จะถือว่าเจ๊ากันไป ว่ายังไงล่ะ?”
หยางเฉินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบตกลง “คุณอยากไปกินที่ไหนล่ะ?”
“งั้นไปที่ร้านอาหารแซ่เฉินแล้วกัน”
ซูซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ร้านอาหารแซ่เฉินเป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลเฉิน ตอนนี้ได้เปิดเป็นร้านอาหารแฟรนไชส์ทั่วประเทศ เกือบทุกเมืองใหญ่ล้วนมีร้านอาหารแซ่เฉินตั้งอยู่ เป็นร้านอาหารระดับห้าดาวอย่างแท้จริง
เมื่อเร็วๆ นี้ ตอนที่ร้านอาหารแซ่เฉินกำลังโด่งดัง เจ้าของสื่อมวลชนมากมายล้วนไปรับประทานที่ร้านอาหารแซ่เฉิน
“ไปกันเถอะ!”
หยางเฉินพูดอย่างเย็นชา
เขาแค่อยากจะใช้โอกาสนี้เพื่อถามซูซานว่า ทำไมถึงทำอย่างนั้น
หยางเฉินขับรถของตัวเองพาซูซานไปที่ร้านอาหารแซ่เฉิน
ซูซานท่าทางกระตือรือร้นมาก ทั้งคีบอาหาร ทั้งรินน้ำให้หยางเฉิน
อาหารมื้อหนึ่ง กินเวลาไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ
“หยางเฉิน ฉันอยากขอให้คุณช่วยเหลือตระกูลซูเรื่องหนึ่ง!”
หลังจากอิ่มหมีพีมัน ซูซานก็เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
หยางเฉินทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับถ้วนชาร้อนในมือ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ซูซานพูด
ความจริงเขาก็ยังลังเลใจอยู่มาก ไม่รู้ว่าควรถามซูซานดีหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ซูซานเป็นเพื่อนสนิทของฉินซี หยางเฉินไม่อยากให้ฉินซีถูกผู้หญิงคนนี้ทำร้าย
เมื่อเห็นหยางเฉินไม่พูดอะไร ซูซานจึงกล่าวขึ้นเอง “ฉันอยากขอให้คุณให้โอกาสตระกูลซูสักครั้ง โอกาสในการติดตามคุณไปที่เมืองเยี่ยนตู”
“พ่อคุณขอให้คุณมาหาผมใช่ไหม?” หยางเฉินถามขึ้น
ซูซานพยักหน้า “ฉันรู้ จุดยืนของพ่อฉันไม่เด็ดเดี่ยวพอ แต่สิ่งที่ทำให้เขาก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะความระมัดระวังของเขา แน่นอน อาจพูดได้ว่าเขาเป็นคนขี้ขลาด”
“เขาไม่ไว้วางใจคุณ แต่เขาก็ทำเพื่อตระกูลซู ฉันหวังว่าคุณจะเห็นแก่ที่เขาไม่เคยทำร้ายคุณ ให้โอกาสเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
หยางเฉินส่ายหน้าโดยไม่ลังเลใดๆ แล้วกล่าวว่า “การที่ผมไม่ให้ตระกูลอื่นแทนที่ตระกูลซูในเจียงผิง ก็นับว่าเป็นการให้อภัยตระกูลซูอย่างมากที่สุดแล้ว”
“ถือว่าเห็นแก่ฉันก็ไม่ได้เหรอ?” ซูซานถามด้วยดวงตาแดงก่ำ
หยางเฉินส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ได้!”
ซูซานจึงเลิกโน้มน้าว รินไวน์แดงให้ตัวเองจนเต็มแก้ว แล้วดื่มรวดเดียวจนหมด
จากนั้นเธอก็รินให้ตัวเองจนเต็มแก้วอีก ดื่มหมดแก้วอีกครั้ง ก่อนจะวางมันลง
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า คุณเย็นชากับฉันมากมาย” จู่ๆ ซูซานก็ถามขึ้น
หยางเฉินพินิจมองผู้หญิงคนนี้ “คุณทำกับผมเกินไป ทำไมผมยังต้องไว้หน้าคุณอีก?”
หยางเฉินยังกลุ้มใจอยู่ว่าจะพูดเรื่องนั้นกับซูซานอย่างไร ไม่คิดว่าซูซานจะเปิดโอกาสให้เขาเอง
ได้ยินเช่นนั้น ซูซานก็ชะงักไป “ฉันจะทำอะไรกับคุณเกินไป?”
ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งเก่งจริงๆ
แววตาของหยางเฉินเย็นชาลงอย่างฉับพลัน “ส่งรูปคู่ของเราให้เสี่ยวซี นี่คือบัญชีของคุณใช่ไหม?”
ซูซานตัวสั่นไปทั้งตัว ในแววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเธอคิดไม่ถึงว่าหยางเฉินจะรู้แล้ว
แต่เธอเล่นละครเก่งมาก รีบพูดว่า “หยางเฉิน คุณกำลังพูดถึงอะไร? รูปคู่ของคุณกับฉันที่ไหน?”
หยางเฉินไม่พูดอะไร เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ
ทันใดนั้นเขาก็มองไปที่ซูซานอีกครั้งด้วยดวงตาอันเฉียบแหลม ราวกับว่าสามารถมองทะลุซูซานได้ พลางกล่าวอย่างเย็นชา “อู๋อวี่จากเจียลี่ฟิล์ม คุณน่าจะยังจำชื่อนี้ได้นะ?”
ครั้งนี้ ซูซานถึงกับอึ้งไปอย่างสิ้นเชิง เพราะอู๋อวี่จากเจียลี่ฟิล์ม เป็นช่างภาพที่ซูซานจ้างมาถ่ายภาพหยางเฉินเดินเข้าออกโรงแรมกับเธอ
ในเมื่อหยางเฉินรู้จักอู๋อวี่ ก็ต้องรู้ว่า คนที่หาอู๋อวี่มาคือเธอ