The king of War - บทที่ 71 พวกไร้ยางอาย
หยางเฉินลังเลครู่หนึ่ง แล้วกล่าว : “ในเมื่อต้องการจะย้าย ไม่สู้ให้พ่อแม่กับเสี่ยวยีต่างย้ายไปกันไม่ดีกว่า ยังไงบ้านหลังนั้นใหญ่ แม้ว่าพ่อแม่ยังเสียงดังแบบที่นี่ ก็จะไม่ได้ยิน”
ยอดเมฆาเป็นวิลล่าชั้นนำในเจียงโจว ฉนวนเก็บเสียงในห้องให้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมมาก
ฉินซีกลับส่ายหัวอย่างไม่ลังเล : “ที่ฉันอยากย้ายออกไป ก็เพราะต้องการให้สภาพแวดล้อมที่สะดวกและเงียบสงบแก่เสี้ยวเสี้ยว”
ตอนนี้ฉินซีลำบากใจมาก ย้ายออกไปก็เป็นห่วงฉินยี ไม่ย้ายออก ก็เป็นห่วงเสี้ยวเสี้ยว
“ในเมื่อยังคิดไม่ออก ก็พิจารณาอีกสักหน่อย รอเมื่อไหร่ที่คุณคิดได้แล้ว ก็บอกฉัน” หยางเฉินพูด
“ดี!”
ไม่มีคำพูดตลอดคืน ในวันรุ่งขึ้น หลังจากหยางเฉินส่งฉินซีที่บริษัท เขาวางแผนที่จะไปเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสักรอบ
ทันทีที่รถจอดสนิท ก็มองไปที่ประตูบริษัท ฉินยีกำลังถูกชายคนหนึ่งพัวพัน ชายคนนั้นคือเพื่อนร่วมสถาบันหวังเย่นจูนที่เคยจีบฉินยีตอนมหาลัย
ปัจจุบันแต่งงานกับหยางหลิ่วแห่งตระกูลหยางเมืองโจวเฉิงไปแล้ว ครั้งล่าสุดที่ฉินยีทานอาหารกับหยางเฉิน ก็ยังเคยเจอเขาอยู่
ณ ตอนนี้ หวังเย่นจูนกำลังพัวพันฉินยีอยู่และพูดอะไรบางอย่าง
“เสี่ยวยี เดิมผมคิดว่าคุณเข้าใจเหตุผลของผม ไม่คิดว่าคุณจะไม่เข้าใจเลยแต่แรก”
“หวังเย่นจูน เมื่อก่อนฉันตาบอดจริงๆ ถึงได้ไปชอบคุณ คิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นคนน่าขยะแขยงขนาดนี้”
“เสี่ยวยี ผมรักคุณเสมอมา ได้โปรดอยู่กับผมตลอดไปได้ไหม?”
อารมณ์ของหวังเย่นจูนตื่นเต้นมาก จู่ๆ ก็คว้าแขนของฉินยี ต้องการจะกอดฉินยี
“ไปให้พ้น!”
ฉินยีกล่าวด้วยความโกรธ ตบหน้าหวังเย่นจูน และพูดอย่างโกรธเคือง : “คุณมันสารเลว ออกไปให้พ้นจากฉันซะ!”
“เสี่ยวยี ถือคุณจะตีผมให้ตาย ผมก็ไม่ไป นอกจากคุณจะรับปากจะอยู่กับผม” หวังเย่นจูนไม่รักษาหน้าตาสักนิด
“หวังเย่นจูน ความคิดคุณไม่เหมือนใครเลยจริงๆ รักฉัน ดังนั้นจึงไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น? รักฉัน ถึงแต่งงานแล้ว แต่ก็ยังอยากอยู่กับฉัน?”
ฉินยีประชดประชัน อารมณ์ก็ร้อนเร่าเป็นอย่างมาก ตะโกนใส่หน้าหวังเย่นจูน : “คุณเอาฉันไว้เป็นอะไร? มือที่สามหรือ?”
“เสี่ยวยี คุณเชื่อผม ให้เวลาผมอีกครึ่งปี รอผมสำเร็จเป้าหมายนี้ก่อน ถึงเวลานั้นต้องได้รับเงินโบนัสก้อนโตแน่ สิ้นปีนี้ผมก็จะหย่ากับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ถึงเวลานั้นผมจะให้ครอบครัวที่สมบูรณ์แก่คุณ”
หวังเย่นจูนเหมือนคนจิตผิดปกติ จับแขนฉินยีไว้ไม่ปล่อย : “แต่ผมอยากขอร้องคุณ ตอนนี้อย่าจากผมไปได้ไหม?”
“คุณรีบปล่อยฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกรปภ.” บนใบหน้าฉินยีมีความเจ็บปวดเล็กน้อย
“คุณไม่รับปากผม ผมก็ไม่ปล่อย” หวังเย่นจูนพูดอย่างหน้าไม่อาย
เวลานี้เป็นเวลาใกล้เวลาเริ่มงาน คนจำนวนมากที่มาทำงานต่างเห็นฉากนี้
ฉินยีรู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ แต่ถูกหวังเย่นจูนจับไว้ จึงไม่สามารถไปจากเขาได้
“ถ้าไม่อยากตาย ก็ปล่อยเธอซะ!”
ในเวลานั้นเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นเสียงหนึ่งชาดังขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฉินยีดีใจทันใด ก่อนหน้านั้นเธอชวนหยางเฉินทานอาหาร ได้แกล้งเป็นแฟนต่อหน้าหวังเย่นจูน
“หวังเย่นจูน รีบปล่อยฉัน อย่าบังคับให้แฟนฉันต้องตีคุณ” ฉินยีพูดอย่างโกรธเคือง
หวังเย่นจูนปล่อยแขนฉินยี กัดฟันกรอดมองหยางเฉินและพูด : “ผมตรวจสอบมาแล้ว คุณไม่ใช่แฟนของฉินยี แต่เป็นพี่เขยของเธอ”
หยางเฉินขมวดคิ้ว มองไปทางฉินยี และพูด : “เธอไปทำงานก่อน”
ฉินยีใช้สายตาซับซ้อนมองหยางเฉิน และเดินเข้าบริษัทไป
หวังเย่นจูนหวังที่จะเข้าไปรั้ง แต่ถูกหยางเฉินขวางเอาไว้ ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้
“ผมขอเตือน อย่าท้าทายผม ไม่อย่างนั้นผมจะไม่ปล่อยคุณไป” ดวงตาของหวังเย่นจูนเต็มไปด้วยความโมโห
หยางเฉินยิ้มเย็น : “คุณแต่งงานแล้ว ยังจะมาพัวพันฉินยีอีก ไม่กลัวว่าภรรยาคุณจะรู้หรือ?”
“นี่มันเรื่องของผม เกี่ยวอะไรกับคุณ?” หวังเย่นจูนพูดอย่างโกรธจัด
“ใช่ไม่เกี่ยวกับผม แต่คุณรังควานเสี่ยวยี ก็เกี่ยวกับผมแล้ว”
หยางเฉินพูดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ความเคร่งขรึมฉายในแววตา : “ตอนนี้ไสหัวไปซะ ผมจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นอย่าว่าผมเกรงใจ”
“ตลก!”
หวังเย่นจูนปราศจากความกลัวหยางเฉิน เขายิ้มเยาะและพูด : “คุณเป็นแค่พี่เขยที่แต่งงานกับพี่สาวฉินยี มีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องของผม?”
“ผมให้เวลาคุณสิบวินาที ถ้ายังไม่ไป อย่างนั้นผมจะให้คนของตระกูลหยางมาพาคุณไป” หยางเฉินพูดนิ่งๆ
หวังเย่นจูนพูดหัวเราะออกมา : “เจ้าหนู คุณคิดว่าตัวเองใหญ่ขนาดไหน? คนตระกูลหยาง คุณรู้จักอย่างนั้นหรือ?”
หยางเฉินเมินเฉย มองเวลาก็ไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถือโทรศัพท์ออกมาโทรหาคนคนหนึ่ง : “แจ้งคนตระกูลหยางที่เมืองโจวเฉิง ภายในสิบนาทีมาที่หน้าประตูเยี่ยนเฉินกรุ๊ป มาเอาสุนัขที่บ้านของเขาไป ไม่อย่างนั้นผมคงต้องไปเยือนตระกูลหยางสักครั้ง”
หวังเย่นจูนมองหยางเฉินที่คุยโทรศัพท์ท่าทางจริงจัง จู่ๆ ก็มีความรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่ไม่ช้าความกังวลนี้ก็หายไป
เหตุผลที่เขายังตามพัวพันฉินยี เพราะเขาตรวจสอบฉินยีแล้วว่าหลายปีมานี้ เธอไม่ได้คบแฟนคนไหนเลย และหยางเฉินก็เป็นเพียงพี่เขยของเธอ
“คุณแกล้งโทรศัพท์หาใคร? หวังว่าไม่ใช่สายด่วนของประเทศจีนนะ? ฮ่าๆ …” หวังเย่นจูนประชดประชันไปหนึ่งประโยค
หยางเฉินยิ้มบางๆ : “ในเมื่อคุณไม่ยอมไป อย่างนั้นก็รอคนตระกูลหยางมารับคุณแล้วกัน แต่อย่ามาเสียใจ”
“เสียใจแม่คุณสิ!” หวังเย่นจูนทั้งโกรธและอับอาย
“ปัง!”
เขาพึ่งด่าหนึ่งประโยค ก็ถูกหยางเฉินเตะลอยออกไปไกลกว่า 10 เมตร ด้วยแรงกระแทกมหาศาลทำให้เขากระอักเลือกออกมา
สีหน้าหยางเฉินมืดครึ้มอย่างถึงขีดสุด เดินไปที่ตรงหน้าหวังเย่นจูนทีละก้าว
มองอย่างเหยียดหยามและพูดกับเขา : “ถ้าผมเห็นคุณมาพัวพันฉินยีอีก ผมจะทำให้คุณหายไปจากโลกใบนี้ อย่าคิดว่าผมพูดเล่น ไม่อย่างนั้นคุณตายยังไง ก็ไม่อาจรู้ได้”
เมื่อสิ้นเสียง หยางเฉินก็หันหลังหลังจากไป
มองแผ่นหลังหยางเฉินที่จากไป ดวงตาของหวังเย่นจูนก็เต็มไปด้วยความดุร้าย เขากัดฟันพูด : “ฉินยีเป็นของฉัน ไม่มีใครสามารถห้ามเธอให้กลับมาอยู่ข้างกายฉันได้”
หยางเฉินพึ่งเดินไปจากไป มีรถAudi a8 สีดำคันหนึ่งมาจอดอยู่หน้าประตูเยี่ยนเฉินกรุ๊ป หยางเวยรีบเดินออกมาจากรถ
“พี่ พี่มาได้ยังไงครับ?” เมื่อเห็นหยางเวย หวังเย่นจูนขจัดความโกรธบนใบหน้า และรีบวิ่งไปถามไถ่
หยางเวยยังคิดอยู่ว่า เป็นใครในตระกูลหยางที่กล้ามาสร้างปัญหาหน้าประตูเยี่ยนเฉินกรุ๊ป เมื่อเห็นสภาพกระเซอะกระเซิงของหวังเย่นจูน เขาก็เข้าใจในทันที
“ป๊าบ!”
หยางเวยตบหน้าหวังเย่นจูนหนึ่งที และพูดด้วยความโมโห : “ใครให้คุณมีเรื่องที่หน้าประตูเยี่ยนเฉินกรุ๊ป?”
หวังเย่นจูนที่ถูกตบหน้า จู่ๆ ก็นึกถึงการโทรศัพท์ของหยางเฉินสายนั้นเมื่อครู่ สีหน้าของเขาจึงซีดเผือดลงทันที
“พี่ใหญ่ ขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว!” หวังเย่นจูนก้มหัวก้น แต่บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความดุร้าย
ณ ตอนนี้เขาทำได้เพียงขอโทษ ถ้าบอกเหตุผลที่เขามาหาฉินยีกับหยางเวย เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่ได้ก้าวเข้าไปในตระกูลหยางอีก
“บอกฉันมา คุณทำอะไรไว้กันแน่? ถึงทำให้ปู่ต้องโทรศัพท์หาฉันให้มารับคนที่หน้าประตูเยี่ยนเฉินกรุ๊ป” หยางเวยจ้องเขม็งถามเขา