The king of War - บทที่ 714 ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว
รถทั้งสองคันพุ่งชนใส่กันอย่างรุนแรง กระเด็นหมุนคว้างกลางอากาศหลายตลบจึงตกลงพื้น
หยางเฉินพอเดินลงจากรถ ก็เห็นมีคนบาดเจ็บกระเสือกกระสนคลานออกจากรถที่รูปทรงบิดเบี้ยวหมดสภาพ
รอดพ้นจากเหตุรถชนกันหนักขนาดนี้ ยังคงสติกันเอาตัวรอดมาได้ แสดงให้เห็นได้ว่าเป็นคนแข็งแกร่งอยู่เอาการ
“ใครเป็นคนใช้ให้พวกแกมา?”
หยางเฉินเดินเข้าไปหา ก้มมองใส่พวกคนที่คลานออกมาจากซากรถ
จากรถสองคันนั้น มีคนคลานออกมาสี่คน ยังมีอีกหลายคนที่อัดติดอยู่ในรถออกไม่ได้ เป็นตายไม่รู้ได้
ทั้งสี่คนหุ่นล่ำสันใหญ่ปึ้ก แววตาคมกริบ แฝงเต็มไปด้วยมาดฆ่า แต่ละคนดูสาหัสไม่ใช่น้อยจากที่รถชนกันเมื่อครู่นี้ ต่างหัวร้างข้างแตกเลือดอาบ
“เอามัน!”
เสียงหนึ่งในสี่คนนั้นตวาดสั่งขึ้นมาลั่น
เพียงพริบตาที่เสียงนั้นจบลง ทั้งสี่คนพุ่งตัวเข้าใส่หยางเฉินอย่างพร้อมเพรียง
แววตาหยางเฉินทอประกายแวบ ว่าใส่เสียงเยือก “หาที่ตาย!”
ทั้งสี่คนที่พุ่งเข้าใส่หยางเฉินนั้น ยังไม่ทันได้แตะถึงเสื้อผ้าของหยางเฉิน ชั่วพริบตาเดียวกันนั้นต่างกระเด็นดอนออกไปคนละทิศคนละทาง
“บอกมา ใครใช้พวกแกมา!”
หยางเฉินถลันขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง ยกตีนเหยียบที่ยอดอกชายฉกรรจ์ที่ดูจะเป็นผู้นำ พูดด้วยเสียงเย็นเยือก
แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีอาการหวาดกลัวออกมาให้เห็นในสายตา กลับขวางตามองอย่างเย้ยหยัน และในทันทีนั้น ปากของเขาฟูมฟายไปด้วยฟองน้ำลายขาววอก
นอกนั้นอีกสามคน ก็เหมือนกัน น้ำลายขาววอกฟูมฟายเต็มปาก เห็นชัดได้ว่าเป็นการกัดกลืนยาพิษลงไป
“หน่วยกล้าตาย”
คิ้วของหยางเฉินขมวดย่น
ให้มือฆ่าระดับสุดยอดระดับโลก ก็ยังไม่ใช่สิ่งต้องกลัวมากนัก แต่พวกหน่วยกล้าตายพวกนี้ จึงจะเป็นมนุษย์ที่มีอันตรายมากที่สุด
อีกทั้ง การที่จะไปสืบหาเบื้องหลังของคนพวกนี้ แทบจะไม่มีอะไรจะให้หวังได้เลย
“ผมอยู่บนถนนกวงหมิง เจอเข้ากับพวกหน่วยกล้าตายกลุ่มหนึ่ง คนตายไปแล้ว ช่วยจัดการสืบหน่อย ให้รู้ว่าพวกนี้มาจากที่ไหน”
หยางเฉินต่อโทรศัพท์ แล้วสั่งการไป
การปรากฏของหน่วยกล้าตาย ทำให้หยางเฉินเกิดรู้สึกถึงมีเรื่องน่ากังวล
เขาเพิ่งพาครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่เยี่ยนตู ก็มาเจอหน่วยกล้าตาย ตัวเขาเองไม่กลัว แต่พวกฉินซีนั่น ถ้าเกิดไปเจอพวกหน่วยกล้าตายเข้า น่ากลัวคงต้องตายสถานเดียว
“เห็นท่าว่า ถึงเวลาที่ต้องหายอดฝีมือระดับสุดยอดไว้แล้ว” หยางเฉินเอ่ยปากพูด
ยี่สิบนาทีให้หลัง หยางเฉินกลับมาถึงยอดเมฆาเมืองเยี่ยนตู
รอถึงเวลาที่เขากลับมาถึงบ้าน เสี้ยวเสี้ยวก็หลับไปแล้ว ฉินซีอยู่ในชุดนอนไหมสีชมพู หอบเอาโน๊ตบุ๊คอยู่ในมือ
“ยุ่งอะไรอยู่หรือจ๊ะ?”
หยางเฉินเดินเข้าไปหา โอบกอดไหล่ของฉินซี
ฉินซีพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันก็จะไปที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปละ ศึกษาดูข้อมูลของบริษัทเพื่อเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า”
“นี่มันดึกมากแล้ว รีบเข้านอนก่อนเถอะ!”
หยางเฉินพูดด้วยความรักห่วง
เขาพาทั้งตระกูลมาเยี่ยนตู ไม่ใช่ให้มาลำบากกัน แต่ตั้งใจพามาให้อยู่กับวิถีชีวิตที่ดีขึ้น
ฉินต้าหย่งตัดสินใจเกษียณตัวเองมาเลี้ยงหลาน ฉินซีกับฉินอียังอยู่ในวัยลุยเต็มร้อย
ฉินซีถลึงตาจ้องหยางเฉิน ปัดมือยุ่มย่ามของหยางเฉินออก พูดเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “หยางเฉิน ฉันขอเตือนนะ ถ้าห้องเรายังไม่จัดการเรื่องระบบกันเสียงให้ดี คุณอย่าหวังจะมาแตะต้องตัวฉันอีก!”
“อื๋อ?ต้องทำระบบเก็บเสียงด้วยจริง ๆ หรือ?”
เดิมทีหยางเฉินก็พูด ๆ ไป ไม่คิดว่าฉินซีจะเอามาเป็นเรื่อง
ฉินซีถลึงตาใส่หยางเฉินว่า “พูดส่ง!วันนี้คุณยุ่มย่ามกับฉันเมื่อตอนกลางวัน ก็ทำให้ฉินซีโกรธแล้ว และตอนนั้นเสี้ยวเสี้ยวก็อยู่ด้วย ถ้าเกิดเสี้ยวเสี้ยวถลันพรวดเข้ามา แล้วจะทำงัย?”
“ก็เพราะเธอนั่นแหละส่งเสียงดัง”
หยางเฉินบ่นเสียงพึมพำ
“คุณว่าอะไรนะ?”ฉินซีโกรธเต็มที่ด้วยความอาย
หยางเฉินรีบบอกว่า “ผมว่า วันนี้ผมจะจัดการให้คนมาทำระบบเก็บเสียงจ่ะ”
“แต่ว่า ก่อนที่เขาจะมาทำระบบเก็บเสียงนะ เราน่าจะมาลองทดสอบอีกสักครั้งดีมั้ย?”
หยางเฉินพูดเสียงหัวเราะมีเลศนัย ฉินซียังไม่ทันโต้ตอบอย่างไร หยางเฉินก็ได้จู่โจมเข้าใส่แล้ว
หลังฟ้าชุ่มเมฆฉ่ำกันแล้ว ฉินซีออดอ้อนอยูในวงแขนหยางเฉิน
ภายใต้แสงสลัวจากไฟโคม ผิวหน้าฉินซีซ่านแผ่ด้วยสีชมพูเรื่อ
“ที่รักคะ ช่วงระยะนี้ คุณคงเครียดมากใช่ไหมคะ?”ฉินซีจู่ ๆ ก็ถามขึ้นมา
หยางเฉินสะอึกเล็กน้อย “ทำไมถามอย่างนี้หละ?”
“หลายวันนี้ ความต้องการในอารมณ์แบบนั้นของคุณรู้สึกมากเกิน” ฉินซีอ้อนเสียงหวาน
ให้แม้ตัวหยางเฉินเองยังไม่มีคิดถึงตรงจุดนี้เลย พอฟังที่ฉินซีพูด เขาถึงนึกขึ้นมาได้ ว่ากันที่วันนี้ นี่มันก็ครั้งที่สองแล้ว
หรือนี่จะว่า เพราะเกิดจากความเครียดหนักจริง ๆ หรือ?
ตามฐานะศักดิ์ศรีของหยางเฉิน อีกทั้งกำลังพลังฝีมือที่แกร่งกล้าของตัวเขาเอง จะว่ากันตามจริงแล้ว ไม่น่าจะมีความกดดัน
ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องแรงกดดัน ก็คงแต่เรื่องของญาติรอบข้าง
“คุณอย่าไปคิดมากเลย ผมจะมีความกดดันอะไรกัน?” หยางเฉินก็ไม่อยากให้ฉินซีมีความกังวลใจ พูดปัดออกไป
ฉินซีถอนหายใจ “ฉันก็รู้ คุณจะไม่บอกฉันหรอก เพราะไม่ว่าเวลาไหนของคุณ ล้วนเป็นของคุณเองที่จะรับผิดชอบด้วยตัวเองของคุณ”
หยางเฉินหัวเราะ “คุณก็อย่าไปคิดอะไรไร้สาระเลย รีบหลับเสียเถอะนะ!พรุ่งนี้ยังต้องเข้าออฟฟิสทำงาน นี่เป็นวันแรกที่คุณจะเข้าทำงานในเยี่ยนเฉินกรุ๊ปนะ”
เห็นหยางเฉินไม่อยากพูดมาก ฉินซีก็ไม่ถาม ออดอ้อนอยู่ในอ้อมอกของหยางเฉิน ค่อย ๆ ม่อยหลับไป
ส่วนหยางเฉิน ทำยังไงก็นอนไม่หลับ ในใจยังคงเป็นห่วงกังวล
ห้าปีก่อน เขาจากไปโดยไม่มีการร่ำลา ในขณะที่จากฉินซีไป ในใจมีเพียงคิดไว้ว่า ต้องถึงสักวัน ตัวเขาเองจะต้องก้วขึ้นมาให้คู่ควรกับฉินซี
และก็ไม่ง่ายเลยที่ทำได้แล้วในวันนี้ แต่ด้วยความไม่ได้ตั้งใจ ได้ไปแหย่เอาคู่ต่อสู้ที่แกร่งกล้ามาคนแล้วคนเล่า
ถึงแม้ว่าในแต่ละครั้ง เขาก็สามารถแก้ปัญหาลงไปได้อย่างราบรื่น แต่ก็มีหลายครั้ง ที่ต้องพาเอาอันตรายมาใส่ให้ญาติรอบข้างด้วย
ปัจจุบันนี้ เขาได้สัมผัสถึงแล้วในระดับตระกูลเดอะคิงแห่งจิ่วโจว ไม่ว่าจะตระกูลเดอะคิงไหน ๆ ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่จะไปจัดการให้เรียบร้อยได้ง่าย ๆ
ยังไม่ต้องไปพูดถึงพวกยอดฝีมือระดับสุดยอดของตระกูลเดอะคิง แค่เพียงผลพวงจากฐานะและศักดิ์ศรีของตระกูลเดอะคิงแห่งจิ่วโจวเอง ก็ไม่สามารถไปเขย่าได้ง่าย ๆ แล้ว
โดยเฉพาะพวกตระกูลเซว ยังมีตายไปคนหนึ่ง
วันนี้พวกหน่วยกล้าตายที่มาดักจู่โจม หยางเฉินก็สงสัยอยู่ เรื่องนี้ตระกูลเซวต้องมีเกี่ยว
ผ่านไปไม่มีอะไรหนึ่งคืน รุ่งเช้าวันต่อมา หยางเฉินเพิ่งเดินออกจากห้อง ก็เห็นฉินต้าหย่งคาดผ้ากันเปื้อนง่วนอยู่ในครัว
“คุณพ่อ ผักที่พ่อหั่นนั่นใหญ่ไปหน่อยนะ”
“คุณพ่อ ที่พ่อผัดผักนั่นใส่น้ำมันมากไป”
“คุณพ่อ ใส่เกลือมากไปแล้ว พริกหอมน้อยไปหน่อย”
จากห้องครัว แว่วมาแต่เสียงบ่นอย่างอดไม่ได้ของฉินยี
ข้อเท็จจริงก็คือ ฉินยีกำลังสอนฉินต้าหย่งทำอาหาร เป็นครั้งแรกที่ฉินหย่งได้ทำอาหาร อะไรก็ไม่รู้เรื่อง
ในที่สุด ก็ต้องให้ฉินยีลงมือเอง มื้อเช้าจึงเสร็จลงได้
ฉินต้าหย่งแบกเอาหน้าที่ขวยอายพูดว่า “เฮ้อ!แก่แล้ว ไม่ไหวแล้ว ขนาดทำอาหารกินยังไม่ได้”
หยางเฉินหัวเราะ “คุณพ่อ ท่านอย่าได้ไปด้อยค่าตัวเองเลย ไม่มีงานอะไรที่คนเราเกิดมาแล้วก็ทำได้กันเลยหรอก”
“คุณนี่ก็เป็นแต่พูดประจบสอพลอ!”ฉินยีพูดด้วยสีหน้าหยามเหยียด
หยางเฉินพูดอย่างขี้เกียจรำคาญ “ผมพูดเรื่องที่เป็นเรื่องจริง”
“พี่เขย ฉันรู้สึกว่า พี่นี่ยิ่งวันดูยิ่งปากลื่นปากสอพลอมากขึ้นไหม?บอกมาตามตรงเลย พี่ได้ไปมีกุ๊กกิ๊กอะไรกับเด็กสาว ๆ บ้านใครมาอีกแน่เลยใช่ไหม?”
ฉินยีถามด้วยยิ้มอย่างวายร้าย
หยางเฉินมองหน้าฉินซีด้วยแววตาของคนถูกใส่ร้าย เห็นหล่อนไม่ได้มีแววโกรธ จึงได้ทำหน้าขึงขังใส่ฉินยีพูดไปว่า “นี่ถ้าเธอขืนพูดพล่อย ๆ แบบนี้อีก ผมจะจัดการแต่งเธอออกไปให้พ้นเลยนะ!”
คนทั้งบ้านคุยหยอกล้อเล่นกัน บรรยากาศกลมกลืนชื่นมื่น
หลังอาหารเช้า ฉินซีกับฉินอีพากันไปเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ส่วนหยางเฉินพาเสี้ยวเสี้ยวไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล
วันนี้เป็นวันแรกที่เสี้ยวเสี้ยวได้ไปโรงเรียนอนุบาลที่เยี่ยนตู ยังมีพิธีการบางอย่างที่เขาต้องไปจัดการเอง
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เสี้ยวเสี้ยวถึงแม้ต้องมาเข้าในโรงเรียนอนุบาลแห่งใหม่ แต่ไม่ออกอาการแปลกที่แปลกถิ่น ตอบถามแนะนำตัวเองอย่างกล้าจริง
เพิ่งออกจากโรงเรียนอนุบาลมา หยางเฉินก็ได้รับโทรศัพท์จากหม่าเชา “พี่เฉิน กลุ่มหน่วยกล้าตายในคืนนั้น ตระกูลเซวสั่งมา!”