The king of War - บทที่ 865 ปฏิเสธรับเป็นศิษย์
หยางเฉินหมดคำจะพูดจริงๆ ส่ายหน้าอย่างจำใจ “ฉันบอกแล้วว่าไม่รับก็คือไม่รับ เธอไปเถอะ!”
“ฉันไม่ไป!”
กวนเย่วรีบส่ายหน้าทันที “ถ้าฉันไปแล้ว คุณจะรับฉันเป็นศิษย์ไหม?”
“อาจารย์คะ ท่านรับฉันไว้เถอะค่ะ ไม่ว่าเป็นการฝึกต่อสู้หรือว่าปรนนิบัติรับใช้ ขอเพียงเป็นคำสั่งของท่าน ให้ฉันทำอะไร ฉันยินยอมทั้งหมดค่ะ”
พูดจบ กวนเย่วตั้งใจทำท่าทางขวยอาย ก้มหน้าลงเล็กน้อย
หยางเฉินตกตะลึงพรึงเพริด หญิงสาวคนนี้พูดถึงฝีมือการแสดงก็มีอยู่จริง พูดถึงหน้าตาก็สวยจริง ไม่ไปเป็นนักแสดง คงน่าเสียดายจริงๆ แล้ว
“เธอคงยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยมั้ง?”
หยางเฉินถามขึ้นกะทันหัน
กวนเย่วมองตาค้อนทีหนึ่ง “อาจารย์คะ ปีนี้คนอื่นเขายี่สิบเอ็ดปีแล้ว ฉันเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง เรียนจบมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุสิบเก้าแล้วค่ะ ท่านอย่าดูถูกคนอื่นนะคะ”
“เรียบจบแล้วก็ดี ฉันว่าเธอสนใจด้านการแสดงขนาดนี้ ในมือฉันมีบริษัทการบันเทิงอยู่ จะส่งเธอไปถ่ายละครที่กองละครบริษัท”
หยางเฉินพูดแบบหน้าตาไร้ความรู้สึก “จากฝีมือการแสดงขั้นสูงของเธอ ต้องดังไปทั่วจิ่วโจวได้แน่ ฉันจะติดต่อไปเดี๋ยวนี้ ให้คนพาเธอเข้าไป”
พูดจบ หยางเฉินหยิบโทรศัพท์ขึ้นอยากต่อสายอย่างคาดไม่ถึง
กวนเย่วขยับเท้า รีบพุ่งไปที่หน้าโต๊ะทำงาน ดึงสายโทรศัพท์ทิ้งแล้ว
“อาจารย์คะ ฉันมาไหว้ครูเรียนวิชาจริงๆ นะ ท่านไล่ฉันไปกองละครได้อย่างไรกัน?”
กวนเย่วทำท่าทางร้องไห้สะอึกสะอื้น ตาแดงๆ พูดว่า “ท่านดูสิคะฉันน่ารักขนาดนี้ เชื่อฟังขนาดนี้ ถ้าไปที่กองละครแล้ว ผู้กำกับอยากรังแกฉันจะทำอย่างไรคะ?”
“ท่านทนให้เด็กสาวอย่างฉันที่น่ารักขนาดนี้ถูกรังแกได้จริงเหรอคะ?”
“อาจารย์คะ ฉันอยากมาขอให้ท่านเป็นอาจารย์จริงๆ ท่านทำให้ฉันสมหวังเถอะนะคะ!”
หยางเฉินไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี นี่คืออยากบีบให้เขารับเป็นศิษย์เหรอ?
“ไม่รับ!”
หยางเฉินส่ายหน้า จากนั้นหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาแล้ว อ่านไปด้วยพูดไปด้วยว่า “ฉันจะทำงานแล้ว เธอตามสบายแล้วกัน!”
กวนเย่วนึกอะไรออก รีบมาที่ด้านหลังของหยางเฉิน ใช้มือทั้งสองนวดบนไหล่ของหยางเฉินขึ้นมาแล้ว
“อาจารย์คะ ท่านทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันจะนวดไหล่ให้ท่านสักหน่อย”
กวนเย่วหัวเราะหึๆ บอกไป จากนั้นไม่พูดอะไรสักประโยคเดียวจริงๆ
หยางเฉินอยากหัวเราะ แต่ไม่ได้หัวเราะออกมา และไม่ห้ามปราม ปล่อยกวนเย่วนวดไหล่ให้ตนเองไป
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า เดิมทีหยางเฉินคิดว่า กวนเย่วจะยืนหยัดได้ไม่นานเท่าไร แต่ที่ทำให้เขาตกใจคือ ผ่านไปยี่สิบนาทีเต็มๆ กวนเย่วยังช่วยหยางเฉินนวดไหล่อยู่
ไม่ต้องพูดถึงว่า วิธีการนวดของกวนเย่วยอดเยี่ยมมาก หยางเฉินรู้สึกสบายตัวมาก ถ้าไม่ใช่ยังมีงานต้องทำ เขาคงหลับไปแล้ว
“พอแล้ว ฉันต้องออกไปข้างนอกสักหน่อย”
หยางเฉินเอ่ยปากทันใด
“อาจารย์คะ ท่านอยากไปที่ไหน? ฉันจะไปเป็นเพื่อนท่านค่ะ”
กวนเย่วรีบวิ่งมาด้านหน้าหยางเฉิน พูดด้วยหน้าตารอคอย
หยางเฉินรู้ถึงความไร้เหตุผลของหญิงสาวคนนี้ และไม่ได้ห้าม จากนั้นหมุนตัวออกไป
หลังเดินออกจากห้องทำงาน ผู้คนมากมายมองเห็นกวนเย่วที่ตามอยู่ด้านหลังหยางเฉิน ล้วนทำหน้าประหลาดใจ ท่านประธานมีผู้ติดตามเพิ่มมาอีกคนตั้งแต่เมื่อไร?
“หยางเฉิน หล่อนคือใคร?”
หยางเฉินเพิ่งเดินออกจากเยี่ยนเฉินกรุ๊ป เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเสียงหนึ่ง ดังขึ้นด้านหลังหยางเฉินอย่างฉับพลัน
มองเห็นลักษณะท่าทางที่โกรธเคืองของฉินยี หยางเฉินก็รู้ว่าฉินยีเข้าใจผิดแล้ว จึงรีบอธิบายว่า “เสี่ยวยี เธออย่าเข้าใจผิด หล่อนก็แค่คนไร้เหตุผลที่……”
หยางเฉินยังไม่ทันพูดจบ กวนเย่วก็วิ่งมาตรงหน้าฉินยีแล้ว จ้องฉินยีในระยะใกล้ จากนั้นพูดแบบหน้าตาดีใจว่า “ท่านจะต้องเป็นอาจารย์หญิงแน่เลย? ช่างงดงามเสียเหลือเกินค่ะ ท่านได้แต่งงานกับอาจารย์ของฉัน ยังเป็นเหมือนดอกไม้งามเสียบบนขี้วัวเสียจริงค่ะ” (เปรียบเทียบเหมือนหญิงสาวผู้งดงามโดดเด่นได้แต่งงานกับสามีที่อัปลักษณ์)
“ใช่แล้ว ฉันเกือบลืมแนะนำตัวเองไปเลย อาจารย์หญิงสวัสดีค่ะ ฉันชื่อกวนเย่ว เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ค่ะ ต่อไปมีอะไรอยากสั่ง ท่านสั่งได้ตามสบายเลยนะคะ”
หยางเฉินหน้าตาหม่นหมอง อะไรคือดอกไม้งามเสียบบนขี้วัว?
ไม่ใช่ ผู้หญิงคนนี้ เรียกอาจารย์หญิงอะไรมั่วซั่ว?
ฉินยีที่เดิมทียังโกรธเคืองมาก หลังได้ยินคำพูดของกวนเย่ว ถึงพอเข้าใจเรื่องราวเป็นอย่างไรคร่าวๆ ความรู้สึกโกรธบนใบหน้าจึงเลือนหายในชั่วพริบตา
เพียงแต่ ถูกกวนเย่วคิดว่าเป็นอาจารย์หญิง หล่อนยังกระอักกระอ่วนอย่างมาก
“เธอเรียกอาจารย์หญิงอะไรมั่วๆ”
หยางเฉินพูดแบบอารมณ์เสีย “หล่อนคือฉินยีน้องสาวอาจารย์หญิงของเธอ”
“ไม่ใช่สิ เป็นน้องสาวของภรรยาฉัน”
กวนเย่วพูดฉอดๆ อยู่ข้างหูหยางเฉินมาตลอด หยางเฉินจึงคล้อยตามอยู่ครู่หนึ่ง
“อาจารย์คะ ในที่สุดท่านก็ยอมรับฉันเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว ดีเหลือเกิน!”
“ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่รับเป็นศิษย์ และไม่ได้สนิทกับเธอด้วย เธอรีบออกไปซะ!”
“อาจารย์คะ ทั้งที่เมื่อกี้ท่านบอกว่าพี่ฉินยีเป็นน้องสาวอาจารย์หญิงของฉัน ก็คือตอบรับฉันแล้ว ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น ท่านคืนคำไม่ได้นะคะ”
“ฉันไม่ได้พูด!”
“ท่านพูดแล้ว!”
……
เห็นหยางเฉินที่ถูกกวนเย่วตามเรียกว่าอาจารย์ ฉินยีทำหน้าตกตะลึง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หยางเฉินขับรถมาถึงเขตก่อสร้างเมืองจิ่วโจว
โครงการเมืองจิ่วโจวในตอนนี้เป็นการก่อสร้างใหญ่ที่สุดของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันโดนคนที่เซวหยวนจี๋ส่งมาชนเข้า อาคารมากมายล้วนกำลังสร้างใหม่
“อาจารย์คะ ที่แท้เมืองจิ่วโจวก็คืออาคารของท่านนี่เอง!”
เพิ่งลงรถ กวนเย่วถามด้วยท่าทางตกใจ
หยางเฉินขี้เกียจสนใจ ก้าวเท้าเข้าสู่เขตก่อสร้างมาโดยตรง กวนเย่วเหมือนเป็นเงาตามตัว ตามติดมาตลอด
เธอไม่รู้สึกอึดอัดเลย แม้พูดอะไรหยางเฉินก็ไม่สนใจ งั้นเธอพูดเองเออเองคนเดียวก็ได้
“ท่านประธานครับ ท่านมาแล้ว!”
หลังเข้าสู่เขตก่อสร้าง ไม่นานก็หาลั่วปิงเจอแล้ว
หยางเฉินพยักหน้านิดหน่อย “เขตก่อสร้างกลับมาเริ่มงานอีกครั้ง ทุกอย่างปกติดีสินะ?”
ลั่วปิงพยักหน้า ตอบอย่างดีใจ “ตอนนี้ทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติแล้วครับ เดิมทีคิดว่าครั้งนี้สร้างความเสียหายให้พวกเรามากมาย แต่ดันตรงกันข้าม เพราะเรื่องในครั้งนี้ เมืองจิ่วโจวได้ทำการโฆษณาฟรีๆ แล้วครับ”
“ท่านดูสิครับ หน้าสิ่งก่อสร้างที่สร้างแล้วพวกนั้น มีชาวเน็ตชื่อดังมากมายถ่ายทอดสดไป ตอนนี้ผู้ประกาศข่าวในอินเทอร์เน็ตมากมาย ล้วนลงคลิปวิดีโอเนื้อหาของเมืองจิ่วโจวแล้วครับ”
หยางเฉินนึกไม่ถึงเช่นกัน เซวหยวนจี๋อยากจะทำลายเมืองจิ่วโจวทิ้ง แต่ทว่าเมืองจิ่วโจวกลับดังใหญ่โตขึ้นแทน
เดิมทีเมืองจิ่วโจวก็เป็นศูนย์กลางการค้ารูปแบบโบราณผสมกับรูปแบบสมัยใหม่แห่งหนึ่ง รูปแบบเป็นเอกลักษณ์ กลายเป็นสถานที่พูดคุยกันในอินเทอร์เน็ตได้ง่ายดายมาก
“ช่วงไม่กี่วันนี้ มีคนมาหาผมครับ อยากจะซื้อร้านค้าของเมืองจิ่วโจวแล้ว แม้กระทั่งมีคนอยากจะจัดวางโฆษณาของพวกเขาที่เมืองจิ่วโจว แต่ว่าถูกผมปฏิเสธทั้งหมดแล้ว”
ลั่วปิงบอกด้วยความตื่นเต้น “พวกนี้ล้วนเป็นแค่เศษเงิน รอหลังจากเมืองจิ่วโจวสร้างเสร็จ ถึงจะทำให้คุณค่าของที่นี่มีจำนวนมากที่สุดได้”
หยางเฉินพยักหน้า “นายดูเอาแล้วจัดการก็พอ”
เขาเป็นแค่คนสั่งการคนหนึ่ง มีลั่วปิงอยู่ เดิมทีเขาไม่ต้องมายุ่งยากใจกับเรื่องพวกนี้
เดิมทีลั่วปิงก็มีความฝันของตนเอง สามารถพูดได้ว่า เป็นหยางเฉินมอบเวทีการเติบโตให้เขา เรื่องที่หยางเฉินไม่อยากก้าวก่าย นั่นคือสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุด
หลังหยางเฉินตรวจดูเขตก่อสร้างด้วยตนเองแล้ว และกำชับให้ลั่วปิงระวังความปลอดภัยในเขตก่อสร้างอีกครั้ง ถึงเตรียมออกไป
เพียงแค่ เขายังไม่ทันได้ออกไป โรลส์-รอยซ์สีดำคันหนึ่งค่อยๆ ขับเข้ามาแล้ว จอดอยู่ข้างกายหยางเฉินโดยตรง
ตามมาด้วย บอดี้การ์ดที่สวมชุดดำสองคน เดินออกมาจากในรถ
และหลังจากนั้น ถึงมีภาพคนอายุน้อยคนหนึ่ง เดินออกมาจากที่นั่งด้านหลัง