The king of War - บทที่ 869 คำขอร้องของอวี๋เหวินเกาหยาง
“พี่เฉิน ผมจำที่พี่เคยพูดไว้อยู่ประโยคหนึ่ง ดีมาก ๆ เลย”
หม่าชาวจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่พูดว่า วิถีปฏิบัติของพวกเรานักรบชายแดนเหนือ ไม่ว่าผิดหรือถูก ขอให้ไม่ละอายต่อจิตสำนึก!”
“ผมรู้สึกว่า พี่เฉินตอนนี้กำลังตกอยู่ในความพะว้าพะวง มีเรื่องหลาย ๆ เรื่อง พี่ก็รู้ทั้งรู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร แต่มีเหตุให้กังวลหลายด้าน ที่ทำให้ใจปล่อยวางไม่ได้”
“ถึงแม้พี่จะออกจากแดนเหนือมาแล้ว แต่อย่างพี่นี่พูดแค่คำเดียว ทั่วทั้งแดนเหนือ มีใครกล้าไม่ทำตาม?”
“จะเป็นตระกูลเดอะคิงไหน?หรือไม่ว่าตระกูลราชวงศ์อะไร?ต่อหน้านักรบชายแดนเหนือ พวกเขาจะนับประสาอะไรกัน?”
คำพูดของหม่าชาว ทำให้หยางเฉินเกิดความรู้สึกเลือดพล่านขึ้นมาในทันใด
“อาจารย์!”
ในขณะนั้นเอง กวนเยว่รู้สึกตัวขึ้นมา พอลืมตาขึ้นได้ก็หลุดปากเรียกอาจารย์ออกมา
หยางเฉินกลับมาจากภวังค์ที่จมอยู่เมื่อครู่ ก้าวเดินเข้าไป มองดูเด็กสาวที่อ่อนเปลี้ยนอนซมอยู่ รู้สึกนึกโทษตัวเองอยู่ในใจ
“คุณหมอบอกว่า อาการเธอไม่รุนแรงมากนัก ลูกกระสุนไม่ได้ยิงถูกอวัยวะภายใน และก็ไม่ได้ยิงถูกกระดูก พักสักหลายวัน ก็จะฟื้นคืนเป็นปกติ”
หยางเฉินรีบเล่าผลการตรวจรักษาที่หมอพูดให้กวนเยว่ฟัง
กวนเยว่ยิ้มที่มุมปากกับความสดใสเต็มบนใบหน้า “อาจารย์ เห็นมั้ยว่าหนูไม่โกหก?มีหนูอยู่ข้าง ๆ อาจารย์ ยังไงก็ต้องใช้ประโยชน์ได้บ้าง อย่างน้อยก็ช่วยป้องกันกระสุนให้ได้”
หยางเฉินถลึงตาใส่กวนเยว่ “นี่มันเวลาอะไร ยังจะมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก?เธอยังไม่กลัวอีกหรือที่จะเป็นเกราะกำบังกระสุนให้ เกือบตายแล้วไหมละ?”
กวนเยว่ส่ายหน้า “ไม่กลัว!ใคร ๆ ก็บอกว่าเด็กผู้หญิงช่างหัวเราะนี่มีโชคดีมาก หนูเป็นคนชอบหัวเราะ ฉะนั้นมักจะโชคดีอยู่มาก ดูสิ ลูกกระสุนยิงทะลุหลังของหนู ยังไม่โดนกระดูกหรืออวัยวะสำคัญชิ้นไหนเลย”
หม่าชาวก็หัวเราะ “แกนี้นี่นะ เข้าท่าดีนะ ถ้าได้พี่เฉินเป็นอาจารย์ คงเป็นสีสันคึกคักทีเดียว”
เขามีความรู้สึกที่ดีกับกวนเยว่ โดยเฉพาะที่เคยได้ยินที่เล่าว่ากวนเยว่ซัดบอดี้การ์ดกลิ้งไปด้วยหมัดเดียว ทำเอารู้สึกทึ่งเอามาก ๆ
ฉะนั้น เขาก็อยากให้หยางเฉินรับลูกศิษย์คนนี้ไว้ จึงได้ตั้งใจยกเรื่องรับลูกศิษย์ขึ้นมาพูด
แต่ทว่า คราวนี้ กวนเยว่กลับไม่พูดถึงเรื่องขอฝากตัวเป็นศิษย์อีก สีหน้าดูหมองคล้ำ
“เป็นงัยแล้ว ไม่อยากเป็นลูกศิษย์ข้าแล้วหรือ?”
หยางเฉินถามอย่างข้องใจ
กวนเยว่ยิ้ม ๆ “ดูท่านเป็นคนอันตรายมากเลย ไม่เพียงถูกทางราชวงศ์กับกลุ่มตระกูลเดอะคิงจ้องเล่นงาน ถึงขนาดมีการตั้งใจลอบสังหาร หนูมาคิดรอบคอบอีกทีแล้ว ไม่เอาดีกว่า”
หยางเฉินไม่ได้โง่ คนอย่างกวนเยว่ถ้ากลัวอันตราย ก็คงไม่เข้ามากันลูกปืนให้เขาหรอก
คงจะเป็นการเกรงว่าเรื่องของตัวหล่อนเอง จะนำพาเรื่องเดือดร้อนกับหยางเฉินมากขึ้น
“ต่อไปนี้ เธอก็คือลูกศิษย์ของข้า!”
หยางเฉินเอ่ยปาก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่น
มันเป็นหนี้ที่เขาติดค้างกวนเยว่ คนที่ยอมสละตัวเองกระโดดเข้ามารับลูกปืนแทนเขา จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธหล่อนได้
อีกถ้าจะว่าไป เขาก็ไปกระทบกระทั่งกับตระกูลเดอะคิงไปหลายตระกูลแล้ว จะเพิ่มการบาดหมางกับอีกหนึ่งตระกูลเดอะคิง แล้วจะเป็นอะไรไป?
“ที่หนูเรียกท่านว่าอาจารย์ ก็เป็นแต่เพียงหยอกเล่นเท่านั้น ท่านอย่าเอาเป็นเรื่องจริงจังเลยนะ!”
กวนเยว่ก็รีบตอบย้อนกลับ ติดตามด้วยเสียงหัวเราะสดใส “คุณอย่าได้คิดจะใช้เรื่องรับดิฉันเป็นลูกศิษย์มาเป็นการชดเชยบุญคุณในการช่วยชีวิตเลยนะ กุลสตรีอย่างดิฉันไม่สนใจหรอกนะ ฉันจะให้คุณติดหนี้บุญคุณไว้อย่างนี้แหละ ไว้ให้ฉันต้องการก่อน คุณค่อยชดใช้มาให้ฉัน”
ฟังสองคนนี้คุยกัน หม่าชาวก็เลยหัวเราะออกมา “พวกคุณนี่เป็นคู่อาจารย์ลูกศิษย์ที่แปลกพิสดารเสียจริง เวลาเธออยากขอเป็นลูกศิษย์ พี่เฉินก็ไม่ยินดี พอพี่เฉินพร้อมจะรับเธอเป็นลูกศิษย์ เธอก็กลับไม่ยินดีเสียนี่”
หยางเฉินก็ไม่เซ้าซี้คุยเรื่องรับลูกศิษย์อีก พูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใด ๆ “เอาหละ ไม่เป็นก็ไม่เป็น เธอเพิ่งผ่าตัดเสร็จ ต้องพักผ่อนให้มาก ๆ นะ!”
จัดการธุระเรื่องของกวนเยว่แล้ว หยางเฉินก็พาหม่าชาวจากไป
หยางเฉินเลยไปดูเย่ม่านกับหวงเทียนเชิงต่อ คราวก่อนที่พวกเขาถูกลอบสังหาร อาการบาดเจ็บค่อนข้างรุนแรง ทุกวันนี้ยังอยู่โรงพยาบาล
“หยางเฉิน เธอมาเหรอ!”
สุดท้ายหยางเฉินมาที่ห้องผู้ป่วยที่อวี๋เหวินเกาหยางพักอยู่ พอเข้าไปถึงในห้อง ก็เห็นอวี๋เหวินเกาหยางกำลังทำกายบริหารอยู่ในห้อง พอเห็นหยางเฉิน ก็รู้สึกดีใจในพลัน
อยู่ต่อหน้าอวี๋เหวินเกาหยาง หยางเฉินยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เล็กน้อย
คนที่เคยถูกเขาโกรธแค้นมาเป็นเวลาสิบกว่าปี ด้วยเขาคิดว่าอวี๋เหวินเกาหยางเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองมาตลอด มารู้เอาภายหลังว่าไม่ใช่
รวมทั้งเรื่องที่เขากับแม่ของเขาถูกขับออกจากเยี่ยนตูในครั้งนั้น ความจริงคือผู้ชายคนนี้ด้วยภาระจำยอม คอยปกป้องเขาสองแม่ลูก
แต่ทว่า หยางเฉินไม่รู้เรื่องในความจริงแท้ กลับเคียดแค้นผู้ชายคนนี้มานานหลายปี
“ท่านดีขึ้นไหมครับ?”
หยางเฉินเอ่ยถาม พลางวางตะกร้าผลไม้ไว้ที่โต๊ะข้างเตียง
ตั้งแต่อวี๋เหวินเกาหยางเข้าโรงพยาบาล นี่เป็นครั้งแรกที่หยางเฉินมาเยี่ยม
“ดีขึ้นมากเลย ไม่กี่วันนี้คิดว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ละ ขืนยังไม่ออก ข้าคงต้องคลั่งแน่!”
อวี๋เหวินเกาหยางพูดพลางหัวเราะลั่น
ได้รับการดูแลเอาใจจากหยางเฉิน ทำให้เขารู้สึกตื้นตันมาก
หยางเฉินเดิมคิดว่าจะเล่าเรื่องอวี๋เหวินปิง แต่พอเห็นอวี๋เหวินเกาหยางดีใจมากที่เห็นเขา ก็เลยทำใจไม่ได้
ตั้งแต่อวี๋เหวินเกาหยางเข้าโรงพยาบาลแล้ว อวี๋เหวินปิงก็เข้าควบคุมตระกูลอวี๋เหวิน จ้องเป็นปฏิปักษ์กับหยางเฉินในทุกด้าน
ถ้าไม่คิดถึงบุญคุณของอวี๋เหวินเกาหยาง หยางเฉินคงลงมือจัดการอวี๋เหวินปิงไปแล้ว
“หยางเฉิน อวี๋เหวินปิงทำอะไรกับเจ้าอีกใช่หรือไม่?”
อวี๋เหวินเกาหยางจู่ ๆ ก็ถามอย่างร้อนใจ
จากสีหน้าของหยางเฉิน เขารู้สึกเห็นอะไรบางอย่าง
หยางเฉินเดิมทีก็ตั้งใจจะปิดบังต่อไป แต่เมื่อคิดถึงบุญคุณความแค้นกับอวี๋เหวินปิงจะถูกตอกย้ำให้ลึกหนักยิ่งขึ้น ถ้าไม่จัดการเคลียร์ในเวลานี้ น่ากลัวว่าอวี๋เหวินปิงจะรุกคืบหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ
“หลังจากอวี๋เหวินปิงเข้าควบคุมกิจการตระกูลอวี๋เหวินแล้ว เรื่องรุนแรงยังไม่ปรากฏ แต่เรื่องหยุมหยิมมีไม่ขาด ผมหวังว่าเขาต้องให้รู้สำนึกบ้าง”
หยางเฉินก็พูดออกไปตรง ๆ
“ไอ้ลูกทรพีคนนี้!”
อวี๋เหวินเกาหยางโกรธขึ้นอย่างมาก ขบเขี้ยวกัดฟันพูด “มันขืนทำตัวแบบนี้ ไม่ช้าหรือเร็วตระกูลอวี๋เหวินจะต้องพังทะลายในน้ำมือของมันแน่”
“หยางเฉิน ข้าอยากจะขออะไรแกเรื่องหนึ่ง!”
ในทันทีนั้นอวี๋เหวินเกาหยางก็ได้พูดด้วยสีหน้าวิงวอน
หยางเฉินไม่ทันได้คิดเลยว่าอวี๋เหวินเกาหยางจะมีอะไรต้องมาขอจากเขา
“ขอเพียงแต่อวี๋เหวินปิงอย่ามาเล่นงานผม ผมก็รับรองได้ว่าผมจะไม่แตะต้องเขา”
หยางเฉินออกปากไป ใจคิดว่าจะทำให้อวี๋เหวินเกาหยางได้สบายใจ
ไม่ว่าจะยังไง ตัวเขาเองตอนเด็ก ๆ อวี๋เหวินเกาหยางก็ได้ดูแลเขาอย่างดีมาก
ถึงแม้ตัวเขาเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของอวี๋เหวินเกาหยาง เขาทำได้ขนาดนั้น ก็ได้ทำหน้าที่พ่อบุญธรรมที่สุดยอดแล้ว
ที่สำคัญ หลังจากนั้นเขาได้ขับไล่หยางเฉินกับแม่ออกจากเยี่ยนตู ด้วยจุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นเป็นการปกป้องเขาสองแม่ลูก แต่กลับทำให้หยางเฉินผูกความเจ็บแค้นไว้สิบกว่าปี
ด้วยเหตุและผลต่าง ๆ หยางเฉินกับปัจจุบันล้วนติดหนี้บุญคุณอวี๋เหวินเกาหยาง
“ข้าไม่ได้คิดขออะไรให้กับอวี๋เหวินปิง ข้าหวังที่จะให้เจ้าออกหน้ามารับตำแหน่งผู้นำตระกูลอวี๋เหวินปฏิรูป!”
อวี๋เหวินเกาหยางพูดด้วยความจริงจังสีหน้าขึงขัง ในคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
หยางเฉินเดิมทีคิดว่าอวี๋เหวินเกาหยางจะพูดขออย่าให้เอาเรื่องกับอวี๋เหวินปิง คิดไม่ถึงเลยว่าไม่ใช่ กลับเป็นว่าจะขอให้เขามารับหน้าเป็นผู้นำของตระกูลอวี๋เหวิน
ถึงยังไงก็ตาม ตัวเขาเองไม่ใช่สายเลือดของตระกูลอวี๋หยางนะ
“ขอแต่เพียงให้อวี๋เหวินปิงยอมกลับตัวกลับใจใหม่ ผมก็จะช่วยสนับสนุนเขาอยู่ในตำแหน่ง และพร้อมกันนี้ก็ขอรับรองต่อท่าน ตราบเท่าที่ผมมีชีวิตอยู่ ตระกูลอวี๋เหวินก็คือตระกูลของผม จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายตระกูลอวี๋เหวินได้”
หยุดคิดไปพักใหญ่ หยางเฉินก็ได้ตอบไปด้วยการแสดงจุดยืนของตัวเอง
นี่คงเป็นวิธีเดียวเพื่อตอบแทนบุญคุณให้กับอวี๋เหวินเกาหยางแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ เขายินดียกโทษให้กับอวี๋เหวินปิง
แน่นอน ก่อนหน้านี้ก็ต้องให้อวี๋เหวินปิงยินยอมละทิ้งความคิดแค้นด้วย
อวี๋เหวินเกาหยางส่ายหน้า มองหยางเฉินด้วยสีหน้าสับสน “หยางเฉิน เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้ามาเป็นผู้นำตระกูลอวี๋เหวิน เพียงเพื่อตระกูลอวี๋เหวินแค่นั้นจริง ๆหรือ?”
หยางเฉินถึงกับสะอึก อึ้งเงียบลงในทันที เขาก็คิดอยู่แค่นั้นจริง ๆ